Blur คือหนึ่งในวงร็อกแห่งอาณาจักรบริตป๊อปที่รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงยุค 90’s พวกเขาฝากผลงานไว้ทั้งหมด 8 อัลบั้มพร้อมด้วยเพลงฮิตติดหูผู้ฟังมากมาย ไม่ว่าจะเป็น “Girls And Boys”, “Beetlebum”, “Coffee And Tv” และอีกหนึ่งเพลงที่แม้ไม่ใช่แฟนของวง Blur ก็ต่างรู้จักกันดี มันคือเพลง “Song 2” นั่นเอง “Song 2” เป็นเพลงที่รวมอยู่ในอัลบั้มที่มีชื่อเดียวกับวง ถูกปล่อยให้ฟังครั้งแรกเมื่อวันที่ 7 เมษายน ปี 1997 หรือ 25 ปีที่ผ่านมา ตัวดนตรีแม้จะดูง่าย ๆ ไม่มีความซับซ้อนแต่ก็มีความโดดเด่นด้วยความมันส์กับซาวด์กีตาร์แตกสนั่น เสียงร้องยียวนกวนประสาท และมีความกระชับด้วยความยาวเพียง 2:02 นาที พร้อมด้วยการบิวด์ท่อนฮุคที่จดจำง่ายด้วยคำว่า “วู้ฮู้” เป็นตัวเลือกในการปลดปล่อยอารมณ์ความสนุกออกมาได้ดีมาก จนสุดท้ายมันได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งผลงานเพลงที่ประสบความสำเร็จของวง Blur แต่รู้หรือไม่จริง ๆ แล้วเราเกือบจะไม่ได้ฟังเพลง “Song 2” ในเวอร์ชั่นที่มันส์สะใจ เพราะจุดเริ่มต้นของเพลงนี้มันมาจากดนตรีที่บรรเลงด้วยอะคูสติคกีตาร์ที่มีคำร้องในท่อนคอรัสว่า “วู้ฮู้” แถมยังมาในรูปแบบเพลงช้าอีกต่างหาก แต่โชคดีที่ทาง Graham
ถ้าเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนสองคน ผู้ชายอย่างเราอาจชอบคำตอบที่ชัดเจน แต่สำหรับศิลปะถือเป็นเรื่องยกเว้น เรารักมันได้เสมอไม่ว่ามันจะชัดเจนหรือไม่ วันนี้ UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปชื่นชนความงามกับสุนทรีย์อีกรูปแบบผ่านความไม่ชัดเจนที่เราชื่นชอบจากผลงานของทั้ง 2 ศิลปินต่อไปนี้ Philip Barlow : เบลอสไตล์โบเก้ งานสีน้ำมันเหล่านี้ ตั้งใจเบลอด้วยปลายพู่กันเพื่อถ่ายทอดความงามของแสงสีที่ผสมผสานกันลงตัว บ้างก็ซ้อนกันเป็นวง บ้างก็เส้นขอบของรูปร่างที่เห็นไม่ชัดเจน แต่เรายังคงพอมองออกว่าภาพเหล่านั้นคืออะไร ความไม่ชัดเจนบนผืนผ้าใบไม่ได้ทำให้เรารู้สึกว่ากำลังโดนรบกวนทัศนวิสัยขนาดต้องหาแว่นมาใส่ แต่สร้างความหลงใหลทำให้รู้สึกอยากจ้องมองให้นานขึ้นกว่าเดิม เทคนิกความสวยแบบเบลอ ๆ นี้ ได้ Philip Barlow ศิลปินแอฟริกันเป็นผู้ถ่ายทอด โดยได้แรงบันดาลมาจากแสงสีที่เกิดขึ้นจากการถ่ายภาพ ที่ช่างภาพนิยมเรียกเทคนิกการถ่ายนี้ว่า โบเก้ เขาจึงเก็บภาพถ่ายแนวนี้นำมาวาดมันลงผืนผ้าใบกลายเป็นภาพที่สวยงาม โดยเพียรทำมันมาต่อเนื่องถึง 17 ปีแล้ว Pedrita studio : เบลอสไตล์โมเสก ด้านบนเป็นความเบลอแบบโบเก้ แต่สำหรับชิ้นนี้เป็นความไม่ชัดแบบการต่อโมเสก คือเป็นลายต่อกระเบื้องที่ Lisbon จัดแสดง นิทรรศการว่า “Lost and Found” ภายใน Pedrita Studio ทว่าความครีเอทีฟของมันไม่ได้ง่ายแบบการต่อโมเสกสีทั่วไป แต่เป็นการต่อกระเบื้องที่มีลวดลายแตกต่างกัน เอามาเชื่อมต่อกันเป็นรูปที่เราสามารถมองเห็นรูปร่างได้ชัดเจน เมื่อเราถอยไปดู