หากจะให้พูดถึงรายการท่องเที่ยวในบ้านเราแน่นอนว่ามีตัวเลือกให้ชมอย่างมากมาย แต่ถ้าจะให้พูดถึงรายการท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร เชื่อว่าชื่อของ The Gaijin Trips น่าจะติดท็อปลิสต์ของใครหลาย ๆ คน หนุ่มหน้าหล่อชาวบางแสนนามว่า “เบนซ์” ได้นำเสนอรูปแบบเล่าเรื่องการท่องเที่ยวของตัวเองที่สะดุดหูทุกคนที่ได้ยิน ราวกับว่าเรากำลังนั่งฟังดนตรีโพสต์ร็อกบรรเลง บรรยากาศเนิบ ๆ เคลิ้ม ๆ ชวนฝันแต่กลับน่าฟังอย่างน่าประหลาดใจ แถมเรื่องราวในแต่ละคลิปยังเต็มไปด้วยความเรียลแบบไร้แผนเดินทางถือเป็นจุดขายที่ชวนให้ทุกคนต้องติดตาม เพราะคุณจะไม่มีทางรู้เลยว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างระหว่างเดินทาง Unlockmen ขอพาทุกคนไปรู้จักตัวตนของเบนซ์ให้มากขึ้นกับ ZERO TO HERO : “เบนซ์ The Gaijin Trips” การเดินทางที่ไร้แผนกับผลตอบแทนคือประสบการณ์อันล้ำค่า ชีวิตวัยเยาว์เอากิจกรรมมาก่อนเรื่องเรียน “ผมเป็นเด็กที่เรียนได้บ๊วยตลอดเลยครับ ไม่โหล่ก็รองโหล่ แต่จะเด่นพวกกีฬา กิจกรรมต่าง ๆ มากกว่า ผมเป็นนักกีฬาโรงเรียน เล่นบาส เล่นบอล วอลเลย์ ตะกร้อ ได้แชมป์บ้างอะไรบ้าง อีกอย่างหนึ่งก็คือวิชาศิลปะ ที่เราจะกระตือรือร้นเป็นพิเศษ ชอบวาดรูป ชอบลงสี ผมจะเด่นตรงด้านนี้ “พอโตขึ้นมาแล้วมาเรียนสามัญช่วงมัธยมปลาย ผมรู้สึกว่ามันมีความวิชาการ มีความตึงเตรียด จนสุดท้ายเราก็ลาออกจากโรงเรียนมาเลย โต๋เต๋อยู่ช่วงหนึ่ง มาช่วยพ่อแม่ทำงานที่บ้านค้าขาย
‘การเดินทาง’ และ ‘การผจญภัย’ คือส่วนหนึ่งของไลฟ์สไตล์ที่ผู้ชายอย่างเราจะขาดไม่ได้ ถือเป็นบทเรียนล้ำค่าที่สอนให้รู้จักชีวิตมากขึ้น แต่การออกเดินทางโดยปราศจากอุปกรณ์เอาตัวรอดก็เหมือนการออกรบโดยปราศจากอาวุธ ใช่ เรากำลังหมายถึง ‘มีดพก’ อุปกรณ์สำคัญสำหรับนักเดินทางที่ถึงจะดูเรียบง่ายแต่ก็มากด้วยประโยชน์ และไม่ว่าอยู่สถานการณ์ใดมันคือสิ่งที่จะช่วยชีวิตเราได้ในยามคับขัน แค่เห็นรูปลักษณ์ภายนอกก็น่าจะรู้แล้วว่า ‘The Quickie Karambit’ มีดพกเอนกประสงค์ขนาดจิ๋วที่เรานำมาเสนอในวันนี้แตกต่างจากมีดพกทั่วไปโดยสิ้นเชิง ด้วยการออกแบบของ TOPS Knives ที่เปลี่ยนแปลงด้ามจับและใบมีดขนาดใหญ่ให้กลายเป็นความแหลมคมขนาดจิ๋ว มาพร้อมกับรูสำหรับสอดใส่นิ้วมือเพื่อการจับที่กระชับยิ่งขึ้น นอกจากนั้นยังสบายมือกว่ามีดพกทั่วไป เพราะผู้ออกแบบตั้งใจให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือนกำลังสวมแหวนอยู่ ‘จิ๋วแต่แจ๋ว’ คือนิยามของ The Quickie Karambit และถึงมันจะกะทัดรัดแต่ก็มีครบทุกอย่างที่ผู้ชายสายลุยอย่างเราต้องการ ไม่ว่าจะเป็นใบมีดแหลมคมทั้ง 2 ด้าน ความสะดวกในการพกพา รูปทรงแปลกประหลาดที่สามารถประยุกต์ใช้งานได้หลากหลาย จึงทำให้ The Quickie Karambit คือมีดพกที่ควรมีติดตัวก่อนเริ่มออกเดินทาง มีดทรง Karambit ถูกคิดค้นขึ้นครั้งแรกในสุมาตราตะวันตก โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกรงเล็บของเสือ เช่นเดียวกับอุปกรณ์ส่วนใหญ่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในตอนแรกมันถูกออกแบบขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์ในการปลูกและนวดข้าว ก่อนที่ต่อมาจะถูกประยุกต์ให้กลายเป็นอาวุธป้องกันตัวจากสัตว์ป่านักล่าหรือผู้ไม่หวังดี Karambit สมัยใหม่ถูกจัดอยู่ในหมวดหมู่อุปกรณ์แบบ EDC ซึ่งเน้นประโยชน์ในการตัดหรือหั่นสำหรับกิจกรรมกลางแจ้ง แน่นอนว่า Quickie Karambit ก็เช่นเดียวกัน มันเหมาะกับกิจกรรมกลางแจ้งทุกรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนั้นยังมีปลอกหนังไว้ห่อหุ้มเมื่อไม่ใช้งาน ด้วยราคาเพียง 70 เหรียญหรือประมาณ 2,000 บาท ไม่แพงเกินไปเลยสำหรับอุปกรณ์สารพัดประโยชน์เช่นนี้ รับรองว่าทุกทริปทุกการผจญภัยของคุณจะสะดวกและสนุกยิ่งขึ้นแน่นอน
Jerry Can คือภาชนะที่ทำจากเหล็กอัดแข็ง ได้รับการออกแบบในเยอรมนีช่วงปี 1930 สำหรับใช้งานทางทหารเพื่อเก็บเชื้อเพลิง ปริมาตรความจุ 20 ลิตร ซึ่งนอกจากมันจะมีบทบาทโดดเด่นในช่วงสงครามโลกแล้ว Jerry Can ยังถือได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของแกลลอนน้ำมันในปัจจุบัน แม้จะแตกต่างกันในเรื่องวัสดุหรือวิธีการผลิต แต่ในภาพรวมถือว่าได้รับอิทธิพลมาอย่างชัดเจน ด้วยความแข็งแกร่งและสมบุกสมบันของ Jerry Can เกิดเป็นแรงบันดาลใจในการสร้าง The Jerrybag Shield กระเป๋าเป้สะพายพันธุ์อึด ที่มีจุดเด่นอยู่ที่ความทนทาน นอกจากนั้นยังมาพร้อมออปชั่นป้องกันกระแทกเต็มรูปแบบ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นแว่นตา, แล็ปท็อป, ขวดเครื่องสำอาง, หรือสิ่งของเปราะบางใด ๆ เมื่อนำมาใส่ใน The Jerrybag Shield ก็มั่นใจได้ว่ามันจะไม่บุบสลาย ทำให้คุณลุยไปได้ทุกที่ทุกสถานการณ์อย่างไร้กังวล The Jerrybag Shield มาพร้อมดีไซน์ที่เรียบง่าย เครื่องหมาย X บนพื้นตัวกระเป๋ามีไว้เพื่อ 2 จุดประสงค์ ประการแรกคือเพื่อเสริมความแข็งแกร่งทนทานให้ตัวเป้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นค้อน ขวาน หรือแม้กระทั่งปืนก็ไม่อาจจะทำอะไรกระเป๋าเป้ใบนี้ได้ ประการที่ 2 เพื่อให้ The Jerrybag Shield มีความยืดหยุ่นเมื่อเจอความร้อนหรือความเย็น The Jerrybag Shield ถูกออกแบบมาให้คล้ายกับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ฉบับย่อส่วน ดังนั้นสำหรับใครที่สัมภาระไม่เยอะ
เพราะกว่า 60% ของร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำ ดังนั้นน้ำคือสิ่งที่เราจะขาดไม่ได้เลย โดยเฉพาะหนุ่ม ๆ นักผจญภัยสายลุย ที่ในแต่ละวันต้องทำกิจกรรมเสียเหงื่อจำนวนมาก การดื่มน้ำให้เพียงพอจึงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ก็ใช่ว่าน้ำจืดจะมีอยู่ทุกที่ เพราะในบางทริป โดยเฉพาะทริปทะเลที่รอบตัวเต็มไปด้วยน้ำเค็ม ถึงกระหายแค่ไหนก็ดื่มไม่ได้ ดังนั้นจะวิเศษแค่ไหนถ้ามีอุปกรณ์ที่สามารถเสกน้ำทะเลให้กลายเป็นน้ำดื่มได้ ‘Matt Marchand’ Industrial Designer สายลุยจาก California น่าจะเข้าใจไลฟ์สไตล์หนุ่ม ๆ เป็นอย่างดี เพราะดูจาก Social Network แล้ว เขาคือนักท่องโลกตัวยง รวมถึงน่าจะเคยประสบปัญหาไม่สามารถหาน้ำจืดมาดื่มได้จากบางทริปของตัวเอง นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้นไอเดียให้เขาออกแบบ ‘Desalinator’ ตัวกรองมหัศจรรย์ขนาดจิ๋วที่สามารถเปลี่ยนน้ำทะเลให้ดื่มได้ขึ้นมา เวทมนตร์ของ Desalinator อยู่ที่ระบบกรองอัจฉริยะที่มีถึง 4 ชั้น เริ่มชั้นแรกด้วยลูกปัดซิลิกาทำหน้าที่กรองเศษตะกอนและสิ่งปนเปื้อนต่าง ๆ ต่อด้วยชั้น Electrodialysis ซึ่งในชั้นนี้คือขั้นตอนของการแยกเกลือออกจากน้ำ ชั้นที่ 3 รับช่วงต่อด้วยการใช้รังสี UV เพื่อกำจัดแบคทีเรียออกไป ก่อนจะเข้าสู่ชั้นที่ 4 โดยในชั้นนี้จะเป็นการกรองด้วยถ่านเพื่อความสะอาดขั้นสุดท้าย จากนั้นน้ำทะเลที่ในตอนนี้ได้แปรสภาพไปเป็นน้ำดื่มเรียบร้อยแล้วจะไหลลงสู่ภาชนะด้านล่าง พร้อมให้ผู้ใช้งานดื่มได้ทันที ด้วยระบบกรองที่มีความซับซ้อนและมีประสิทธิภาพ ดังนั้นผู้ใช้จึงมั่นใจได้เลยว่าน้ำที่ผ่านการกรองจาก Desalinator สะอาด ปลอดภัย ดื่มได้แน่นอน นอกจากประสิทธิภาพในการใช้งานจะยอดเยี่ยมแล้ว ขนาดที่เล็กกะทัดรัดทำให้ผู้ใช้สามารถพกพา Desalinator เรียกว่าตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตเลยทีเดียว
ใต้ท้องทะเลมีมนต์เสน่ห์เสมอ นี่คือเหตุผลให้ผู้คนมากมายดั้นด้นเดินทางไกลเพื่อมาเห็นภาพนั้นด้วยตาตัวเอง การดำน้ำ (แบบ Scuba) จึงเปรียบเสมือนศาสตร์อย่างหนึ่งที่มีความซับซ้อน ต้องตั้งใจศึกษา เรียนรู้ และฝึกฝนอย่างจริงจัง ถึงจะสามารถลงไปสัมผัสมนต์เสน่ห์ดังกล่าวได้ แต่สำหรับบางคนอาจจะมองว่า Scuba Diving นั้นยากเกินไป บวกกับการงานรัดตัวจึงไม่มีเวลาไปเรียนอย่างจริงจัง ดังนั้นเมื่อไปทะเลจึงทำได้แค่ดำอยู่บนผิวน้ำด้วยวิธี Snorkeling ไม่ได้หมายความว่า Snorkeling ไม่สนุก แต่ต้องยอมรับว่าภาพที่ได้เห็นนั้นแตกต่างจากการดำแบบ Scuba Diving อย่างสิ้นเชิง ด้วยไอเดียนี้ Verity Moorhouse of BLU3 บริษัทด้านการออกแบบจึงสร้างสรรค์อุปกรณ์ดำน้ำรูปแบบใหม่ขึ้นมา เป็นอุปกรณ์ที่จะช่วยให้คุณดำน้ำลึกได้ถึง 10 ฟุต หรือกว่า 3 เมตรได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องไปลงคอร์สเรียนให้วุ่นวาย ขอแค่มีเจ้า ‘Nemo’ ก็เพียงพอแล้ว ‘The World’s Smallest Dive System’ นี่คือคำพูดจากปากผู้ผลิตที่พูดถึงเจ้าอุปกรณ์ดำน้ำ Nemo นี้ แม้ว่าชื่อจะน่ารักเหมือนแอนิเมชั่นปลาการ์ตูนที่เคยเป็นขวัญใจสมัยเด็กของใครหลายคน แต่ประสิทธิภาพไม่ได้เล็กตามชื่อ เพราะนี่คือสิ่งที่จะช่วยให้นักดำน้ำหน้าใหม่ได้สัมผัสประสบการณ์แตกต่างจากที่ผ่านมา ด้วยการทำงานระบบ Surface-Supplied Air Dive จะช่วยให้ผู้ใช้สามารถดำลึกลงไปจากระดับผิวน้ำได้ถึง 10 ฟุต นอกจากนั้น Nemo ยังมีขนาดกะทัดรัด น้ำหนักเบา ทำให้สามารถพกพาใส่เป้ไปลุยได้ทุกที่ Nemo ทำงานอย่างไร?
สำหรับหนุ่ม ๆ อย่างเราที่ในแต่ละวันใช้เวลาหมกมุ่นอยู่กับงาน พอฟ้ามืดลงก็มุ่งสู่ปาร์ตี้ที่ร้านประจำ Work Hard Play Hard วนเวียนเป็นวัฎจักรตามสไตล์ Urban Men จนบางครั้งอาจหลงลืมไปว่าการออกเดินทางท่องเที่ยวเพื่อเห็นโลกกว้างก็สำคัญเช่นกัน เพราะเป็นการพักทั้งร่างกายและจิตใจ ชาร์จแบตเติมพลังให้ตัวเอง เก็บสะสมประสบการณ์ที่ซุกซ่อนรอให้ค้นพบอยู่ทั่วทุกมุมโลก แล้วจะไปไหนดี ? วันนี้ UNLOCKMEN จะมาช่วยตอบคำถามโหดหินนี้ให้เอง เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นหนุ่มสไตล์ไหน จะสุขุมหรือเฮฮา ในโลกใบนี้ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่เหมาะกับคุณอยู่ เพียงแต่คุณอาจจะยังไม่รู้ เอาล่ะ เตรียมจัดกระเป๋าและออกเดินทางกันเถอะ หนุ่มโรแมนติก Hanoi, Vietnam เพราะความโรแมนติกไม่ได้อยู่แค่ที่ปารีสหรือเวียนนา แค่เพียง 1 ชั่วโมงนิด ๆ จากกรุงเทพฯ ทุกคนก็สามารถสัมผัสความโรแมนติกได้เช่นกัน อาจจะไม่ใช่ความโรแมนติกในอุดมคติที่หรูหรา แต่สิ่งที่ฮานอยจะมอบให้คุณและคนรักคือความโรแมนติกแบบเรียบง่าย ที่สำคัญคือสบายกระเป๋าแน่นอน ด้วยความที่ฮานอยเป็นเมืองเก่าแก่ ดังนั้นเราจะยังได้เห็นวิถีชีวิตดั้งเดิมของผู้คนโดยมีฉากหลังเป็นสถาปัตยกรรมที่เดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน มีความโรแมนติกเจือปนอยู่ อย่างไรก็ตามอีกด้านหนึ่งของฮานอยคือเมืองใหญ่ ดังนั้นวัฒนธรรมสมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกก็ไม่ขาดตกบกพร่อง ทริปของคุณอาจจะเริ่มต้นด้วยการเดินสำรวจเมืองอันแสนวุ่นวายแต่ก็เรียบง่ายเมืองนี้ รับประทานอาหารท้องถิ่นข้างทาง ก่อนจะเพิ่มระดับความโรแมนติกด้วยการไปเยือนทะเลสาบ Hoan Kiem ต่อด้วยล่องเรือชมพระอาทิตย์ตกดินที่ Halong Bay เป็นทริปที่ผู้ชายสายโรแมนติกไม่ควรพลาด หนุ่มนักเข้าสังคม Sydney, Australia ถึงแม้จะไม่ใช่เมืองหลวง แต่ Sydney
การนอนในรถมักจะเป็นทางเลือกสุดท้ายยามฉุกเฉินของเราเสมอ เพราะนอกจากความไม่สบายตัว ชวนให้ปวดเมื่อยตั้งแต่ได้ยินว่าต้องนอนในรถแล้ว ยังอันตรายถึงชีวิตอีกต่างหาก จะเปิดกระจกทิ้งไว้ล่อตาโจรซะจริง ๆ แต่ UNLOCKMEN จะมาเสนอของเจ๋ง ๆ ที่หนุ่ม ๆ ควรมีติดรถไว้ สำหรับคนที่เดินทางบ่อย มีความจำเป็นต้องหาที่นอนแบบฉุกเฉินกันอยู่บ่อย ๆ ผลงานการออกแบบของ Sebastian Maluska กับนวัตกรรมที่ใช้ได้จริงอย่างเจ้า “The Nest” ที่เหมาะสำหรับหนุ่มรักการผจญภัย มีเหตุให้ต้องนอนนอกบ้านอยู่บ่อย ๆ ไม่ต้องลำบากหาที่พัก ไม่ต้องหลังขดหลังแข็งนอนในรถ หาโลเกชั่นดี ๆ ที่ไม่ทับรังมดหรือสัตว์รบกวนชนิดอื่นอย่างการกางเต็นท์บนพื้นราบ “The Nest” เป็น Rooftop Tent ที่จะเป็นเต็นท์ให้เรานอนได้บนหลังคารถของเราเองนี่แหละ Maluska ผู้ออกแบบ ตั้งใจให้ The Nest ออกมาในรูปแบบพกพาอยู่แล้ว โดยเน้นไปที่กลุ่มของคนรักการผจญภัย ตั้งเต็นท์ เข้าป่า หรือหาโลกเกชั่นดี ๆ นอนแบบไม่ต้องคิดเยอะ อาจจะใช้ได้ถึงการทัวร์รอบโลกได้เลยล่ะ (ถ้าคุณใจถึง) เพราะผู้ออกแบบเองก็รักในกิจกรรมกลางแจ้งซะจนเกิดแรงบันดาลใจให้สร้างของเจ๋ง ๆ ชิ้นนี้ขึ้นมาตอบโจทย์ของคนที่รักการผจญภัยด้วยกันนั่นเอง ว่ากันด้วยเรื่องการออกแบบ ส่วนโครงของมัน
แม้รอบกายผู้ชายอย่างเราจะรายล้อมไปด้วยตึกสูงในเมืองใหญ่และไลฟ์สไตล์แบบ Urban Men เรา Work แบบเต็มที่สุดขีด เรา Play แบบอิ่มเอมสุดเหวี่ยง ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็ถูกโอบไว้ด้วยความสะดวกสบายทุกย่างก้าว แต่สัญชาตญาณลึก ๆ ในตัวผู้ชายอย่างเราทุกคนล้วนส่งเสียงร่ำร้องว่าชีวิตต้องการการผจญภัยอยู่เสมอ สัญชาตญาณการผจญภัยและความต้องการอยู่กับธรรมชาติไม่ได้ไหลเวียนอยู่ในตัวเราเพื่อเรียกร้องให้เราออกไปใช้ชีวิตแบบลุย ๆ เท่านั้น แต่งานวิจัยที่ชื่อว่า Nature experience reduces rumination and subgenual prefrontal cortex activation ออกมาเปิดเผยว่าการได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติหรือพื้นที่สีเขียวมันดีกับผู้ชายอย่างเรามากจริง ๆ งานวิจัยชิ้นนี้เปิดเผยว่าปัจจุบันผู้คนกว่า 50% อาศัยอยู่ในพื้นที่เมือง จากอัตรานี้ภายในปี 2050 ผู้คนจะอาศัยอยู่ในพื้นที่เมืองกว่า 70% ซึ่งการอาศัยอยู่ในบรรยากาศแบบเมืองใหญ่จะทำให้เรามีแนวโน้มมีปัญหาทางสุขภาพจิตมากขึ้น แต่อย่าเพิ่งตกใจไป จิตวิญญาณของผู้ชายรักธรรมชาติและหลงใหลในการผจญภัยถือเป็นประโยชน์กับ URBAN MEN อย่างเรามาก ๆ เพราะการศึกษาจากงานวิจัยชิ้นนี้เปิดเผยว่าคนที่เดินชมธรรมชาติ เดินผ่านพื้นที่สีเขียวเป็นเวลา 90 นาที มีระดับความเสี่ยงที่จะมีปัญหาสุขภาพจิตน้อยกว่าคนที่รายล้อมด้วยบรรยาศตึกรามบ้านช่องแบบเมือง ๆ อย่างเดียว ผู้ชายที่ได้อยู่ท่ามกลางพื้นที่สีเขียวและมีใจรักการผจญภัยจึงไม่ต้องห่วงว่าจะได้รับผลกระทบจากบรรยากาศเมืองอันแสนวุ่นวายไม่ว่าจะจากมลภาวะ เสียงรบกวน หรือผลกระทบต่อสุขภาพจิต จิตวิญญาณนักผจญภัยจึงไม่ใช่การตอบสนองความต้องการลึก ๆ ในตัวเราอย่างเดียว