Work

UNLOCK TEAM POTENTIAL: วิธีปลดล็อกศักยภาพทีมตามแบบฉบับยอดโปรดิวเซอร์ ‘Rick Rubin’

By: PEERAWIT February 19, 2018

การเป็นหัวหน้าหรือคนคุมโปรเจ็คต์อะไรก็ตามไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องทำงานกับคนหลากหลายในการผลิตงานคุณภาพออกมาให้ได้ตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ แถมระหว่างทางก็มีปัญหาเฉพาะหน้าให้แก้ไขตลอด ใครที่อยู่ในตำแหน่งนี้ย่อมรู้ดีว่ามันท้าทายสุด โดยเฉพาะการบริหารคน ทรัพยากรล้ำค่าที่สุดในวงจรการทำงาน

เมื่อมนุษย์เป็นตัวแปรสำคัญแล้ว การจะได้งานที่ยอดเยี่ยมก็ต้องดึงศักยภาพของคนในทีมออกมาให้ได้เต็มที่ ไม่ใช่แค่ put the man on the right job เท่านั้น แต่ยังต้อง unlock thier potential ออกมาให้ได้ นี่คือโจทย์ที่ยากสำหรับใครหลายคน และก็มีหลายคนเช่นกันที่สามารถทำได้ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไป หนึ่งในนั้นคือคนที่ UNLOCKMEN อยากเล่าเรื่องราวและเทคนิคของเขาในการเค้นความสามารถของคนอื่นออกมา ชายคนนี้คือสุดยอดโปรดิวเซอร์ระดับโลกที่ชื่อว่า Rick Rubin

 

หนึ่งในบุคคลที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดในวงการดนตรี 

Frederick Jay “Rick” Rubin คือโปรดิวเซอร์รุ่นใหญ่ชาวอเมริกัน อดีตประธานร่วมของ Columbia Records และผู้ร่วมก่อตั้ง Def Jam Records รวมถึง American Recordings ต้องบอกว่ายากมากที่จะหาโปรดิวเซอร์ที่มีเรซูเม่ใกล้เคียงกับเขา

Rubin มีส่วนสำคัญมากในการผลักดันให้ดนตรีแนว hip hop ก้าวเข้าสู่ยุคทองในช่วงปลายยุค ’80 เคยช่วยปลุกปั้นศิลปิน hip hop อย่าง Public Enemy, the Beastie Boys และ Run DMC ให้ปัง รวมถึงร่วมงานกับศิลปินดังแนวอื่น อย่าง Johnny Cash, Neil Diamond, ZZ Top, AC/DC, Adele และ Lady Gaga อีกด้วย ขนาดที่แร็ปเปอร์ฝีปากกล้าอย่าง Eminem ยังเคยเอ่ยปากชมว่าผมเป็นแฟนตัวยงของ Rick และโคตรปลื้มที่เขาสามารถเข้าถึงแนวดนตรีได้หลากหลายและทำให้มันเจ๋งสุด

นอกจากบิ๊กเนมที่กล่าวมาแล้ว Rubin ยังเคยร่วมงานกับศิลปินระดับโลกที่เรารู้จักอีกมากมาย อาทิ Aerosmith, Audioslave, Black Sabbath, Damien Rice, Ed Sheeran, Jay Z, Justin Timberlake, Kanye West, Lana Del Rey, Linkin Park, Metallica, Rage Against the Machine, Red Hot Chili Peppers, Shakira, Slayer, Slipknot, System of a Down และ Weezer ยังไม่รวมอีกหลายโปรเจ็กต์ที่น้า Rick กำลังทำอยู่ตอนนี้ เรียกได้ว่าไฟยังคงเต็มเปี่ยมสำหรับชายที่กำลังจะอายุครบ 55 ปีในวันที่ 10 มีนาคม 2018 นี้

 

เป็นผู้ฟังเพลงและผู้ฟังคนอื่นที่ดี

เราต้องการคนที่ได้ยินความเป็น Metallica”James Hetfield ฟร้อนต์แมนและผู้ร่วมก่อตั้งวง Metallica อธิบายถึงเหตุผลว่าทำไมวงของเขาถึงร่วมงานกับ Rubin ซึ่งอัลบัม Death Magnetic สตูดิโออัลบัมที่ 9 ของพวกเขา ได้ Rubin มาช่วยโปรดิวซ์

แม้ Rubin จะเป็นคนเซนส์ดีแค่ไหนในการโปรดิวซ์งาน ที่สิ่งที่เขายึดถือก็คือการเป็นผู้ฟังที่ดี เขาจะใช้เวลาในการพูดคุยกับศิลปินอย่างลึกซึ้งเสมอ ไม่ใช่แค่ฟังความแต่ต้องการเท่านั้น

ถ้าคุณเป็นผู้ฟังที่ดี ทุกคนจะเปิดใจอธิบายความต้องการที่แท้จริงออกมา ผมจะทุ่มเทกับการใช้เวลาร่วมกับศิลปิน และตั้งใจฟังสิ่งที่พวกเขาพูด ผมจะให้เขาบอกเป้าหมายที่แท้จริงและเป้าหมายสูงสุดของสูงสุดออกมา เราจะกลับไปยังจุดเริ่มต้น จุดที่เราเริ่มทำมันด้วยใจ” 

 

สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์

Rubin เชื่อว่าสมาธิและความมีอิสระทางความคิดเป็นสิ่งสำคัญ มีส่วนช่วยให้ทุกคนอันล็อกประสบการณ์ออกมาใช้ในงานได้เต็มที่ และเขาไม่เคยเอาอีโก้ของตัวเองมาตัดสินงานของศิลปิน

หนึ่งในสิ่งที่ผมเน้น คือ ผมพยายามเสมอที่จะสร้างสิ่งแวดล้อมในการทำงานให้ศิลปินรู้สึกสบายใจสุด ถึงขั้นล่อนจ้อนกันได้เลย เป็นเซฟตี้โซนที่พวกเขาสามารถเป็นตัวของตัวเองและเปิดเผยได้เต็มที่ และผลลัพธ์มันจะทรงพลังมาก เราสามารถปลดปล่อยทุกอย่างออกมาได้

 

พัฒนาจุดแข็ง ลดบทบาทจุดอ่อน

อีกวิธีหนึ่งที่ Rick ใช้ในการทำงาน คือการหาวิธีสนับสนุนจุดแข็งและไม่ให้จุดอ่อนของศิลปินมามีส่วนร่วมในงาน ทำให้เขาสามารถทำงานกับศิลปินได้หลากหลายแนว บางครั้งก็ให้บางคนแต่งเพลงขณะขับรถ เพื่อป้องกันความลังเลใจ เพราะว่าเวลาที่ภาระหลักอยู่กับการจับพวงมาลัยแล้ว คิดอะไรออกมาได้ก็คงไม่มีเวลารื้อเพลงอีกครั้งในตอนนั้นอีกครั้ง ส่วนใครที่มีปัญหาการเขียนเนื้อเพลง เขาจะคิดค้นเกมที่แฝงความหมายของบทกวีขึ้นมาเล่นด้วยกัน เพื่อช่วยให้ศิลปินแตกฉานเรื่องความหมายของภาษามากขึ้น

บางทีก็เปลี่ยนบรรยากาศไปเลย อย่างเช่นเมื่อตอนที่ Red Hot Chili Peppers ทำอัลบัม Blood Sugar Sex Magik เขาก็พาวงไปอัดกันที่บ้านหลังหนึ่งแทนที่จะให้อัดในสตูดิโอปกติ เพื่อให้ได้รับความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่จำเจ

บางครั้งมันก็เป็นการสร้างความอบอุ่น เวลาที่เรารู้สึกสบายไอเดียมักจะบรรเจิด บางครั้งผมก็ประชุมวงด้วยการเดินประชุมริมชายหาด และมันได้งานมากกว่าการนั่งประชุมเครียดในออฟฟิศ” 

 

ใช้ศิลปะแห่งตรรกะในการวิจารณ์งาน

โปรดิวเซอร์รุ่นใหญ่อย่างเขารู้ดีว่าอีโก้คืออุปสรรคที่ทำให้คนที่ประสบความสำเร็จแล้วไม่สามารถสร้างสรรค์งานที่ดีออกมาอีก เวลาที่ศิลปินดังทะลุโลก พวกเขามักจะไม่ค่อยอยากได้ยินความจริง

มันเป็นเรื่องเดียวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าของธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ผู้คนรอบข้างมักจะชื่นชมคนนั้นแต่อย่างเดียว ซึ่งมันไม่ก่อให้เกิดการพัฒนาเลย แล้วถ้าทุกคนบอกว่าคุณเจ๋งทุกอย่างโดยไม่มีการอ้างอิงมันก็อาจจะทำให้คุณหลงทางได้ เวลาที่ผมวิจารณ์งาน ผมจะยึดหลักความจริงเหมือนกับการวิเคราะห์โจทย์คณิตศาสตร์เลย และตั้งคำถามว่าวิธีการใดที่จะหาคำตอบที่คุณหาอยู่ได้ ผมจะช่วยพวกเขาค้นพบกระบวนการทำงาน และตั้งข้อสงสัยในงานที่พวกเขาว่าดีที่สุดแล้วเสมอ และสะท้อนความรู้สึกของแฟน เช่นการไม่เชื่อว่านี่คืองานที่ดีที่สุดของคุณ ซึ่งเป็นความเห็นของผมในฐานะสาวกของวงอีกคน

จะเห็นได้ว่าการทำงานของ Rubin จะเน้นการเข้าใจเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน โยนอีโก้ทิ้งไป และใส่ใจถึงวิธีการปลดล็อกความคิดสร้างสรรค์ออกมามากกว่าการกดดันให้ทำตามคำสั่ง ส่วนข้อพิสูจน์ก็เห็นกันชัด อยู่ ศิลปินที่เคยร่วมงานกับเขาหลายคนคว้ารางวัล Grammy Awards เป็นว่าเล่น ทำยอดขายระดับแพลตตินัมก็มีอยู่ให้เห็น แถมยังเป็น top of mind ในแต่ละแนวเพลงอีกด้วย

 

วิธีการของ Rubin ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะกับการทำงานในแวดวงดนตรีเท่านั้นนะครับ แต่ยังเป็นหนทางที่กว้างพอที่จะนำไปปรับใช้กับงานอื่น ได้อีกด้วย ลองนำแนวทางเจ๋ง นี้ไปใช้กันดูนะครับ รับรองว่าความสำเร็จด้วยกันทั้งทีมรออยู่ไม่ไกลแน่นอน 

SOURCE 1 / SOURCE 2

ภาพ cover จาก : www.mattblick.com

PEERAWIT
WRITER: PEERAWIT
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line