Life

REBOOST YOUR HABITS : 5 นิสัยที่ทำให้เป็นคนขี้กังวล พร้อม 4 ทางรอดจากการเป็นคน NEGATIVE

By: unlockmen May 23, 2018

ความคิด Negative เป็นเหมือนมลพิษที่อยู่ในตัวของคนเรา มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกช่วงเวลา และส่งต่อไปให้คนอื่นได้อีกด้วย หลายครั้งที่ความคิด Negative มันเกิดจากความขี้กังวลของเรา จนทำให้เรามองอะไร ๆ เป็นแง่ลบไปเสียหมด อย่าเป็นงั้นเลยหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN จะพามาดูอาการเบื้องต้นของคนที่เป็นต้นตอของความ Negative  และทางหนีทีไล่ที่ไม่ให้ผู้ชายอย่างเรา ต้องกลายเป็นคนงี่เง่าคิดลบไปซะหมด เพราะมันไม่เท่เอาซะเลย

5 นิสัยต้นตอของความกังวล (แบบไม่รู้ตัว)

นอนนะแต่นอนน้อย เลยเหมือนไม่ค่อยนอน

แม้จะบอกว่าวันนี้ผมได้นอนไปแล้วครับ แต่ถามว่าสดชื่นหรอ ? นอนเต็มอิ่มมั้ย ? ก็คงตอบได้แบบไม่เต็มปากนัก เพราะนอนไปไม่กี่ชั่วโมง จะเอาอะไรมาสดชื่นครับ! อย่างที่รู้ ๆ กันว่าความกังวล ความเครียด มันส่งผลกับการนอนของเราโดยตรง ลองสังเกตตัวเองกันดูว่าวันไหนที่มีเรื่องให้กังวลมากเป็นพิเศษ หรือช่วงไหนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา Mental Health ปัญหาการนอนตามมาเหมือนเงาเลยล่ะ หรือบางครั้งที่รู้สึกว่านอนพอแล้ว แต่ถ้าหากการนอนนั้นมันไม่ได้เข้าไปใน Stage ที่ลึกมากพอ (เรียกง่าย ๆ ว่าหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือหลับไม่ลึกนั่นแหละ) นั่นก็เป็นอีกสาเหตุของความสะลึมสะลือเหมือนอดนอน ทั้ง ๆ ที่จำนวนชั่วโมงการนอนมันมากพอแล้วนั่นเอง

“การกินอิ่มนอนหลับเป็นการประคับประคองอารมณ์ตัวเราให้อยู่ในระดับปกติ  เมื่อร่างกายของเราไม่ได้รับการดูแล เรามักจะประสบปัญหาเรื่องอารมณ์อย่างหนัก” Dr. Lorie A. Ritschel, Ph.D., a licensed psychologist และ Assistant Professor ที่ UNC School of Medicine ได้ให้คำแนะนำสำหรับเรื่องนี้เอาไว้

แต่ยังดีที่การกินและการนอน มันไม่ใช่ปัญหาซับซ้อนอะไร อยากสุขภาพดีก็กินให้ครบห้าหมู่ ตามหลักพีระมิดโภชนาการที่เป็นกันมาตั้งแต่ตั้งไข่ ส่วนเรื่องการนอนก็พยายามหาเวลานอนให้เพียงพอ ลดเรื่องเครียด ความกังวล และจัดสภาพแวดล้อมของห้องให้เหมาะกับการนอนจริง ๆ แค่นั้นเอง ไม่ยากเลย อย่างที่ Dr. Ritschel ได้แนะนำไว้ว่า “อย่าให้น้ำตาลในเลือดของคุณอยู่ในระดับที่ต่ำเกินไป ภาวะขาดน้ำตาลในเลือดมันส่งผลให้มีความกังวล กระสับกระส่าย ในทางตรงกันข้าม หากได้รับน้ำตาลหรือคาเฟอีนมากเกินไป จะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจและระความดันสูงขึ้นพอ ๆ กับความกังวล”

นั่นแสดงให้เห็นเลยว่าการนอนส่งผลกับชีวิตของคุณขนาดไหน ลองควบคุมการกินและการนอนของเราให้อยู่ในระดับเจ๋ง ๆ จนเรียกตัวเองว่าหนุ่มเฮลตี้กันดีกว่า เพื่อลดความกังวลที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นจากปัญหาพวกนั้น

โทรศัพท์ไม่เคยห่างจากมือ

เอฟเฟ็กต์อย่างแรกเลยคือการเสพติด Social Media จนเกิดความเครียด ความกังวล จากการได้รับข้อมูลมากเกินไป เพราะบางครั้งข้อมูลที่เราเจอตอนเลื่อนฟีดส์นั้น ด้วยความที่มันมาจากหลาย ๆ แหล่งข่าว มันไม่ได้เป็นอะไรที่คัดกรองมาแล้ว เลยตกเป็นหน้าที่ของเราที่จะคัดกรองข่าวพวกนั้นด้วยตัวเอง ยิ่งอ่านยิ่งคิด ยิ่งคิดยิ่งเครียด นอกจากนี้ยังต้องพึ่งพาสมาร์ตโฟนของเราทำอีกสารพัดอย่าง ไม่ว่าจะทำงาน ตอบอีเมล จนวัน ๆ แทบไม่ได้เงยหน้าจากโทรศัพท์เลยด้วยซ้ำ

หากเราจำเป็นต้องใช้มันก็ควรใช้แค่เท่าที่จำเป็น เพราะการเสพติดอะไรสักอย่างนั่นหมายความว่าเราใช้มันเกินขนาดไปแล้วนั่นเอง ใช้มันแต่พอดี ไม่ให้ตัวเรารู้สึกว่าเกิดการเสพติดมัน ทริกง่าย ๆ ที่พอจะแนะนำได้คือ ปิดเสียง ปิดแจ้งเตือนของแอปฯที่ไม่ได้จำเป็นนักเอาไว้ เหลือไว้แค่โทรศัพท์และข้อความแค่นั้นก็พอ ส่วนโซเชียลมีเดียที่เสพเพื่อความบันเทิงนั้น เอาไว้เรามีเวลาว่างจริง ๆ ค่อยเปิดดู เพื่อบำบัดตัวเองไม่ต้องนั่งรอแจ้งเตือนและปลดล็อกจอมาดูแจ้งเตือน ๆ ทุก ๆ นาที

กังวลว่าตัวเองกังวล จนเป็นคนกังวลในกังวล

Dr. Nick Hobson, PhD, Science Director ของเว็บไซต์ PsychologyCompass.com “การบอกให้ตัวเองไม่ต้องกังวลและคิดว่าตัวเองควบคุมมันได้ เป็นสิ่งที่เราไม่จำเป็นต้องไปคิดเลย ถ้าหากเรามีวินัยทางความคิดมากพอ” เพราะมันจะส่งผลในทางตรงข้ามการพยายามไปควบคุมความกังวล มันยิ่งทำให้เรากังวลมากขึ้นไปอีก “เรื่องจริงคือไม่มีใครหลีกเลี่ยงความกังวลได้” Dr. Nick กล่าวเสริมให้กำลังใจชาวคิดเยอะแบบพวกเราไว้ และ Dr. Ritschel (จากข้อแรก) อธิบายไว้ว่า “เมื่อเราหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับสิ่งที่เรากังวล สมองของเราจะส่งซิกว่าตรงนั้นมันอันตรายนะโว้ย  มันดูไม่ถูกต้องเท่าไหร่”

หนทางที่เราจะหลีกเลี่ยงความกังวลแบบมือโปรนั้น Dr. Nick กระซิบมาให้เราว่า “ค่อย ๆ ยอมรับว่าตัวเองกังวล แล้วนำความกังวลนั้นมาชำแหละดูว่าดีเทลของมันมีอะไรบ้าง เรียงลำดับความน่ากังวลจากน้อยไปมาก เตรียมตัวเองให้พร้อม กำจัดความกังวลที่น้อยที่สุดแล้วค่อย ๆ ไต่ขึ้นไปสู้กับอะไรที่มันยาก ๆ” เหมือนการเล่มเกมนั่นแหละที่เราต้องเก็บเวลจากเวลแรก ๆ กันก่อน กว่าจะชำนาญจนสู้กับบอสลับได้ก็ต้องเวลสูงแล้วนั่นเอง

พึ่งพาคนอื่นมากเกินไป

ด้วยสัญชาตญาณของสัตว์สังคมอย่างมนุษย์เรา เมื่อเกิดปัญหาอะไรขึ้นมา เรามักจะวิ่งหาใครสักคนที่พอจะช่วยเราได้ ลองนึกถึงวินาทีที่ได้เล่าความกังวลที่แบกเอาไว้ให้ใครสักคนฟังดูสิ มันคงช่วยให้เราสบายใจขึ้น แต่อย่าลืมว่ามันไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาให้เราเลย

เราอาจจะเล่าปัญหาให้ใครสักคนฟังเพื่อระบาย เพื่อสร้างความมั่นใจ ให้กับคำตอบหรือทางออกของตัวเอง แต่นั่นแหละ ต่างคนต่างวาระ เราอย่าเพิ่งเอาทางออกจากคนอื่นมาใช้กับปัญหาของตัวเอง เพราะไม้บรรทัดเดียวมันไม่สามารถใช้กับทุกอย่างได้ บางคนชอบคิดแทนคุณด้วยการแก้ปัญหาในแบบของเขา แม้มันจะได้ผลสำหรับเขา แต่มันไม่ได้การันตีผลลัพธ์เมื่อเอามาใช้กับปัญหาของคุณ เอาเป็นว่าเลือกที่จะเล่า ระบาย บอกกล่าว แทนการให้คนอื่นแก้ปัญหาให้จะดีกว่า

 พยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเอง

“ไหนบอกว่าไม่ให้พึ่งพาคนอื่นไง พึ่งพาตัวเองก็ไม่ได้อีกหรอ ?” อย่าเพิ่งโวยวายไป มาฟังเราอธิบายกันก่อน พยายามทำทุกอย่างในข้อนี้หมายถึงเรื่องงาน หรือเรื่องทั่วไปในชีวิต ไม่ใช่การพึ่งพากันในเชิงของการแก้ปัญหาชีวิตส่วนตัว

ลองนึกถึงว่าหลาย ๆ ครั้งเราเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะขอความช่วยเหลือนักหรอก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม อาจจะเพราะเกรงใจ กลัวโดนเหม็นขี้หน้าว่าเป็นตัววุ่นวาย เลยแบกทุกอย่างเอาไว้แล้วพยายามทำมันเองทั้งหมด และหากทำอย่างงี้ไปนาน ๆ มันยิ่งทำให้เรากังวลและเครียดมากขึ้นไปอีกว่าตัวเองจะทำปัญหาที่แบกมาทั้งหมดพังลง ถ้าเราไม่กล้าที่จะขอความช่วยเหลือแม้แต่เรื่องเล็กน้อย ลองลิสต์อะไรสักอย่างที่คุณไม่จำเป็นต้องทำด้วยตัวเองเอาไว้ เพราะบางครั้งมันก็ไม่ใช่หน้าที่เราด้วยซ้ำไป แล้วกลั้นใจลองทำให้ได้สักอย่างสองอย่างในลิสต์นั้นก่อน

5 ทางรอด เอาความคิด Negative ออกจากหัว

ยอมรับความคิดนั้นให้ได้ก่อน

แทนที่จะวิ่งหนีความจริง เอามันออกไปจากหัวแบบดื้อ ๆ อย่างที่รู้ทั้งรู้ว่าทำไม่ได้ ใจเย็นหน่อย! ลองสงบสติอารมณ์และะยอมรับมันซะ แต่ไม่ใช่แค่นั้น ส่วนมากเราก็มักจะยอมรับมันแล้วปล่อยเลยตามเลย เห้ย! ไม่ได้! เรามักจะลืมว่าเรามีพลังที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ ลองจดอะไรที่เป็น Negative ในทุกครั้งที่คิดมันขึ้นมาได้ และสาเหตุของมัน แล้วเราทำยังไงกับมันไปบ้าง เมื่อเวลาผ่านไปสักพักลองกลับมาดูว่าในตอนนั้นเราทำยังไงกับปัญหา แล้วประเมินตัวเองดู

Double Standard Method

หลายครั้งที่เราตัดสินตัวเองแบบใจร้ายเกินไปหรือโอ๋เกินไป ตามสถานการณ์ว่าตอนนั้นเราอยากได้คำตอบแบบไหน แต่พอเป็นการตัดสินคนอื่นแล้ว เรามีมาตรฐานในใจอยู่แล้วล่ะ แล้วมักจะใช้แบบนั้นตลอด เพราะมันไม่ใช่ตัวเองไงล่ะ ตัดสินยังไงก็ได้ เพราะเราไม่ต้องเป็นคนที่มารับฟังผลลัพธ์ไงล่ะ

ลองคิดดูว่าถ้าเกิดไอ้เพื่อนรักของเรามันเกิดเจอเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมา ลองคิดดูว่าเราจะทำยังไงกับมัน แล้วก็เอามาใช้กับตัวเองนั่นแหละ เพราะบางครั้งมองจากมุมคนนอกมันจะมองอะไรได้กว้างมากกว่าคนที่จมอยู่กับปัญหา พอไม่ได้มองว่ามันคือปัญหาของเราแล้ว เราอาจจะได้ทางออกที่แจ่มมากก็ได้

สู้ด้วยความ Positive

หากเป็นคนแข็งกระด้างจนตัวเองรู้สึกว่ามันช่างหดหู่เหลือเกิน ลองปรับมู้ดตัวเองให้มาเป็นคนใจดีมากขึ้น นุ่มนวลมากขึ้น ใจดีกับตัวเองหน่อยหนุ่ม ๆ เอาพลังบวกมาสู้กับความคิดลบ ๆ ดูเป็นอะไรที่ตรงรุ่นและถูกทางที่สุดแล้ว แม้มันจะดูนามธรรมจับต้องไม่ได้ แต่ความเป็นจริงคือมันเป็นเรื่องของความคิดไง ถ้าหากขนาดกับตัวเราเองยังใจร้ายกับตัวเองได้ ชอบคิดลบ ดูถูกตัวเอง แล้วทำไมเราจะทำกับคนอื่นไม่ได้ล่ะ บางทีเราอาจจะเผลอทำไปแบบไม่รู้ตัวไปแล้วด้วยซ้ำ เริ่มจากการหาข้อดีของตัวเอง แล้วสนับสนุนตัวเองในด้านนั้นให้ไปได้สุดทาง มันจะช่วยให้เราลดความ Negative ลง และยังเพิ่มพลังให้กับตัวเองอีกด้วยว่าเราก็ไม่ได้ห่วยแตกอย่างที่คิดนี่หว่า

แชร์ปัญหากับใครสักคนที่คุณไว้ใจ

ปัญหาถาโถมเกินจะแบกไหว โทรหาใครสักคนที่คุณไว้ใจ เพราะเขาก็ต้องรู้จักคุณดีในระดับนึง เขาต้องรู้มาบ้างแล้วว่าต้องรับมือกับคุณยังไง หรือรู้ว่าคุณต้องการคำตอบแบบไหนที่จะทำให้คุณรู้สึกดี แม้มันจะดูขี้แย แต่เห้ย! ใครจะเข้มแข็งตลอดเวลาวะ! อ่อนไหวบ้างก็ได้ ผู้ชายก็ร้องไห้เป็นเหมือนกันแหละ การมีใครสักคนมารับฟังเรื่องราวสุดวายป่วงของคุณ แม้มันจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาทั้งหมดได้แบบเซียน ๆ แต่มันก็ยังดีกว่าต้องเผชิญหน้าทุกอย่างเพียงลำพัง จนเหมือนกันไปไม่เจอใครอยู่ข้าง ๆ มันเศร้าเกินไปหน่อยแล้ว

หากคุณพบว่าตัวเองเป็นคนขี้กังวลจาก Part แรก ลองเอาทางออกจาก Part 2 ไปปรับใช้ การเป็นคน Negative มันไม่ใช่เรื่องดีนักหรอก ตัวเองหม่นหมองไม่พอ จะพาคนอื่นหม่นหมองไปด้วย ลองพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้าน ไม่เว้นแม้แต่ด้านอารมณ์ ให้เราได้ใช้ชีวิตแบบมีความสุข ไม่ต้องมีเมฆฝนอยู่ในความคิดตลอดเวลา

SOURCE 1/2

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line