การเดินทางของวงดนตรีโดยมากแล้วจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีนอินดี้หรือซีนอันเดอร์กราวน์ก็ตาม เพราะนั่นคือพื้นฐานสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้วงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และยังเป็นช่องทางแรกในการกอบโกยแฟนเพลงด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าทุกวงต่างก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางวงก็แค่ต้องการมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มีงานโชว์เข้ามาเรื่อย ๆ ในแบบที่สามารถใช้ดนตรีเลี้ยงชีพได้ แต่ก็มีวงอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้ แน่นอนว่าเป้าหมายมีไว้พิชิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกวงที่จะฝ่าฟันตะลุยอุปสรรคจนไปถึงฝั่งฝันได้ แต่สำหรับวง Bring Me The Horizon พวกเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย THIS IS WHAT THE EDGE OF YOUR SEAT WAS MADE FOR จุดเริ่มต้นของวง Bring Me The Horizon เริ่มต้นเมื่อปี 2004 ณ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ จาก 2 คู่ซี้ Oliver Sykes (นักร้องนำ) และ Matt Nicholls (มือกลอง) ทั้งคู่ต่างชื่นชอบดนตรีเมทัลคอร์ที่มีกลิ่นอายของนอยซ์ซาวด์ (ยุคเก่า) ของฝั่งอเมริกาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวง
ต้องยอมรับเลยว่าบรรดาเด็กและเยาวชนรุ่นใหม่ ๆ ต่างเติบโตกันมาด้วยมุมมองที่หลากหลายมากกว่าเดิม สาเหตุก็มาจากการเข้าถึงสื่อต่าง ๆ ง่ายเพียงปลายนิ้วผ่านหน้าจอสมาร์ทโฟน มันสะท้อนออกมาทั้งจากทางความคิด การแต่งตัว และการฟังเพลงด้วยเช่นกัน สังเกตได้จากเพลย์ลิสต์ที่ไม่ได้ยึดติดกับแนวใดแนวหนึ่งเป็นพิเศษ แต่มันจะคละไปด้วยเพลงดี ๆ ที่แนวทางแทบจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เราอาจจะได้ฟังทั้งเพลงป๊อป, เพลงร็อก หรือแม้กระทั่งเพลงสายอินดี้ จากเพลย์ลิสต์เดียวกัน แตกต่างจากคนยุคก่อนที่มักจะยึดการฟังเพลงจากแนวใดแนวหนึ่งที่ชื่นชอบเป็นหลัก สิ่งที่ได้กล่าวมามันก็ได้หล่อหลอมสร้างศิลปิน/นักดนตรี รุ่นใหม่ขึ้นมาด้วยเช่นกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุดในยุคนี้คงต้องยกให้ Yungblud หนุ่มวัย 25 จากประเทศอังกฤษ หรือชื่อจริงคือ Dominic Richard Harrison ที่สร้างดนตรีจากซาวด์ที่เขาชื่นชอบและเติบโตขึ้นมา ทำให้เราจะได้ฟังสีสันอันหลากหลายจากผลงานของเขา ไม่ว่าจะเป็นป๊อปพังก์, โพสต์พังก์, ฮิปฮอป หรือแม้กระทั่งเมทัล ดังเช่นตัวอย่างเพลงต่อไปนี้ “PARENTS” ผลงานจากอัลบั้ม “Weird!” (Digital Edition) ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 2020 เพลงนี้โดดเด่นด้วยการร้องแร็ปไปพร้อมกับบีตที่ใช้เป็นเมนหลักแทบทั้งเพลง แต่ก็มีการซ่อนซาวด์กีตาร์ในสไตล์อัลเทอร์เนทีฟร็อกเข้ามาเพิ่มความน่าสนใจ และมันจะพุ่งออกมาให้เห็นได้ชัดในช่วงของท่อนฮุค “PSYCHOTIC KIDS” เพลงนี้อยู่ในอัลบั้มแรกที่มีชื่อว่า “21st Century Liability” (2018) ส่วนผสมของเพลงนี้มีความหลากหลายมาก ๆ
Bring Me The Horizon นี่คือชื่อวงร็อกแห่งยุคปัจจุบันที่จะให้บอกว่าพวกเขาคือวงระดับโลกก็กล้าเรียกได้เต็มปากอย่างแน่นอน พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่และขวัญใจของผู้นิยมชมชอบดนตรีอันหนักหน่วงได้ทั่วโลก ทุกเพลง ทุกอัลบั้มต่างได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ แต่เส้นทางการไต่ระดับไขว้คว้าความสำเร็จใช่ว่าจะมาจากโชคช่วย แต่มันมาจากการวางแผนของสมาชิกวงรวมไปถึงค่ายเพลงที่มีส่วนช่วยผลักดันให้อดีตวงเล็ก ๆ ในเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นมากลายเป็นวงระดับโลกได้ตามที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งมันก็มาพร้อมความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเลือกที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีมาแทบจะทุกอัลบั้ม ถือเป็นโจทย์ที่โคตรเสี่ยงตายแบบหาตัวแสดงแทนไม่ได้ของจริง แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Bring Me The Horizon ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ทาง Unlockmen จัดการถอดรหัสมาให้ดังนี้ ความเป็น ICONIC ของ OLIVER SYKES คำว่า “Iconic” ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่ Oliver Sykes นักร้องนำของวงสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ และมันมาจากความพยายามของตัวเขาเองแทบจะ 100% เริ่มแรกเลยความได้เปรียบของวง Bring Me The Horizon คือการมีฟรอนต์แมน (หรือนักร้องนำ) หน้าตาดี, มีความสามารถในการร้องเพลง, มีรอยสักที่โคตรเท่ถูกใจชาวร็อก, มีการแต่งตัวเข้ากับแฟชั่นทุกยุคทุกสมัย แถมยังรู้จักวิธีโปรโมตตัวเองด้วยแบรนด์สินค้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยองค์ประกอบที่ครบแบบนี้มันจึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกที่จะเข้ามาติดกับด้วยภาพลักษณ์ก่อนที่จะเข้ามารู้จักตัวเพลง