‘วงเปลี่ยนแนว’ ฟังเผิน ๆ เหมือนเป็นเรื่องธรรมดา แต่สิ่งนี้แหละคือชนวนใหญ่เบ้งที่ทำให้ศิลปินทุกยุคทุกสมัยเป็นอันกระทบกระทั่งกับแฟนเพลง อันที่จริงก็ไม่ใช่เรื่องแปลกหากแฟนเพลงจะเกิดความรู้สึกไม่พอใจ เพราะพวกเขาอาจเลือกติดตามวง ๆ หนึ่ง ด้วยเหตุผลว่าแนวเพลงถูกใจ วันใดที่วงไม่สามารถตอบสนองตรงนี้ได้ก็อาจจะต้องมีปากมีเสียง (ผ่านทางคอมเมนต์) กันบ้างเป็นธรรมดา ส่วนในมุมของศิลปินที่อยากจะเปลี่ยนแนว ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนไปมากกว่าการเอียนแนวเดิม ๆ ที่ตัวเองทำอยู่ นักดนตรีหัวกะทิหลายคนมักชอบทดลองทำอะไรใหม่ ๆ ไม่ชอบย่ำอยู่กับที่ แต่พอโดนแฟนเพลงบ่นมากเข้า พวกเขาจึงมักหาทางออกด้วยการหนีไปทำวงอื่นเสียเลย! แต่การทำวงอื่นในที่นี้ ไม่ใช่การยุบวงตัวเองแล้วไปสร้างวงใหม่ แต่คือการทำควบคู่ไปพร้อมๆ กัน (หรืออาจสลับกัน) เพราะนอกจากจะได้ทำสิ่งที่ตัวเองพอใจแล้ว ยังอาจได้ฐานแฟนเพลงใหม่ๆ เพิ่มมาอีก จะเรียกว่าวิถีคนขยันก็ว่าได้ เรามาดูกันดีกว่าว่ามีศิลปินคนไหนบ้างที่คุณคุ้นเคย แต่อาจไม่รู้มาก่อนว่าเขามีมากกว่าหนึ่งวง! 1. Alex Turner สำหรับหนุ่มเสียงหล่อคนนี้ ใครๆ ก็คงจำเขาได้ดีจากฐานะฟรอนต์แมนวงร็อกสุดเท่อย่าง Arctic Monkeys ถึงแฟนเพลงตัวยงจะทราบดีว่าเขาไม่ได้ทำลิงขั้วโลกแค่วงเดียว แต่ก็ยังมีหลายคนที่ไม่รู้ว่า Alex ยังมีอีกวงที่ทำอย่างจริงจัง นั่นก็คือ ‘The Last Shadow Puppets’ ที่เป็นวง Supergroup คู่กับ Miles
ภาพลักษณ์แสนดุดันและน้ำเสียงทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์ของ Corey Taylor ทำให้เขาเป็นเหมือน Trademark ของทั้งสองวงที่เขาเป็นสมาชิก ทั้ง Stone Sour และ Slipknot แม้เขาจะไม่ได้เป็นฟรอนต์แมนคนแรกแบบดั้งเดิมของวง แต่พอก้าวเข้ามารับตำแหน่งเขากลายเป็นที่รักของแฟน ๆ และเพื่อน ๆ ในวงชนิดที่ไม่มีใครกังขาในจุดที่เขายืนอยู่เลยแม้แต่น้อย ทว่าทุกอย่างบนโลกนี้ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว เบื้องหลังความสำเร็จและภาพลักษณ์อันดุดัน ยังมีมุมมืดที่เขาต้องเผชิญและก้าวผ่านมันมาได้ด้วยตัวเอง มาดูเรื่องราวในอีกมุมที่ปลุกปั้นให้เขาเป็น Corey Taylor อย่างในวันนี้ หลายคนคงเคยทราบกันมาบ้างว่า Corey เอง เคยต่อสู้กับโรคซึมเศร้ามานาน สาเหตุมาจากเหตุการณ์กระทบกระเทือนจิตใจในวัยเด็กอย่างการถูกล่วงละเมิดทางเพศในช่วงวัยรุ่นเหมือนกับคนอื่น เขากลายเป็น “เหยื่อ” ของผู้ไม่หวังดี ที่แฝงตัวมาในรูปแบบของเพื่อนบ้านที่แสนดี เขาเป็นเพื่อนที่สนิทกันอย่างรวดเร็ว กิน เที่ยว ดื่ม เล่นดนตรีด้วยกัน จนกระทั่งวันที่เปลี่ยนทุกอย่างไป หลังจากเหตุการณ์นั้น เขาเลือกที่จะปิดปากให้สนิทเพื่อแลกกับความปลอดภัยของตัวเองและแม่ จนมันกลายเป็นแผลในใจของเขาเสมอมา เรื่องราวเหล่านั้นเป็นเหมือนฝันร้ายที่ตามมาหลอกหลอนเขาเรื่อยมา จนทำให้เขาค้นพบว่าการมองหาแสงสว่างให้กับตัวเองส่งผลให้ตัวเขาดีขึ้นรวมถึงผลงานเพลงของเขาด้วยเช่นกัน สำหรับบางคนเรื่องราวเหล่านี้อาจเป็นบาดแผลที่ยังคงคอยทิ่มแทงให้จมอยู่กับฝันร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ Corey เลือกทางที่แตกต่างออกไป เขาเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาหล่อหลอมให้ตัวเองแข็งแกร่ง ให้มันเป็นอุปสรรคที่หินที่สุดแล้วก้าวออกจากมันมาให้ได้ แล้วมันจะกลายเป็นเพียงด่านง่าย ๆ ที่เราเคยก้าวผ่านมันมาแล้ว และทำให้เขาแข็งแกร่งอย่างที่เป็นในทุกวันนี้ “ผมมองโลกด้วยสายตาที่ชัดเจนมากขึ้น” “ผมเริ่มมองหาความสงบให้ตัวเอง
ด้วยวันเวลาที่เดินไปข้างหน้า การนำของเก่ามาผสมกับของใหม่ จนเกิดเป็นของใหม่มากขึ้นมาอีกอย่าง กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เทคโนโลยี การศึกษา หรือแม้แต่วงการดนตรี เพลงเร็กเก้ที่เราคุ้นเคย เรามักจะคุ้นเคยกับกลิ่นอายสายลมแสงแดด ความสดชื่นของเกลียวคลื่นในทะเล ลองมาฟังเพลงเร็กเก้ฟิวชั่น ที่เป็นการผสมผสานเพลงเร็กเก้กับแนวเพลงอื่น (แต่ยังคงกลิ่นอายเร็กเก้ไว้อย่างแข็งแรง) กับวงเร็กเก้ร็อกเลือดใหม่จากแดนจิงโจ้อย่างห้าหนุ่ม Sticky Fingers ที่จะมาระเบิดความมันส์กับคอนเสิร์ตของพวกในต้นปีหน้านี้แล้ว มาทำความรู้จักกับพวกเขาก่อนที่จะไปโยกหัวตามหน้าเวที แง้ม ๆ ให้ฟังว่าพวกเขาเคยมาอัดเพลงในเมืองไทยมาแล้ว วงนี้ค่อนข้างเฉพาะทางพอสมควร มาทำความรู้จักกับสมาชิกในวงกันก่อน เริ่มต้นกันที่ฟรอนต์แมนเสียงแหบที่โคตรจะเป็นเอกลักษณ์ Dylan Frost ร้องนำและกีต้าร์ Paddy Cornwall เบส Seamus Coyle กีต้าร์ Beaker Best กลองและ Percussion และ Freddy Crabs ซินธ์ พวกเขาฟอร์มวงกันตั้งแต่ปี 2008 แต่ว่ากว่าจะได้มีสตูดิโออัลบั้มจริง ๆ ก็ปาเข้าไปปี 2013 ในอัลบั้มเดบิวต์ Caress Your Soul ตามมาด้วย Land of Pleasure
ในเวลาที่สังคมรอบตัวเราเริ่มมีบรรยากาศที่ทำให้เกิดภาวะกระอักกระอ่วนที่จะดำเนินชีวิตไปแบบไม่รู้สึกรู้สาอะไร เราคงอยากจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง เพื่อให้มันกลายเป็น “สังคมที่น่าอยู่” ในอุดมคติ ใกล้เคียงที่สุดที่เราพอจะนึกออกคงเป็นคำว่า “ยูโทเปีย” ที่ใครต่างก็อยากมี กลุ่มคนดนตรีอย่าง “ศรีราชาร็อกเกอร์” ได้ลงมือสร้างสรรค์ดนตรีที่กระตุ้นให้สังคมเกิดความตระหนักรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้มันมีปัญหาอะไรผ่านเพลงของพวกเขาที่เรามักจะคุ้นเคยในความเจ็บแสบของเนื้อหากันดี เพราะพวกเขาเชื่อว่าเพลงของพวกเขาจะเป็นอีกพลวัตในการเปลี่ยนแปลงสังคม มาดูกันว่ากลุ่มคนดนตรีสีเขียวกลุ่มนี้มีของดีอะไรที่จะมาช่วยเยียวยาสังคมนี้ กว่าจะเป็นหนึ่งเพลง Process การทำเพลงแบบสีชา กว่าจะได้เพลงหนึ่งเพลง เป็นยังไงบ้าง ? วิน: อันนี้เป็นสมาชิก Gen ที่ 3 ของวงแล้วครับ กระบวนการของศรีราชาตั้งแต่แรกเริ่มมา เป็นผมที่ทำเป็น Acoustic เขียนเนื้อเพลงออกมา ทำเป็นเมโลดี้ 2-3 คอร์ด แล้วก็อัดใส่โทรศัพท์มาให้คนในวงช่วยกันฟัง แล้วก็คิดกัน ผมก็ส่งให้มือเบสช่วยกันคิดไลน์ที่ชอบกัน ทั้งผมและเค้าชอบ มือกลองก็คุยกันว่าตียังไงดีวะ มาใช้เวลาในห้องซ้อม แต่ก่อนเราจะไม่ค่อยมีเวลาในห้องซ้อมเท่าไหร่ อย่างอัลบั้มใหม่จะเจอกันไม่บ่อย แต่ว่าเข้มข้น สุมหัวกันว่าเราจะเล่นยังไง เพราะผมจะมีคำถามมากมายว่าเล่นแบบไหนดีกว่า แบบไหนจะดีที่สุด เราให้การบ้านแต่ละคน ไปอัดอันนี้มานะ เพลงนี้ ใครอยากเพิ่มเติมอะไร ลองไปคิดมาสิ แล้วก็มารวมกันทำให้ชัดเจน และมีคุณค่าขึ้นทีละนิด พอเปลี่ยน Gen มีสมาชิกหน้าใหม่ พอมาทำงานหรือมาซ้อมด้วยกัน มีช่วงสะดุดหรือจูนไม่ติดบ้างไหม ? วิน:
ก่อนที่เราจะประสบความสำเร็จ เคยนับบ้างมั้ยว่าเราล้มไปกี่ครั้ง บางคนอาจปูทางเดินของตัวเองไว้อย่างดี เลยสามารถทำมันสำเร็จได้ในครั้งเดียว บางคนต้องล้มลุกมานับไม่ถ้วน สองหนุ่ม Whal & Dolph ก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้คว้าความสำเร็จไว้ได้ตั้งแต่ครั้งแรกในการลงมือสร้าง กว่าเขาจะเป็นที่รู้จักขนาดนี้ ทั้งสองคนเล่นดนตรีมาแล้วร่วมสิบปี มาดูกันว่าพวกเขาต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง กว่าจะเป็น Whal & Dolph แม้เราจะได้ฟังเพลงของสองหนุ่มมาหลายต่อหลายเพลง จนเรียกได้ว่าพวกเขาอยู่ในกระแสของวงการดนตรีตอนนี้ แต่ไม่ใช่ว่าเพลงของพวกเขาทำออกมาแล้วมันเปรี้ยงเลยในครั้งเดียว ก่อนหน้านี้ย้อนไปเกือบสิบปีได้ ทั้งสองคนต่างมีวงเป็นของตัวเอง สลัดภาพหนุ่ม Acoustic นุ่มนวลไปได้เลยเพราะพวกเขาเป็นวงร็อก ส่วน Whal & Dolph เป็นเพียงโปรเจ็กต์ที่เขาตั้งใจทำแค่เล่น ๆ แต่พอทำแล้วมันยิ่งสนุก เพลงเลยงอกออกมาหลายเพลงจนค่าย What The Duck จีบไปอยู่ด้วยกัน น้ำวน: ความตั้งใจแรกของเรา Whal & Dolph จะเป็น Side Project เพราะเรามีวงเป็นของตัวเองคนละวง ทำเพลงแนวร็อกหน่อย ส่วนวงนี้จะเป็นความนุ่มนวล กะไว้ว่าทำหนึ่งเพลงแล้วก็แยกย้าย แต่พอออกมาหนึ่งเพลง มันไม่ได้มี Feedback ที่ดีหรอก แต่เราทำแล้วสนุกก็เลยทำต่อ เพลงแรกก็เพลงยิ้ม ต่อมาคือเพลงพอ แล้วก็เพลงนานนาน ที่เราทยอยปล่อยมา คิดว่าทำเป็นงานอดิเรก
ทุกครั้งที่เราเห็นคนประสบความสำเร็จในทุกสิ่งที่เขาทำ ไม่ว่าจะหยิบจับอะไรก็ไปได้ดีทั้งนั้น เรามักจะคาดหวังไว้ว่า เขาจะเป็นคนมีวินัย เนี้ยบ เก่ง มีความพยายาม หรืออะไรก็ตามที่ดูจะเป็นคุณสมบัติพิเศษเฉพาะสำหรับคนเจ๋ง ๆ เท่านั้น คนในอุดมคติที่ใครหลายคน (รวมถึงเราเอง) อยากจะเป็น หรืออยากมี DNA ของคนเจ๋งไว้ในตัวกันบ้าง สักสามสี่คู่เบสก็ยังดี ถ้าเราพูดถึงคนแบบที่ว่ามาในวงการดนตรี จริง ๆ ก็มีตัวจี๊ดหลายคนที่ผงาดด้วยความสามารถของตัวเอง ครั้งนี้เราขอยก Damon Albarn มาเจาะลึกถึงความสำเร็จของเขา ตั้งแต่สมัยเป็นฟรอนต์แมนของวง Blur จนกระทั่งมาทำ Visual Band เจ๋ง ๆ อย่าง Gorillaz โดยทั้งสองสิ่งประสบความสำเร็จแบบไม่มีข้อกังขา แต่ใครจะคิดว่าเบื้องหลังความสำเร็จของเขา มันไม่ได้เป็นคุณสมบัติในอุดมคติอย่างที่เราคิดเลย แต่เป็นอะไรนั้น UNLOCKMEN อยากจะแชร์ให้ทุกคนได้อ่านกัน เราอาจจะได้ไอเดียอะไรเจ๋ง ๆ ไปปรับใช้กับตัวเองแล้ว Work ขึ้นมาก็ได้ All About Albarn เขาเติบโตมาในครอบครัวชาวอังกฤษแท้ ๆ ทั้งพ่อและแม่ ทุกคนทำงานสายอาร์ตกันหมดตั้งแต่ปู่ที่เป็นสถาปนิก พ่อแม่เป็นศิลปินรวมถึงน้องสาวของเขา Jessica ก็เช่นกัน