สายแล้ว ลืมตาตื่น เอื้อมมือกดปิดเสียงนาฬิกาปลุกที่แผดเสียงมาจากสมาร์ตโฟนที่วางอยู่บนหัวนอน เปิดม่าน … แวบแรกหลงคิดว่าหมอกเช้าแห่งเดือนมกราช่างน่าตื่นตาตื่นใจ ก่อนจะขยี้ตาซ้ำ ๆ อีกทีแล้วตระหนักได้ว่า “ฝุ่นเหี้ยอะไรเยอะแยะขาวโพลนขนาดนี้วะ!?” 2-3 วันนี้เราล้วนตื่นมาพร้อมความตื่นตระหนก เพราะแค่มองด้วยตาเปล่ายังสัมผัสได้ว่าปริมาณฝุ่นหนาแน่นมากกว่าปกติ แล้วไหนจะปริมาณที่ตามองไม่เห็นอีก นี่จึงเป็นอีกช่วงหนึ่งที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเรากำลังผจญวิกฤตฝุ่น PM 2.5 ครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามวิกฤตเรื่องฝุ่นไม่ได้มีแค่ไทยที่เผชิญมันอยู่เพียงลำพัง หลายประเทศก็กำลังเผชิญปัญหานี้ หลายประเทศผ่านมันมาได้แล้ว โดยรัฐบาลแต่ละประเทศต่างก็มีมาตรการ แนวทาง หรือนโยบายเด็ดขาดในแบบของตัวเองเพื่อแก้ปัญหามลภาวะทางอากาศกันทั้งนั้น ในวันที่เราเองก็กำลังสูดฝุ่นเข้าปอดปริมาณมาก ๆ อยู่ UNLOCKMEN ชวนดูวิธีที่รัฐบาลประเทศอื่น ๆ แก้ปัญหากับวิกฤตฝุ่นในประเทศตัวเองในวันที่ฝุ่นพิษกำลังบุกฆ่าประชาชน เมื่อฝุ่นบุกเกาหลี: โรงไฟฟ้าฯ ลดการผลิต ประชาชนลดเวลาทำงานและเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง แดนกิมจิเองก็เป็นอีกประเทศที่ประสบวิกฤตฝุ่นพิษในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับเรา แต่ไม่ต้องอ้อยอิ่งรีรอทางการก็ออกมาตรการเร่งด่วนทั้งบู๊ ทั้งบุ๋น โดยทั้งแจ้งเตือนประชาชนให้หลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง กิจกรรมกลางแจ้งอย่างลานไอซ์สเก็ต หลายแห่งก็งดให้บริการ และออกตัวว่าจะคืนเงินให้ลูกค้าด้วย ส่วนกระทรวงสิ่งแวดล้อมก็ไม่นิ่งเฉยออกมาตรการเด็ดขาดกับภาคอุตสาหกรรมโดยสั่งให้โรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นละอองเกินค่ามาตรฐานลดกำลังการผลิตลงมากว่า 80% เมื่อเทียบกับเวลาปกติ ไม่ใช่แค่นั้นภาครัฐยังสั่งการให้โรงงานและสถานที่ต่าง ๆ ของรัฐที่ปล่อยมลภาวะสู่อากาศลดเวลาทำงานลง โดยยึดมาตรการที่องค์กรของแต่ละท้องถิ่นแนะนำอย่างเคร่งครัด เมื่อฝุ่นบุกจีน: ตั้งตำรวจสิ่งแวดล้อม คอยบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จีนเป็นอีกประเทศที่มีปัญหามลภาวะหนักหน่วงเข้าขั้นวิกฤต นายกเทศมนตรีกรุงปักกิ่งจึงผลักดัน “ตำรวจสิ่งแวดล้อม”ขึ้นมาเป็นหน่วยที่ดูแลบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวเนื่องกับสิ่งแวดล้อมและการสร้างมลภาวะโดยเฉพาะ