หลายคนคงคิดว่า เมื่อเราเป็นเจ้าของชีวิต เราก็น่าจะควบคุมการตัดสินใจของตัวเองได้เสมอ แต่ในความเป็นจริง มนุษย์มีระบบการตอบสนองแบบอัตโนมัติอยู่ หรือที่เรียกกันว่าโหมด autopilot เมื่ออยู่ในโหมดนี้เราจะตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ โดยใช้ความเคยชิน และคิดน้อยลง การใช้โหมดนี้อาจจะดีเมื่อเราทำเรื่องที่เป็นรูทีน เช่น การขับรถ หรือ กินข้าว เพราะช่วยประหยัดพลังงานสมอง แต่เมื่อเจอกับเรื่องที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การแต่งงาน การแก้ปัญหาในที่ทำงาน โหมดนี้อาจส่งผลให้เราตัดสินใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้นได้แย่ลงได้ เราเลยอยากมาแนะนำวิธีการออกจากโหมด autopilot เพื่อให้เราสามารถควบคุมชีวิตตัวเอง และตัดสินใจเรื่องยาก ๆ ได้ดีขึ้น โหมด AUTOPILOT ทำงานยังไง ? ว่ากันว่า โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติ หรือ autopilot ของเราเกี่ยวข้องกับโครงข่ายของสมองที่เรียกว่า Default Brain Network (DMN) ซึ่งจะทำงานในเวลาที่เราไม่โฟกัสกับโลกภายนอก หรือ กำลังใจลอยอยู่ โดยโครงข่ายนี้จะเกี่ยวข้องกับสมอง 3 ส่วน ได้แก่ Posterior cingulate cortex (PCC) และ precuneus ที่อยู่ในสมองกลีบข้าง
เวลาดูหนังหรือซีรี่ส์สืบสวนสอบสวน เรามักจะเห็นว่าการจับผิดคนทางภาษากายมันทำได้จริง จากการสังเกตเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราแสดงออกมาอย่างไม่รู้ตัว เช่น จังหวะการกระพริบตา หลบตา การกอดอก เม้มปาก และอีกสารพัดอย่างที่เราเผลอทำออกมาในเวลาที่เราตื่นเต้น หวาดกลัว หรือกำลังโกหก นอกจากความรู้สึกเหล่านั้นที่ผลักดันให้เราทำอะไรแปลก ๆ ไม่เป็นตัวเองออกมาแล้ว “ความสงสัย” ก็เป็นอีกอาการที่มักจะทำให้เราเผลอ “เกาหัว” ขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล จนเหมือนการเกาหัวเป็น Symbol ของความครุ่นคิด สงสัย ไปแล้ว โดยเฉพาะในละครทีวี ภาพยนตร์ ที่มักจะใส่อวัจนภาษาเข้าไปเพื่อแทนที่ไดอะล็อกที่ไม่จำเป็น UNLOCKMEN จะพามาหาคำตอบ ว่าทำไมความคันมันถึงมาเยือนเราเมื่อกำลังใช้สมองครุ่นคิดอะไรบางอย่างแบบอัตโนมัติ เกาทำไม ทำไมต้องเกา ? Matthew Alice คอลัมนิสต์ของ San Diego Reader ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้ว่า “คำอธิบายยอดฮิตของการเกาหัวเวลาสงสัยเนี่ย มันเป็นอาการปกติเวลามนุษย์ถูกความหงุดหงิดคุกคาม ซึ่งตรงกับธรรมชาติของเราเมื่อครั้งบรรพบุรุษ ที่มักจะขว้างก้อนหินเมื่ออะไรไม่ได้ดั่งใจ” Alice พยายามหาเหตุผลทางมานุษยวิทยามาอธิบายเรื่องนี้ “เมื่อเราต้องสู้กับปัญหาสุดยุ่งเหยิง จากประสบการณ์ของคนเรา พอเจอกับเรื่องชวนปวดหัวแบบนี้แล้ว บางคนอาจจะหงุดหงิด โมโห และยกมือขึ้นก่อนที่เราจะรู้ตัวซะอีก
ความคิด Negative เป็นเหมือนมลพิษที่อยู่ในตัวของคนเรา มันสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกช่วงเวลา และส่งต่อไปให้คนอื่นได้อีกด้วย หลายครั้งที่ความคิด Negative มันเกิดจากความขี้กังวลของเรา จนทำให้เรามองอะไร ๆ เป็นแง่ลบไปเสียหมด อย่าเป็นงั้นเลยหนุ่ม ๆ UNLOCKMEN จะพามาดูอาการเบื้องต้นของคนที่เป็นต้นตอของความ Negative และทางหนีทีไล่ที่ไม่ให้ผู้ชายอย่างเรา ต้องกลายเป็นคนงี่เง่าคิดลบไปซะหมด เพราะมันไม่เท่เอาซะเลย 5 นิสัยต้นตอของความกังวล (แบบไม่รู้ตัว) นอนนะแต่นอนน้อย เลยเหมือนไม่ค่อยนอน แม้จะบอกว่าวันนี้ผมได้นอนไปแล้วครับ แต่ถามว่าสดชื่นหรอ ? นอนเต็มอิ่มมั้ย ? ก็คงตอบได้แบบไม่เต็มปากนัก เพราะนอนไปไม่กี่ชั่วโมง จะเอาอะไรมาสดชื่นครับ! อย่างที่รู้ ๆ กันว่าความกังวล ความเครียด มันส่งผลกับการนอนของเราโดยตรง ลองสังเกตตัวเองกันดูว่าวันไหนที่มีเรื่องให้กังวลมากเป็นพิเศษ หรือช่วงไหนที่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหา Mental Health ปัญหาการนอนตามมาเหมือนเงาเลยล่ะ หรือบางครั้งที่รู้สึกว่านอนพอแล้ว แต่ถ้าหากการนอนนั้นมันไม่ได้เข้าไปใน Stage ที่ลึกมากพอ (เรียกง่าย ๆ ว่าหลับ ๆ ตื่น ๆ หรือหลับไม่ลึกนั่นแหละ) นั่นก็เป็นอีกสาเหตุของความสะลึมสะลือเหมือนอดนอน ทั้ง ๆ ที่จำนวนชั่วโมงการนอนมันมากพอแล้วนั่นเอง