Entertainment

กะเทาะตัวตนของ Dave Grohl ผ่านผลงาน Foo Fighters ตลอด 26 ปี

By: unlockmen January 25, 2021

26 ปีก่อน หากใครมาบอกว่า จะมีไอ้หน้าจ๋อง ๆ ที่เป็นมือกลองและพูดไม่เยอะ จะยืนอยู่หน้าเวทีแล้วเปลี่ยนตำแหน่งมาเล่นกีตาร์และร้องนำ หลายคนคงขำและคิดว่าเป็นไปไม่ได้ แต่ท้ายที่สุดนอกจากเขาจะทำได้แล้ว ชายคนนั้นยังชี้ชะตาวงการดนตรีร็อครุ่นใหม่ และกลายร่างเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางดนตรีในกาลต่อมาอีกด้วย

แม้ Nirvana จะแลกคำว่าตำนานกับเลือกจะปลิดชีพลมหายใจของ Kurt Cobain แต่ Dave Grohl กลับเลือกที่จะสร้างตำนานบทใหม่ด้วยความบ้า และบทเพลงทรงพลังด้วยตัวเขาเองด้วยวง Foo Fighters ที่เปรียบได้ดั่งจานผีลึกลับที่มาสร้างความปั่นป่วนให้วงการ Alternative Rock

 

“แม่งเหมือนผมกำลังทำโปรเจกต์ และออกไปรายงานหน้าชั้น แม่งโคตรตื่นเต้นและกดดันสัส ๆ ”

Foo Fighters [1995]

หลังจาก Icon แห่งยุคสมัยอย่าง Kurt Cobain ได้จากโลกใบนี้ไปอย่างไม่มีวันหวนกลับและนำพา Nirvana สู่นิพพานทางดนตรีจริง ๆ ไม่แปลกใจที่สมาชิกที่เหลือทั้ง 2 อย่าง Krist Novoselic และ Dave Grohl จะสับสนในการจัดการชีวิตต่ออย่างไร จน Dave เข้าสู่สภาวะซึมเศร้า แต่สุดท้าย Dave ไม่อยากจมจ่อกับความเสียใจจนฉุดรั้งตัวตนของเขาลงเหวมากไปกว่านี้ เขาเริ่มต้นบำบัดตัวเองด้วยการเดินสายไปช่วยเพื่อนพ้องที่หยิบยื่นให้เขาหวนคืนสู่วงการให้ได้อีกครั้งโดยเริ่มต้นไปตีกลองให้กับวงอย่าง Tom Petty and the Heartbreakers แต่ยิ่งทำกลับยิ่งรู้สึกทำร้ายตัวเองยิ่งกว่าเคย “พอผมนั่งอยู่ตรงนั้น…ตรงตำแหน่งที่ตีกลอง ภาพของ Kurt และวง Nirvana ก็ตามมาหลอกหลอนผมทุกครั้ง” เขาจึงลองเขียนเพลงและลองเล่นดนตรีในตำแหน่งอื่นบ้าง จากการทดลองหมุนไปเล่นเครื่องดนตรีต่าง ๆ สุดท้ายอัลบั้มชุดแรกในชีวิตของเขาก็เกิดจากการอัดเครื่องดนตรีเดี่ยว ๆ ทุกชิ้นด้วยตัวเอง !!!!! จากดนตรีบำบัดที่ต้องการทำเพลงเพื่อลงคาสเซ็ทท์เพียง 100 ชุดส่งให้เพื่อนฝูงฟัง กลับกลายเป็นโปรเจกต์ใหม่ที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เมื่อเพื่อนฝูงได้ฟังเพลงเหล่านั้นแล้วบอกว่า “แม่งแจ๋วมาก”

จนในที่สุด Dave ก็สถาปนาวงใหม่ของตัวเองในนาม Foo Fighters ที่ได้มาจากการเรียกขานของวัตถุลึกลับที่คล้ายจานบินที่ปรากฏเหนือน่านฟ้าในแถบ Roswell และใช้ชื่อของวงตั้งเป็นชื่ออัลบั้มเอาฤกษ์เอาชัย “แม่งเหมือนผมกำลังทำโปรเจกต์ และออกไปรายงานหน้าชั้น แม่งโคตรตื่นเต้นและกดดันสัส ๆ ” Dave ย้อนไปถึงช่วงเวลาที่เขาต้องยืนอยู่ตรงหน้าเวที แม้จะเต็มไปด้วยความกดดัน แต่สุดท้าย Foo Fighters อัลบั้มชุดแรกก็ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม ถึงแม้จะมีประเด็นดราม่าเล็กน้อยเมื่อแฟน ๆ ยุค Nirvana ไม่พอใจที่หน้าปกอัลบั้มแรกนั้นเป็นรูปปืนเพราะมันเหมือนไปซ้ำเติมการยิงตัวตายของ Kurt ซึ่ง Dave ตอกกลับพวกแฟนใจแคบเหล่านั้นว่า “ประสาทแดกน่า มันเป็นปืนของพระเอก Bug Rogers ในนิยายวิทยาศาสตร์ที่เอาไว้ยิงเอเลี่ยนต่างหากโว้ย” แม้จะมีดราม่า แต่ก็เพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะแฟนเพลงหลายคนต่างพากันต้อนรับก้าวแรกของ Dave กันอย่างล้นหลาม
Source:  NME / Classic Rock

 

“ผมอยากให้อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มร็อคที่ Flow ที่สุด”

The Colour and the Shape [1997]

จากความสำเร็จเกินคาดของอัลบั้มชุดแรก ไม่แปลกเลยที่ Dave จะกดดันเมื่อถึงเวลาที่ต้องทำอัลบั้มชุดที่ 2 จากอัลบั้มชุดแรกที่เขาทำงานแบบวันแมนโชว์ และใช้เวลาในการอัดอย่างบ้าระห่ำภายในเวลา 5 วัน ครั้งนี้เขาต้องฟอร์มวง โดยเขาได้ Pat Smear และ Nate Mendel มาร่วมวง และทำอัลบั้มด้วยความปราณีต โดยช่วงเวลา 4 เดือนในการทำงานร่วมกันกับสมาชิก Dave กดดันอย่างเห็นได้ชัด เขาเคยแต่เป็นผู้ตามที่ดี แต่ครั้งนี้เขาต้อเปลี่ยนตัวเองเป็นผู้นำเพื่อนำพาบทเพลงที่ได้รับแรงบันดาลใจจาก Pixies และ Sonic Youth วงในดวงใจของ Dave ให้ได้สำเร็จ จนสุดท้ายอัลบั้มชุดที่ 2 ที่ยอดขายดีกว่าชุดแรก และยอดเยี่ยมกว่าชุดแรกก็ได้ถือกำเนิดขึ้น บทเพลงอย่าง “Everlong,” “My Hero” และ “Monkey Wrench” กลายเป็นบทเพลงคลาสสิคและฮิตติดชาร์ทของวง แม้ทุกอย่างจะราบรื่นและสวยงาม แต่ Dave ก็สังเวยอัลบั้มชุดที่ 2 นี้ด้วยการแยกทางกับภรรยาคนแรก Jennifer Youngblood ตากล้องผู้ที่ถ่ายหน้าปกอัลบั้มชุดแรก อย่างน่าเศร้าใจ
Source: Rolling Stone / Select

 

“โยนความเป็นร็อคสตาร์เสล่อ ๆ นั่นทิ้งออกนอกหน้าต่าง คุณจะค้นพบตัวตนที่แท้จริงของคุณ”

There Is Nothing Left to Lose [1999]

จากความสำเร็จจากอัลบั้มชุดก่อน แน่นอนมันยิ่งสร้างความกดดันถาโถมให้กับ Dave ยิ่งกว่าเดิม เขาต้องหันซ้ายมาเจอกับสมาชิกในวงที่หละหลวมทางด้านวินัย และการแทรกแซงของค่ายเพลง และ Dave ก็จัดการสิ่งที่ขัดใจ อย่างแรกคือการย้ายค่ายจาก Capitol มาเป็น RCA และต่อมาคือการขับสมาชิกคนหนึ่งที่เป็นเพื่อนซี้ที่ Dave คบหามาตั้งแต่เด็กออกจากวง นั่นก็คือ Franz Stahl มือกีตาร์ของวงออกไป “ผมต้องไล่เพื่อนซี้ออกทั้งน้ำตา” Dave กล่าวถึงอดีตด้วยความเสียใจ แต่สิ่งที่เขาได้กลับคืนมาคือสมาชิกที่อยู่กันอย่างเหนียวแน่น พร้อมกับการต้อนรับ Taylor Hawkins มือกลองของวงเป็นสมาชิกอย่างถาวร อัลบั้ม There Is Nothing Left to Lose อาจจะแปลตรงตัวว่า “ไม่มีอะไรจะเสีย” แต่มันกลับกลายเป็นการผ่าทางตันที่แสนบ้าระห่ำ Dave พยายามที่จะอัดสดเล่นสดโดยพยายามปรุงแต่งทางคอมพิวเตอร์ให้น้อยที่สุด และการทดลองอย่างบากบั่นของเขาก็นำมาสู่อัลบั้มชุดที่ Dave บอกว่า “มันเป็นอัลบั้มที่ผมชอบที่สุด…ผมโยนความเป็นร็อคสตาร์เสล่อ ๆ นั่นทิ้งออกนอกหน้าต่าง จนได้พบตัวตนที่แท้จริง” และด้วยความบากบั่นตั้งใจนั้นเอง ก็ทำให้ Foo Fighters คว้ารางวัล Grammy สาขา อัลบั้มร็อคยอดเยี่ยม และ มิวสิควิดีโอยอดเยี่ยม จากเพลง Learn to Fly และกลายเป็นขาประจำบนเวที Grammy นับแต่นั้นเป็นต้นมา
Source: Loudwire / Kerrang!

 

“เราใช้เงินเป็นล้าน และเวลาสามเดือน เพื่อเสียเวลาไปทำเพลงแย่ ๆ

ในขณะที่เราใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในห้องใต้ดินทำงานมาสเตอร์พีซ”

One by One [2002]

แม้ผลงานอัลบั้มชุดที่ 4 จะควรเป็นงานที่หมูสำหรับเขาแล้ว แต่สุดท้ายอัลบั้ม One by One ก็ยังเป็นงานที่ยากลำบากอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นการที่ Taylor Hawkins มือกลองต้องเข้ารับการบำบัดอาการติดยา จากการที่เขาเสพย์ยาเกินขนาดจนเกือบตาย จน Dave ต้องหลบไปพักใจด้วยการไปเป็นมือกลองชั่วคราวให้กับวง Queens of the Stone Age ในอัลบั้ม Songs for the Deaf พอถึงเวลาอัดอัลบั้มใหม่ ความเครียดก็ถาโถมโหมซัดวงรัว ๆ Dave เครียดมากกับการทำอัลบั้มนี้ เพราะมันสูญเสียทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย ในขณะที่วงเองก็ไม่ชอบความเป็นเผด็จการของเขาสักเท่าไหร่ ท้ายที่สุด Dave ก็หักดิบ ย้ายสตูดิโอไปทำที่ห้องใต้ดิน และทำมันรวดเดียวจบภายในระยะเวลาอันสั้น และอัดดนตรีกันแบบแยกกันเล่น เพื่อเติมเต็มไอเดียของแต่ละคน “เราใช้เงินเป็นล้าน และเวลาสามเดือน เพื่อเสียเวลาไปทำเพลงแย่ ๆ ในขณะที่เราใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงในห้องใต้ดินทำงานมาสเตอร์พีซ” และผลตอบรับของอัลบั้ม One by One ก็ยังอยู่ในขั้นยอดเยี่ยม พวกเขาคว้ารางวัล Grammy ได้อีกปี แถมยอดขายอัลบั้มยังไปได้ดีทั้งในบ้านเกิดและต่างประเทศอีกด้วย
Source: fooarchive.com / Foo Fighters: Back and Forth

 

“เราทำวงมา 10 ปี มันคงน่าเบื่อมากหากเรายังคงวนอยู่กับที่ ดังนั้นเราอยากทำอะไรที่มันพิเศษยิ่งขึ้น”

In Your Honor [2005]

อัลบั้มชุดที่ 5 ฉลองการทำงาน 10 ปีของวง จากก้าวแรกจนถึงขวบปีที่ 10 ไม่มีวันไหนเลยที่ Dave จะไม่เครียดในการเข้าสตูดิโอ แต่กับอัลบั้มนี้เขากลับผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่า Dave เริ่มรู้สไตล์การทำงานของแต่ละคนแล้วว่าควรไปทางไหน เขาตัดสินใจทำสตูดิโอของตัวเองเพื่อให้ความรู้สึกเหมือนบ้านมากกว่าห้องทำงาน และระหว่างที่รอก่อสร้างอยู่นั้น Dave กับผองเพื่อนก็ซ้อมเล่นเพลงใหม่กันแบบอะคูสติก ทำให้เกิดไอเดียใหม่ในการทำงานทันที นั่นก็คือการทำอัลบั้มคู่ ซึ่งอัลบั้มชุดที่ 5 นี้แผ่นที่ 1 จะเป็นสเตเดี้ยมร็อคสุดเดือด ในขณะที่แผ่นที่ 2 คือดนตรีอะคูสติก ซึ่งการวางดนตรีเบาและหนักในรูปแบบของคู่ขนานนี้สร้างความชื่นชมให้กับทั้งนักวิจารณ์และคนฟังอย่างมาก เผยให้เห็นด้านอัจฉริยะของ Dave เองที่ไม่ว่าจะหนักแน่นหรือหนานุ่ม ชายคนนี้ก็ทำได้อย่างงดงาม แถมเขายังออกแบบการทัวร์คอนเสิร์ตให้แตกต่างอย่างสุดขั้ว ไม่ว่าจะเป็นการไปแสดงที่สเตเดี้ยมร็อคอันยิ่งใหญ่ ไปจนถึงสดูอิโอเล็ก ๆ ที่รองรับการแสดงในแบบอันปลั๊กของเขาอีกด้วย
Source: musicmusingsandsuch.com

 

“คนส่วนใหญ่คิดว่าชีวิตนั้นเริ่มต้นด้วยการเกิดและจบลงด้วยความตาย

แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งคุณก็ตระหนักได้ว่าโลกมันยิ่งใหญ่และซับซ้อนกว่านั้น”

Echoes, Silence, Patience & Grace [2007]

หลังจากที่ Foo Fighters โลดโผนทั้งในโลกของดนตรีร็อคและดนตรีอะคูสติกไปแล้วจากอัลบั้มนี้ Dave ก็คิดค้นได้ว่า ทั้งสองทางใช่ว่าจะบรรจบกันไม่ได้ เขาจึงทำอัลบั้มที่มีส่วนผสมทั้ง 2 ส่วนเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน โดยเปรียบเทียบชีวิตที่มีทั้งความเงียบ เสียงที่ดัง ไปจนถึงวัฐจักรของชีวิตที่มีทั้งการเกิดและการตาย และอัลบั้มนี้ก็สร้างบรรยากาศการทำงานอันยอดเยี่ยมให้กับสมาชิกในวง เมื่อ Dave ผ่อนคลายการทำงานกว่าแต่ก่อน หลายคนมองว่าเขาเริ่มเข้าใจสูตรในการทำงานที่ผ่าน ๆ มาแล้ว แต่อีกหลายคนมองว่า Dave ละมุนขึ้นเพราะเขามีลูกสาวนั่นเอง และอัลบั้มนี้บทเพลงหลาย ๆ เพลงก็ได้รับแรงบัลดาลใจจาก Violet Maye ลูกสาวคนแรกของเขานั่นเอง และการบรรจบดนตรีเบาและหนักเข้าด้วยกัน ก็ทำให้ให้คว้ารางวัลจาก Grammy Awards อีกครั้ง
Source: Total Guitar / Mother Jones

 

“อัลบั้มนี้มันเกี่ยวกับเวลา และความรู้สึกที่เหมือนตายและเกิดใหม่อีกครั้ง

และทำให้พบว่าการมีชีวิตที่รายล้อมไปด้วยเพื่อนและครอบครัวและการทำเพลงมันสวยงามเพียงไร”

Wasting Light [2011]

แม้จะผ่านมาถึงอัลบั้มชุดที่ 7 แล้ว แต่ Dave ก็ยังสนุกกับการทดลองไม่สิ้นสุด เขาพักวงเพื่อไปทำวง Supergroup อย่าง Them Crooked Vultures ที่รวมขุนพลเพลงร็อคจาก 3 วงอย่าง Foo Fighters, Queens of the Stone และ Led Zeppelin ต่อมาไอเดียการทำงานของเขาก็ไม่สิ้นสุด เมื่อเขาได้ทดลองอัลบั้มนี้ด้วยการเพลงแบบอะนาล็อกทั้งหมด โดยเข้าไปทำในโรงรถเพื่อแสวงหาความแปลกใหม่ในการทำงาน นอกจากโรงรถกลายเป็นแหล่งกำเนิดของดนตรีร็อคอันดุดันในแบบ Garage อันดิบเถื่อนแถมยังให้สุ้มเสียงที่เรียลสุด ๆ แล้ว Dave ยังเดินสายทัวร์คอนเสิร์ตที่สุด Exclusive ด้วยการไปเล่นในโรงรถหลายต่อหลายที่อีกด้วย สำหรับอัลบั้มนี้ Dave มีความทะเยอทะยานอย่างหนักเพื่อที่จะให้มันเป็นซาวด์ของ Foo Fighters โดยแท้ ให้เหมือนกับนึกถึง AC/DC ต้องนึกถึงอัลบั้ม Back in Black นึกถึง Metallica ก็ต้องนึกถึง Black Album แน่นอนว่าอัลบั้มนี้ก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ สมความต้องการของ Dave
Source: Loudwire

 

“ผมเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ที่ให้กำเนิดแนวดนตรีอันหลากหลาย

และพบว่าแต่ละเมืองเหล่านั้นมันไม่ได้ขับเคลื่อนแค่ผู้คนอย่างเดียว ดนตรีก็มีส่วนในการขับเคลื่อนเช่นกัน”

Sonic Highways [2014]

จากอู่ซ่อมรถอันอุดอู้แต่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ Dave ก็แสวงหาไอเดียใหม่ ๆ ด้วยการเดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ เพื่อจุดประกายอัลบั้มชุดที่ 8 ที่เขาพร้อมจะเชื่อมต่อดนตรีที่แตกต่างให้กลายเป็นเส้นทางเดียวกัน มันจึงรวมสำเนียงร็อคของเมือง Chicago / Nashville / Austin / New York / New Orleans / Seattle / Washington และ Los Angeles ไว้ด้วยกัน การเล่นใหญ่ของ Foo Fighters ไม่เพียงแสดงให้เห็นว่า Dave ไม่หยุดที่จะสร้างสรรค์ความคิดใหม่ ๆ ให้กับดนตรีร็อคแล้ว เขายังเชี่ยวชาญในการค้นหารากเหง้าแห่งจิตวิญญาณและต่อยอดความยิ่งใหญ่ให้กลายเป็นงานที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย และที่มีเน่ห์ไม่แพ้กันคือการทำปกแผ่นเสียงที่เป็นจิ๊กซอว์ของเมืองต่าง ๆ จำนวน 9 แผ่นเพื่อต่อกันเป็นปกรวมใหญ่ 1 แผ่นเพื่อให้นักสะสมไล่คว้ามาครอบครองอีกด้วย
Source: Billboards / HBO

 

“มันเป็นช่วงเวลาที่สมองของผมโคตรฝ่อ มีวันหนึ่งที่ผมเดินไปหยิบไวน์และเขียนเพลงอย่างเอาเป็นเอาตาย

สุดท้ายแม่งก็ไม่ได้เหี้ยไรเลย”

Concrete and Gold [2017]

นับตั้งแต่ที่ Dave ก่อตั้งวง Foo Fighters มา ไม่เคยมีครั้งไหนที่วงต้องชิ้งช่วงนานเกิน 3 ปีเลย แต่อัลบั้มนี้คือการทิ้งช่วงที่ยาวนานที่สุด จากที่ Dave ประสบอุบัติเหตุจนต้องเข้าเฝือกที่ขานานหลายเดือน มันเป้นช่วงที่คนไฮเปอร์อย่างเขาสารภาพมาว่า “มันเป็นช่วงเวลาที่สมองของผมโคตรฝ่อ มีวันหนึ่งที่ผมเดินไปหยิบไวน์และเขียนเพลงอย่างเอาเป็นเอาตาย สุดท้ายแม่งก็ไม่ได้เหี้ยไรเลย” จนกระทั่งวันที่ Donald Trump เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี Dave อุทานว่า “เหี้ยแล้วไง!!!” เป็นอันรู้กันว่าที่ผ่านมา foo Fighters ทำเพลงที่แตะต้องการเมืองน้อยมาก แต่ครั้งนี้เหมือนเหลืออดและความกดดันนี้มันก็ทำให้ Dave ไอเดียพลั่งพรูอีกครั้ง ด้วยการทำเพลงร็อคสุดขีดและป็อปสุดขั้วในคราวเดียวกัน โดยเชิญชวนเพื่อนร่วมวงการอย่าง Shawn Stockman แห่งวง Boyz II Men, Justin Timberlake ไปจนถึงตำนานอย่าง Paul McCartney มาร่วมทำภายใต้ความรู้สึกอัดอั้น ที่ทั้งเต็มเปี่ยมด้วยความหวังและสิ้นหวังในคราวเดียวกัน จนมันกลายเป็นอัลบั้มที่นักวิจารณ์ต่างพากันชื่นชอบอย่างมากในฐานะอัลบั้มที่ซัดตรงไม่เกรงกลัวใคร และมีความไพเราะในแบบ Pop Music ในแบบที่เหนือชั้นและไม่เหมือนใคร
Source: news.com.au / BBC Radio 6

 

“เราผ่านร้อนผ่านหนาวมานานกว่า 25 ปี ทดลองทางดนตรีจนพรุนหมดแล้ว

อัลบั้มนี้จึงเป็นการเฉลิมฉลองมันด้วยการให้เป็นอัลบั้มปาร์ตี้ที่หนักหน่วงที่สุด”

Medicine at Midnight [2021]

และอัลบั้มล่าสุดที่ยังไม่ได้จัดจำหน่ายของ Foo Fighters ก็พร้อมที่จะออกในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ แน่นอนว่า Dave เองไม่ละเลยที่จะพูดสถานการณ์ปัจจุบันในปีที่ปกคลุมไปด้วยความเศร้าจากการสูญญเสียของผู้คนมากมายที่สังเวยให้กับไวรัสโคโรนา Dave จึงท้าทายมันด้วยการทำอัลบั้มที่จะจุดพลุเฉลิมฉลองในวันที่คนบางส่วนได้รับวัคซีน และการต้อนรับการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของ Joe Biden ซึ่ง Dave หวังจะทำให้อัลบั้มล่าสุดของเขาเป็นอัลบั้มแห่งการต้อนรับสิ่งดี ๆ ที่จะตามมาไม่ช้า มันจึงมีสัดส่วนของ Dance Music ค่อนข้างเยอะ เราจึงอยากให้ทุกคนรอฟังอัลบั้มชุดที่ 10 นี้ว่าจะยอดเยี่ยมเหมือน 9 อัลบั้มที่ผ่านมาหรือไม่

 

จากไอเดียที่ไม่หยุดนิ่ง และความจริงใจ ตั้งใจที่จะทำงานดีที่ยอดเยี่ยมเสมอมาของ Dave Grohl พิสูจน์แล้วว่าการสลัดทุกความเศร้าและเดินหน้าทำงานอย่างหนักหน่วง ถือเป็นการพัฒนาตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม จึงเป็นสิ่งที่กล้ายืนยันได้ว่า Dave นั้นเป็นที่ 1 ของตำนานที่ยังมีลมหายใจ และเป็นอัจฉริยะแห่งร็อคมิวสิคที่สาวกทุกคนต้องคารวะ

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line