DESIGN

New Audemars Piguet Royal Oak Offshore 3 โมเดลโฉมใหม่พัฒนาจากรุ่นดั้งเดิมปี 1993

By: Chaipohn September 2, 2021

Audemars Piguet แบรนด์เครื่องบอกเวลาชั้นสูงจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้นำเสนอนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ 3 โมเดลใหม่ที่พัฒนาจากรุ่นดั้งเดิมในปี 1993 รังสรรค์ด้วยวัสดุที่แตกต่างกัน ได้แก่ สเตนเลส สตีล (Stainless steel) ไทเทเนียม(Titanium) และพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต

ถึงแม้จะคงไว้ซึ่งรายละเอียดสำคัญของนาฬิการุ่นดั้งเดิม ทว่าเรือนเวลาขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตรทั้ง 3 เรือนนี้มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟ (Selfwinding Flyback Chronograph) คาลิเบอร์ล่าสุดจากโอเดอมาร์ ปิเกต์ รวมถึงระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเองแบบใหม่ อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์หน้าปัดเล็กน้อย พร้อมยังนำฝาหลังแซฟไฟร์กลับมาใช้อีกครั้งเพื่อนำเสนอกลไกโครโนกราฟซึ่งรังสรรค์อย่างประณีต

แม้รังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ รุ่นดั้งเดิมจากปี 1993 ทว่านาฬิกา 3 เรือนใหม่ในขนาดหน้าปัด 42 มิลลิเมตร มาพร้อมกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง ฟลายแบ็ก โครโนกราฟใหม่ล่าสุด และระบบถอดเปลี่ยนสายด้วยตนเอง อีกทั้งยังมีการปรับดีไซน์บนหน้าปัดเล็กน้อย

 

 

การทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่าที่เคย

นาฬิการุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ใหม่ทั้ง 3 เรือนมา ขับเคลื่อนด้วยคาลิเบอร์ 4404 กลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้ง โครโนกราฟใหม่ ซึ่งแตกต่างจากกลไกโครโนกราฟทั่วไปที่ผู้สวมใส่สามารถหยุด รีเซ็ต และเริ่มต้นจับเวลาใหม่ได้ในครั้งเดียว โดยคอลัมน์วีล (Column Wheel) จะทำงานร่วมกับคลัตช์แนวตั้ง (Vertical Clutch) เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้เข็มนาฬิกามีการกระโดดเมื่อกลไกโครโนกราฟเริ่มหรือหยุดการจับเวลา นอกจากนี้ ส่วนของปุ่มกดจับเวลายังถูกพัฒนาให้กดง่ายและนิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีกลไกการรีเซ็ตเป็นศูนย์ที่ได้รับการจดสิทธิบัตร ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเข็มจับเวลาบนหน้าปัดย่อยแต่ละเข็มจะรีเซ็ตเป็นกลับไปที่ศูนย์ได้อย่างไม่ติดขัด

 

มุมมองเหนือระดับของคาลิเบอร์ 4404

วิวัฒนาการใหม่ของนาฬิกาในคอลเลกชั่นนี้ คือการใช้ฝาหลังแซฟไฟร์ที่เผยให้เห็นกลไกการทำงานภายในของคาลิเบอร์ 4404 รวมถึงชิ้นส่วนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คอลัมน์วีลและค้อนโครโนกราฟที่มีการเคลื่อนไหวเมื่อเปิดใช้งานฟังก์ชั่นการจับเวลา*
อีกทั้งยังสามารถชมการทำงานของ Oscillating Weight พิ้งค์โกลด์ 22 กะรัต รวมถึงรายละเอียดต่างๆ ที่ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยมืออย่างบรรจง ไม่ว่าจะเป็น ลายวงโกตส์ เดอ เฌอแนฟ (Cotes de Genève) เทคนิคการขัดลายซาติน และการขัดเหลี่ยมมุม

*เมื่อปุ่มรีเซ็ตถูกเปิดใช้งาน ค้อนที่ขับเคลื่อนด้วยคันบังคับจะตีไปที่ลูกเบี้ยวรูปหัวใจของกลไกโครโนกราฟเพื่อดึงล้อโครโนกราฟและเข็มนาฬิกาให้กลับไปที่ศูนย์

 

 

โฉมใหม่ของเรือนเวลาเตนเลส สตีล พิ้งค์โกลด์ และไทเทเนียม

นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์รุ่นนี้ได้นำเสนอตัวเรือนสเตนเลส สตีล พร้อมกับอีก 2 วัสดุใหม่ ได้แก่ ไทเทเนียมและพิ้งค์โกลด 18 กะรัต แม้ว่าโอเดอมาร์ ปิเกต์จะเคยเปิดตัวนาฬิการุ่นนี้บนตัวเรือนไทเทเนียมทั้งหมดในปี 2004 (Ref. 25721TI) แต่รุ่นนี้นับเป็นครั้งแรกที่ได้มีการนำเสนอดีไซน์ที่พัฒนาจากปี 1993 ด้วยหน้าปัดลาย “เปอตีต์ ทาพิสเซอรี่ (Petite Tapisserie)” บนตัวเรือนพิ้งค์โกลด์ 18 กะรัต โดยตัวเรือนและสายนาฬิกาของทั้ง 3 เรือนนี้ได้รับการสร้างสรรค์และเก็บรายละเอียดอย่างพิถีพิถัน ทั้งเทคนิคการขัดลายซาตินและและการขัดลบเหลี่ยมมุมด้วยที่เป็นเอกลักษณ์ของโอเดอมาร์ ปิเกต์

ตัวเรือนสเตนเลส สตีล และพิ้งค์โกลด์ดูโดดเด่นด้วยรายละเอียดของปุ่มกดและเม็ดมะยมที่รังสรรค์จากยางสีน้ำเงิน รวมถึงขอบยางสีน้ำเงิน (Gasket) ที่เชื่อมขอบตัวเรือนเข้ากับตัวเรือน ในขณะที่เรือนไททาเนียมจะมาพร้อมเม็ดมะยม ขอบยาง และปุ่มกดโครโนกราฟผลิตจากยางสีดำ

 

ดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่นำอดีตมาบรรจบกับปัจจุบัน

นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ รุ่นใหม่ทั้ง 3 เรือนยังคงไว้ซึ่งสุนทรียะแห่งความงามตามแบบฉบับดั้งเดิมด้วยการใช้หน้าปัดลวดลาย “เปอตีต์ ทาพิสเซอรี่” โดยโมเดลเรือนสแตนเลส สตีลมาพร้อมหน้าปัดสีน้ำเงินที่เป็นเอกลักษณ์ดั้งเดิมของนาฬิกาปี 1993 เฉดสีน้ำเงินคลาสสิคที่ถูกเรียกว่าสี “Night Blue, Cloud 50” ในคอลเลกชั่นสีของโอเดอมาร์ ปิเกต์ ส่วนเรือนพิ้งค์โกลด์นั้น มาพร้อมหน้าปัดสี “Night Blue, Cloud 50” ที่เพิ่มความแปลกใหม่ด้วยหน้าปัดย่อยโครโนกราฟพิ้งค์โกลด์เพื่อให้เข้ากันกับสีของตัวเรือน และสำหรับเรือนไทเทเนียมถูกนำเสนอด้วยหน้าปัดสีเทาอ่อนที่จะช่วยขับสีดำของหน้าปัดย่อยและขอบตัวเรือนด้านในให้ยิ่งโดดเด่นสะดุดตา

ทั้งนี้ แม้ว่านาฬิกาทั้ง 3 โมเดลใหม่จะรักษารูปแบบการจัดวางหน้าปัดย่อยแบบแนวตั้งของนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์รุ่นดั้งเดิมไว้ แต่ได้มีการสลับตำแหน่งของหน้าปัดย่อยชั่วโมงและวินาที โดยนำหน้าปัดชั่วโมงวางไว้ที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกา และหน้าปัดวินาทีถูกจัดวางไว้ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา แต่ยังคงหน้าปัดนาทีไว้ที่ 9 นาฬิกาเช่นเดิม นอกจากนั้นหน้าปัดย่อยทั้งหมดจะถูกจัดวางให้ห่างจากจุดศูนย์กลางของหน้าปัดเพื่อให้ดีไซน์ภวพรวมของหน้าปัดดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

และเพื่อคงไว้ซึ่งดีไซน์ของนาฬิการุ่นดั้งเดิม อักษรย่อ AP และโลโก้ “Audemars Piguet” ที่รังสรรค์ด้วยทองถูกจัดวางไว้ที่ตำแหน่ง 3 นาฬิกา และช่องแสดงวันที่มาพร้อมกระจกขยายเพื่อให้เห็นตัวเลขวันที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับบนหน้าปัดนาฬิการุ่นปี 1993

 

 

ระบบการถอดเปลี่ยนสายสายนาฬิกา

นาฬิการุ่นใหม่ทั้ง 3 เรือน มาพร้อมระบบถอดเปลี่ยนสายแบบใหม่ที่ในครั้งนี้โอเดอมาร์ ปิเกต์ได้นำเสนอสายนาฬิกาโลหะเป็นครั้งแรก โดยกลไกการเปลี่ยนสายถูกออกแบบไว้กับหมุดและและตัวล็อกบนตัวเรือนโดยตรง ซึ่งกลมกลืนไปกับดีไซน์ของตัวเรือนนาฬิกา

ความสะดวกสบายและมีประสิทธิภาพของระบบถอดเปลี่ยนสายใหม่นี้ จะช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถเปลี่ยนสายและหัวเข็มขัดของนาฬิกาได้ด้วยตนเองโดยการกดปุ่มคลิกเพื่อปลดสายออก โดยจะต้องใช้การกด 2 ครั้งเพื่อปลดสายเพื่อเพิ่มความแน่นหนาปลอดภัยทุกครั้งที่สวมใส่ไว้บนข้อมือ

สายนาฬิกาโลหะสามารถถูกเปลี่ยนเป็นสายยางเพื่อลุคและไลฟ์สไตล์ที่ดูสปอร์ตยิ่งขึ้น เพราะนาฬิการุ่นนี้มาพร้อมสายนาฬิกาสำรองที่มีระบบถอดเปลี่ยนสาย โดยสายยางสำรองของเรือนสเตนเลส สตีล และพิ้งค์โกลด์จะเป็นสีน้ำเงิน และสำหรับเรือนไทเทเนียมจะมาพร้อมสายยางสีดำ ทั้งนี้นาฬิกาทั้ง 3 เรือนมีคุณสมบัติกันน้ำ และเมื่อเปลี่ยนเป็นสายยางนาฬิกาเรือนนี้สามารถใส่เพื่อการดำน้ำได้ลึกสูงสุด 100 เมตร

สายนาฬิกาสำหรับรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ หน้าปัด 42 มิลลิเมตรในระบบถอดเปลี่ยนด้วยตนเองปี 2021 นี้ ยังมีการนำเสนอสายยางสีฟ้าและสีกากี รวมถึงสายหนังลูกวัวสีดำให้เลือกเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน

 

ความร่วมสมัยที่ยังคงความคลาสสิคเหนือกาลเวลา

นาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ซึ่งออกแบบโดยเอ็มมานูเอล กีเอต์ (Emmanuel Gueit) ได้เปิดตัวในโลกของเรือนเวลาชั้นสูงในปี 1993 โดยคงเอกลักษณ์ของนาฬิการุ่นรอยัล โอ๊คไว้ด้วยดีไซน์ขอบตัวเรือนแปดเหลี่ยมและสกรูทรงหกเหลี่ยม ทว่ารอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ได้ท้าทายขนบการสร้างสรรค์นาฬิกาดั้งเดิมด้วยขนาดตัวเรือนที่ใหญ่ถึง 42 มิลลิเมตร พร้อมขอบยางสีดำขนาดใหญ่ที่มองเห็นชัดเจนใต้ขอบตัวเรือน เม็ดมะยมและปุ่มกดหุ้มด้วยยาง ตลอดจนข้อต่อสายนาฬิกาที่มีความโค้งมน โดยนาฬิการุ่นนี้มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “The Beast” เป็นรุ่นที่เผยรูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้นของนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ และกลายเป็นผู้สร้างเทรนด์นาฬิกาขนาดใหญ่ ต่อมาเมื่อเวลาผ่านไปรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ได้กลายเป็นแพลตฟอร์มของการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่นำเสนอความแปลกใหม่ของวัสดุ ขนาดตัวเรือน ความซับซ้อนของกลไก รวมไปถึงสีสันที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่ในขณะเดียวกันก็รักษาดีไซน์คลาสสิกเหนือกาลเวลาของเรือนเวลารุ่นดั้งเดิม

ในปี 2013 โอเดอมาร์ ปิเกต์นำเสนอนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ที่มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์เป็นครั้งแรก เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 20 ปีของนาฬิการุ่นนี้ซึ่งเป็นเรือนเวลาลิมิเต็ดที่มีการผลิตเพียง 20 เรือน (Ref. 26218) มาพร้อมคาลิเบอร์ 3126/3840 ที่เป็นกลไกที่ถูกเปิดตัวออกมาครั้งแรกในคอลเลกชั่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ในปี 2006 (Ref. 26170) ซึ่งนาฬิกาเรือนดังกล่าวมาพร้อมฝาหลังแซฟไฟร์ที่เผยให้เห็นกลไกเซลฟ์ไวนด์ดิ้งที่รังสรรค์ขึ้นด้วยมือเคลื่อนไหวอยู่ภายใน พร้อมกับนำเสนอหน้าปัดลวดลาย “เปอตีต์ ทาพิสเซอรี่” ซึ่งเป็นหน้าปัดของนาฬิการอยัล โอ๊ครุ่นดั้งเดิม ซึ่งมีการนำมาใช้ในคอลเลกชั่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ครั้งสุดท้ายในปี 2013

รอยัล โอ๊ค ออฟชอร์มีการพัฒนาด้านดีไซน์อย่างไม่หยุดยั้ง ปี 2018 ในโอกาสครบรอบ 25 ปีของคอลเลกชั่น ซึ่งเป็นการนำลวดลาย “เปอตีต์ ทาพิสเซอรี่” แบบดั้งเดิมกลับมาใช้เช่นเดียวกันกับเรือนเวลารุ่นฉลองวาระครบรอบครั้งก่อน และถือเป็นการกลับใช้ลวดลายนี้ในคอลเลกชั่นหลักของนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์อย่างเป็นทางการ และนาฬิการุ่นปี 2018 นี้ยังมาพร้อมฝาหลังที่สลักคำว่า “Royal Oak Offshore”* ที่เป็นหนึ่งรายละเอียดแบบนาฬิกาดั้งเดิม อย่างไรก็ตาม นาฬิกาเรือนพิเศษนี้นำเสนอความแตกต่างของดีไซน์หน้าปัด ทั้งการใช้โลโก้ที่ถูกออกแบบใหม่จากปี 2012 รวมถึงการจัดวางตัวเลขบนหน้าปัดที่ดูกลมกลืนสวมงามยิ่งขึ้น

การพัฒนาครั้งล่าสุดของนาฬิการุ่นไอคอนิคที่ยกระดับเรือนเวลาด้วยกลไกโครโนกราฟใหม่ล่าสุดของโอเดอมาร์ ปิเกต์ พร้อมระบบถอดเปลี่ยนสายสายนาฬิกา และการออกแบบหน้าหน้าปัดใหม่ เพื่อให้นาฬิการุ่นรอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ ยิ่งเพิ่มประสิทธิภาพในการบอกเวลามากกว่าเดิม

*ในปี 1993 โอเดอมาร์ ปิเกต์ได้สลักฝาหลังของนาฬิการอยัล โอ๊ค ออฟชอร์ 100 เรือนแรกด้วยคำว่า “Royal Oak” ในกรณีที่คอลเลกชั่นนี้สิ้นสุดลงเพียงเท่านั้น แต่นาฬิกาเรือนที่ได้รับการผลิตในเวลาต่อมาทั้งหมดจะถูกสลักไว้ด้วยคำว่า “Royal Oak Offshore”

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line