Entertainment

‘EMMA STONE’ STAR OF THE MONTH 10 บทบาทยอดเยี่ยมที่บ่งบอกความเป็นยอดนักแสดงแห่งยุค

By: unlockmen August 31, 2021

นักแสดงสาวยุคใหม่ ที่เต็มไปด้วยความมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นบทสาวแสบที่แจ้งเกิดของเธอ / มือปราบซอมบี้สุดห้าว / สาวผู้ไขว่คว้าหาฝัน หรือเป็นหวานใจของไอ้แมงมุม Emma Stone ล้วนผ่านบทบาทมาแล้วอย่างโชกโชน ด้วยอายุอานามเพียง 32 ปี

ล่าสุดเรากำลังจะได้ชมภาพยนตร์เรื่องใหม่ กับการรับบทบาทนางวายร้ายอันลือลั่นแห่งโลกการ์ตูนดิสนีย์ ในหนังชื่อ “Cruella” ที่จะฉายใน Disney+HotStar

เรามาย้อนดูบทบาทเจ๋ง ๆ ที่ผ่านมาของเธอเพื่อต้อนรับหนังใหมไปพร้อม ๆ กัน

 

Zombieland (2009) as Wichita

หนทางแจ้งเกิดของนักแสดงสาวนั้นมีมากมาย อาจจะเป็นหนังรักรอมคอมดี ๆ สักเรื่อง แต่บทบาทที่ทำให้เราได้รู้จัก Emma Stone อย่างเป็นทางการ กลับเป็นหนังซอมบี้สุดห้าวและเก๋าเกรียน ที่อุดมไปด้วยเลือดและการระเบิดสมองเรื่องนี้

Emma รับบทเป็น Wichita พี่สาวที่กระเตงน้องสาว ใช้เสน่ห์ และความเจ้าเล่ห์ของผู้หญิง ร่วมเดินทางไปกับ Jesse Eisenberg และ Woody Harrelson ออกเดินทางเพื่อเอาตัวรอดในยุคซอมบี้ครองเมือง การได้ทำความรู้จักกับสาวตาโต แต่พิษสงเหลือร้าย พร้อมควงปืนระเบิดหัวซอมบี้ได้อย่างไม่ลังเลนี้ คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้มหาชนได้รู้จักสาวตาโตเสียงแหบทุ้มคนนี้อย่างเป็นทางการ

“ตอนเป็นเด็ก ฉันค้นพบว่า “ภาพยนตร์” เป็นโลกคู่ขนานที่ฉันสามารถดำดิ่งลงไปได้ นั่นคือเหตุผลที่ฉันเริ่มดูหนังตลอดเวลาและต้องการเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้น และมันก็เป็นความสุขที่เหลือเชื่อสำหรับฉันที่ได้ทำงานที่ฉันรัก และเติมเต็มความฝันนั้น…

ในวัย 15 ฉันเต็มไปด้วยความไม่มั่นใจ ทั้งเสียงที่ทุ้มแหบไร้เสน่ห์ แต่ฉันก็ไม่เคยยอมแพ้ และค่อย ๆ เดินหน้าท้าชนมันไปเรื่อย ๆ”

แม้ในความเป็นจริง Zombieland อาจจะเรียกว่าเป็นหนังแจ้งเกิดเธออย่างเต็มตัวได้ไม่เต็มปากมากนัก เพราะหนังขายความเป็นทีมมากกว่าที่จะฉายเดี่ยว แต่เธอก็สามารถยืนหยัดได้ท่ามกลางนักแสดงรุ่นใหญ่ จนหนังดังและมีภาคต่อในอีก 10 ปีต่อมาใน Zombieland: Double Tap (2019)


Easy A (2010) as Olive Penderghas

หนังที่แจ้งเกิดให้โลกได้รู้จักเธออย่างเต็มตัวคือหนังเรื่อง Easy A ที่เล่าเรื่องของ Olive สาวบ้าน ๆ ธรรมดา ๆ ผู้ไขว่คว้าหาทางที่จะเป็นสาวฮอตประจำโรงเรียน แม้จะต้องแลกด้วยการเป็นสาวสุดแรงและเป็นขี้ปากของเพื่อน ๆ ก็ตาม

ว่าแล้วเธอก็เริ่มต้นด้วยการมีอะไร (แบบปลอม ๆ ) กับเพื่อนเกย์ของเธอในค่ำคืนปาร์ตี้สุดเหวี่ยง เพื่อให้ใครต่อใครเอาเรื่องนี้ไปซุบซิบนินทา หลังจากนั้นเธอก็กลายร่างเป็นสาวสุดฮอตสะเทือนโลกโซเชียล พร้อมให้คำปรึกษากับเพื่อนชายแสนเห่ยที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ด้วยการสร้างเรื่องหลับนอนไปเรื่อยเพื่อแสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ผู้ชายไร้น้ำยา ในขณะเดียวกันเธอก็กำลังถูกเพ่งเล็งจากสาวขี้อิจฉาที่พร้อมจะจับโป๊ะว่าเธอไม่แรงจริงดังที่โม้เอาไว้

“ฉันคิดว่า Olive เป็นตัวละครที่น่าทึ่งมาก ฉันได้อ่านสคริปต์ก่อนที่ Screen Gems (สตูดิโอผู้สร้าง) จะคัดเลือกนักแสดง ฉันขอร้องผู้จัดการให้ส่งชื่อเข้าร่วมออดิชั่นทันที

สองสามเดือนต่อมา พวกเขาเรียกเข้าไปออดิชั่น และฉันก็รีบพุ่งไปที่นัดก่อนเวลา เพื่อแสดงให้เห็นว่าฉันทุ่มเทและอยากได้รับบทบาทนี้ขนาดไหน เพราะมันเป็นบทบาทที่อยากเล่นมากจริง ๆ ดีใจที่สุดท้ายฉันได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน”

นี่คือหนังแจ้งเกิด Emma ที่แท้จริง ด้วยบทบาทที่ทั้งใสและร้ายธรรมชาติ ในช่วงเวลานั้นสาวแสบมีอยู่มากมาย แต่ไม่มีใครร้ายโดดเด่นทะลุจอได้เท่ากับ Emma อีกแล้ว เพราะเธอเพิ่มมิติและมุมมองด้วยสายตาสาวธรรมดาที่ยังไม่มีออร่าความร้ายใด ๆ มาสวมใส่ในบทบาทนี้ จนทำให้สปอตไลท์เริ่มฉายมาที่เธอ เพื่อบอกว่า “นักแสดงสาวสุดฮอตของวงการได้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว”


The Help (2011) as Skeeter

พัฒนาการแบบก้าวกระโดดในฐานะนักแสดงสายคุณภาพของ Emma เริ่มต้นจากหนังเรื่องนี้ โดย Emma รับบทเป็นนักเขียนสาวในยุคที่สังคมยังไม่ยอมรับ จนเธอได้พบความอยุติธรรมของสาวใช้ผิวสีที่ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก จึงพยายามเรียกร้องความยุติธรรมผ่านงานเขียนของเธอเพื่อให้โลกได้รับรู้

ถึงแม้ว่าการแสดงของเธอจะถูกรุ่นใหญ่อย่าง Viola Davis และ Octavia Spencer บดบังด้วยการแสดงจนมิด แต่ก็นับเป็นความกล้าหาญในการรับบทที่แก่เกินอายุจริงของเธอ ซึ่ง The Help นับเป็นการสะสมแต้มไมล์การแสดงครั้งสำคัญเพื่อเฉิดฉายในบทบาทครั้งต่อไป

แม้บทของ Emma จะไม่ได้โดดเด่น แต่เธอก็เป็นศูนย์กลางและเป็นจุดเชื่อมสำคัญให้กับตัวหนัง ซึ่งบทบาทระดับนี้สมควรตกอยู่ในมือของนักแสดงระดับมืออาชีพที่มีผลงานระดับ 10 ปีขึ้นไป แต่ Emma กลับแสดงศักยภาพนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งที่จำนวนปีในการแสดงของเธอนั้นยังน้อยในยุคนั้น


Crazy, Stupid Love (2011) as Hannah

ก่อนที่ Emma และ Ryan Gosling จะเป็นคู่รักแห่งนครดารา La La Land ทั้ง 2 เคยจับคู่กันในหนังรักสุดห่าม ในช่วงนั้น Ryan เป็นนักแสดงขวัญใจที่โลกรู้จักในฐานะชายหนุ่มที่ผู้หญิงทั่วทั้งโลกยอมพลีใจให้ แต่ Emma ในเรื่องกลับเป็นสาวที่เพลย์บอยอย่าง Ryan ต้องยอมสยบ เพราะเธอคือคนแรกที่กล้าปฏิเสธเขา (และกล้าสั่งให้เขาถอดเสื้อโชว์ซิกซ์แพ็ค)

หนังรักตลกสุดห่ามเรื่องนี้ นอกจากเผยให้เห็นความหวานของเธอที่ทำให้ทั้งคนดูและ Ryan ต่างหลงรักจนถอนตัวไม่ขึ้นแล้ว เรายังได้รู้อีกว่า เธอเป็นโรคจั๊กจี้กเวลาใครจะมาอุ้มอีกด้วย

“มีฉากหนึ่งที่ฉันต้องกระโดดใส่ Ryan ก่อนที่เขาจะยกตัวฉันให้สูงขึ้น และเรื่องที่ฉันเพิ่งรู้ก็คือ ฉันมีอาการกลัวอยู่ข้างในถ้าจะต้องใครถูกอุ้มขึ้นเหนือศีรษะที่ความสูงประมาณหกฟุต…มันรู้สึกจั๊กจี้มาก ๆ ”

แม้ฉากนั้นในหนังจะผ่านไปได้ด้วยดี แต่ก็ทำให้รู้ว่าในความเป็นจริงแล้ว Emma Stone ในช่วงนั้นยังคงเป็นแค่เด็กสาวคนหนึ่ง ซึ่ง Crazy, Stupid Love ไม่ใช่แค่ Ryan คนเดียวที่คลั่งไคล้ แต่ความน่ารักของเธอยังทำให้ผู้ชายทั่วโลกคลั่งรักไปกับเธอด้วย


The Amazing Spider-Man (2012) as Gwen Stacy

แล้วในที่สุด เธอก็สามารถยืนแถวหน้าในฐานะนักแสดงหนังระดับ Blockbuster ด้วยการรับบทที่นักแสดงสาวมากมายต่างต้องการคว้ามาครอบครอง กับบทบาท Gwen Stacy หวานใจของไอ้แมงมุมในจักรวาลของ Andrew Garfield

แม้เวอร์ชั่นนี้จะถูกเปรียบเทียบอย่างหนักจากเวอร์ชั่นของ Tobey Maguire และตัว Emma เองก็โดนเปรียบเทียบกับ Kirsten Dunst ไม่ใช่น้อย (ทั้งๆที่คนละคาแรคเตอร์กัน) แต่ Emma ก็สามารถพาตัวตนของ Gwen Stacy ให้ห่างไกลจากคำว่า “ผู้หญิงเป็นแค่ไม้ประดับสำหรับหนังซูเปอร์ฮีโร่” ได้อย่างสวยงาม

โดยเฉพาะภาค 2 ที่เรื่องราวความรักของเธอนั้น ดำเนินเรื่องมาสู่จุดหักเห จนเกือบจะกลายเป็นหนังรักมากกว่าหนังซูเปอร์ฮีโร่ไปแล้ว ซึ่งก็ไม่แปลกใจเท่าไหร่ เพราะหนังไอ้แมงมุมเรื่องนี้นั้นเอง ทำให้สุดท้าย Emma กับ Andrew ได้คบหาเป็นคนรักกันในช่วงระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว


Birdman or (The Unexpected Virtue of Ignorance) (2014) as Sam

แล้วการแสดงของเธอก็ปรากฏชัดเจนในสายของการแสดงระดับคุณภาพ จากหนังลองเทคบันลือโลกเรื่องนี้ โดย Emma รับบทเป็นลูกสาวของนักแสดงชื่อดัง ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับพ่อของเธอเอง หนำซ้ำเธอยังติดยาอย่างหนัก การแสดงของ Emma นำมาซึ่งความซับซ้อนทางอารมณ์ ไปจนถึงความดิ่งลึกของคาแรคเตอร์ท่ามกลางการแสดงที่ต้องวางแผนอย่างดีในการถ่ายทำแบบลองเทค

“มันไม่ต่างกับการแสดงละครเวที หนังเรื่องนี้ต้องลากการถ่ายทำในแต่ละซีนที่ยาวนานให้ลื่นไหลที่สุด ฉันคือหนึ่งในฟันเฟือนที่ต้องลื่นไหลไปตามบทบาทนั้น เพราะหากมันพลาด นั่นหมายความว่าทีมงานนับร้อย นักแสดงนับสิบ ต้องเริ่มนับหนึ่งกันใหม่หมด มันจึงเป็นประสบการณ์ที่แสนคุ้มค่าและบ้าคลั่งสำหรับฉัน”

ผลตอบแทนความบ้าคลั่งในครั้งนั้นก็คือ การที่เธอได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขานักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยมเป็นครั้งแรก แม้ว่าเธอจะไม่ได้รางวัล แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะหลังจากนั้นเราจะได้ยินการขานชื่อของเธอบนเวทีนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากผลงานเรื่องต่อ ๆ ไปในฐานะนักแสดงคุณภาพ


La La Land (2016) as Mia

การกลับมาพบกันอีกครั้งของ Emma และ Ryan ในหนัง Musical ที่ว่าด้วยความฝัน ความหวัง ความรัก และโอกาสในเมืองมายา

Emma เจิดจรัสในบท Mia สาวผู้หอบหิ้วเอาความฝันเดินทางมายังฮอลลีวูด เพื่อสานฝันการเป็นนักแสดงให้เป็นจริง แต่เมื่อหน้าที่การทำงานเจิดจรัส ความรักระหว่างเธอกับ Ryan กลับค่อย ๆ ดับแสง แน่นอนว่าบท Mia ที่ Emma แสดงนั้น ฉายความทรงจำในอดีตที่เธอเคยเดินสายไปออดิชั่นเพื่อเข้าสู่วงการแสดงในชีวิตจริง La La Land จึงเป็นมากกว่าหนัง เพราะสำหรับเธอนี่คือบทบาทจากชีวิตจริง

“มันเป็นโปรเจกต์ที่แสนทะเยอทะยาน สิ่งที่ผู้กำกับ Damien Chazelle กำลังทำอยู่นั้นน่าตื่นเต้นและดึงดูดใจจริง ๆ ฉันชอบความแปลกใหม่และความท้าทาย มันเจ๋งและน่าสนใจมากที่ได้เป็นส่วนหนึ่งและน่ากลัวพอ ๆ กัน เพราะฉันไม่ถูกโฉลกกับการร้องเพลงเลยสักนิด

ในบทบาทนี้ทำให้ฉันเห็นตัวเองในอดีตที่ต้องเดินสายไปทดสอบบทในหนังเรื่องแล้วเรื่องเล่า ซึ่งในตอนแรก ๆ นั้นเต็มไปด้วยความผิดหวัง”

และบทบาทนี้เอง ที่สุดท้ายก็ชนะใจกรรมการ จน Emma สามารถคว้ารางวัลออสการ์สาขานักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมมาครองได้สำเร็จ และนับเป็นการแสดงในระดับมาสเตอร์พีช เพราะ Emma ไปได้สวย ทั้งการแสดง ทั้งการเต้น และการร้อง เรียกได้ว่าเป็นบทบาทที่โชว์ศักยภาพการแสดงได้อย่างเหนือชั้น นับเป็นจุดสูงสุดของการแสดงของเธอเลยก็เป็นได้


Battle of the Sexes (2017) as Billie Jean King

หลังจากคว้ารางวัลออสการ์มาครอง ผลงานเรื่องต่อไปของ Emma คือหนังที่บันทึกช่วงเหตุการณ์จริงของ Billie Jean King นักเทนนิสสาวที่ไม่ปิดบังตัวตนว่าเป็นเลสเบี้ยน เธอถูกท้าทายโดยนักเทนนิสชายอีโก้จัด Bobby Riggs เพื่อบอกว่าผู้หญิงควรอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน อย่าได้คิดมาประท้วงเรียกร้องความเท่าเทียมใด ๆ ศึกแห่งศักดิ์ศรีที่ห้ำหั่นผ่านเกมเทนนิสจึงมาพร้อมการแบกรับความรู้สึกเพื่อต้องการบ่งบอกว่า “ผู้หญิงก็สามารถเอาชนะผู้ชายได้”

“การสวมบทบาทบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงมันมีความกดดันมหาศาล ยิ่งต้องอยู่กับตำนานอย่าง Billie Jean ทำให้ฉันยิ่งกดดันตัวเองมากขึ้นไปอีก

แต่การได้รู้จักชีวิตของเธอ เรื่องราวของเธอ สิ่ง ๆ นั้นมีคุณค่าและรู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้รับบทบาทนี้”

โดย Emma ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองหลายอย่างแบบไม่ห่วงสวย เพื่อให้เข้าถึงบทบาทนักเทนนิสที่เรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศได้อย่างทรงพลัง น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้กลับคว่ำในตารางบ็อกซ์ออฟฟิส แต่ถือเป็นหนังที่ไม่ควรพลาดหากอยากดูการแสดงแบบทุ่มสุดตัวของเธอ


The Favourite (2018) as Abigail

ความสัมพันธ์แบบรักสามเส้าของ 1 ราชินี และ 2 ผู้รับใช้ กลายเป็นหนังจิกกัดราชวงศ์อังกฤษที่สุดแสบสันต์ โดย Emma รับบทสาวใช้คนใหม่ที่สวยและสดกว่าสาวใช้คนเก่า และหาทางหว่านเสน่ห์เพื่อให้ได้มาซึ่งตำแหน่ง “คนโปรด” ของ Queen Anne โดย Emma รับบทสาวร้ายลึกที่ค่อย ๆ เพิ่มดีกรีความหนักหน่วง ก่อนจะกลายเป็นนางมารร้ายที่สะเทือนไปทั้งบัลลังก์

บทบาทในครั้งนี้แม้การเป็นสาวแสบจะดูเป็นสิ่งที่ชินชาสำหรับตัว Emma ที่เชี่ยวชาญมาตั้งแต่ Easy A แต่การต้องมาเป็นสาวแสบที่ซ่อนจริตไว้ในฐานะหญิงสาวเรียบร้อยจากเมื่อร้อยกว่าปี ก็ทำให้ Emma ต้องศึกษาทำการบ้านอย่างหนัก โดยเฉพาะจริตจะก้านของสาวผู้ดีอังกฤษ

“ฉันศึกษาและฝึกสำเนียงท้องถิ่นอย่างหนัก รวมไปถึงการการวางตัว, มารยาท และยังค้นคว้าประวัติศาสตร์ แม้ว่ามันจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับหนังมากนัก แต่ฉันก็อยากเข้าใจบทบาทนี้ให้ลึกและเข้าถึงมันให้มากที่สุด”

และก็เป็นอีกครั้งที่ชื่อของ Emma Stone ได้ขึ้นชิงชัยบนเวทีออสการ์ในฐานะนักแสดงสมทบยอดเยี่ยม ร่วมกันกับนักแสดงอีก 2 ท่าน นั่นก็คือ Olivia Colman และ Rachel Weisz

ถึงเธอจะพลาดรางวัลไป แต่บทบาทสาวแสบสะเทือนบัลลังก์ก็นับเป็นบทบาทที่ยอดเยี่ยมอีกครั้งสำหรับ Emma Stone


Cruella (2021) as Cruella de Vil

และล่าสุด กับบทบาทความแสบที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว กับการนำแอนนิเมชั่นคลาสสิคของ Disney เรื่อง 101 Dalmatians มาเล่าถึงที่มาที่ไปของนางมารร้ายศัตรูตัวฉกาจของเจ้าจุด 101 ตัว นั่นก็คือ Cruella de Vil แฟชั่นนิสต้าที่พิสมัยขนสัตว์มาทำเป็นชุดสุดเริ่ด โดย Cruella จะเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นสาวสุดติ๋มลักเล็กขโมยน้อย จนเธอได้เจอกับ Baroness von Hellman รับบทโดย Emma Thompson ที่เห็นแววพรสวรรค์ของสาวติ๋ม แต่เพราะเธอถูกกดขี่ข่มเหงทั้งวาจาและการกระทำอย่างรุนแรง ความกดดันได้ปลุกปั่นปีศาจที่อยู่ในตัวเธอให้กลายร่างเป็นสาวสุดเฉียบแต่มีความร้ายที่ใคร ๆ ต้องหนาว

Emma Stone ต้องมารับบทที่ไต่ระดับจากสาวสุดติ๋มเป็นสาวร้ายสุดเริ่ด พรั่งพร้อมไปด้วยแฟชั่นสไตล์ Gothic Punk ยิ่งขับเน้นให้เธอกลายเป็นนางมารร้ายที่มีความแซ่บในแบบที่ใครเห็นต่างก็หลงใหลและหวาดกลัวเธอในคราวเดียวกัน นับเป็นหนึ่งในหนังดิสนีย์สายดาร์ค ที่พร้อมจะสร้างเซอร์ไพรส์ให้กับบทบาทการแสดงของ Emma ให้คนดูได้ประจักษ์กันอีกครั้ง

มั่นใจเลยว่าบทบาทของเธอนั้นจะร้ายจนทุกคนต้องรัก ในแบบเดียวกับที่ทุกคนรัก Angelina Jolie ใน Maleficent อย่างแน่นอน

 

และนี่คือบทบาททั้ง 10 ที่นางเอกสู้ชีวิตอย่าง Emma Stone ได้ฝากผลงานการแสดงอันยอดเยี่ยมเอาไว้ และด้วยวัยเพียง 32 ปี หนหางในการแสดงของเธอนั้นยังอีกยาวไกล เรามาคอยดูกันว่า เธอจะมอบมิติการแสดงที่หลากหลายให้ให้เราต้องตะลึงกันอีกในเรื่องอะไรหลังจากนี้กันบ้าง

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line