MUSIC

THE EVOLUTION! วิวัฒนาการของวง “BRING ME THE HORIZON” ผู้ไต่ระดับจากวงใต้ดิน สู่การโบยบินในฐานะวงร็อกระดับโลก

By: JEDDY October 20, 2022

การเดินทางของวงดนตรีโดยมากแล้วจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีนอินดี้หรือซีนอันเดอร์กราวน์ก็ตาม เพราะนั่นคือพื้นฐานสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้วงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และยังเป็นช่องทางแรกในการกอบโกยแฟนเพลงด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าทุกวงต่างก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางวงก็แค่ต้องการมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มีงานโชว์เข้ามาเรื่อย ๆ ในแบบที่สามารถใช้ดนตรีเลี้ยงชีพได้ แต่ก็มีวงอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้

แน่นอนว่าเป้าหมายมีไว้พิชิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกวงที่จะฝ่าฟันตะลุยอุปสรรคจนไปถึงฝั่งฝันได้ แต่สำหรับวง Bring Me The Horizon พวกเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย


THIS IS WHAT THE EDGE

OF YOUR SEAT WAS MADE FOR

จุดเริ่มต้นของวง Bring Me The Horizon เริ่มต้นเมื่อปี 2004 ณ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ จาก 2 คู่ซี้ Oliver Sykes (นักร้องนำ) และ Matt Nicholls (มือกลอง) ทั้งคู่ต่างชื่นชอบดนตรีเมทัลคอร์ที่มีกลิ่นอายของนอยซ์ซาวด์ (ยุคเก่า) ของฝั่งอเมริกาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวง Norma Jean และ Skycamefalling อีกทั้งยังชอบไปชมคอนเสิร์ตของบรรดาวงฮาร์ดคอร์พังก์ท้องถิ่นด้วย

หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้เปิดโลกดนตรีเมทัลลึกลงไปอีก เพราะได้รู้จักกับ Lee Malia (มือกีตาร์) ที่ได้แนะนำให้ทั้ง 2 ลองฟังเพลงของวง Metallica (แธรช เมทัล) และ At The Gates (สวีดิช เมโลดิก เดธ เมทัล) ซึ่งเป็นวงโปรดของ Lee เอง และเขายังเคยเล่นวงทริบิวด์ Metallica ก่อนที่จะได้มาเจอ Oliver และ Matt

เวลาผ่านไปได้อีกไม่นานทั้ง 3 คนก็ได้รู้จักกับ Curtis Ward (มือกีตาร์) จากเมืองรอตเตอร์แฮม และ Matt Kean (มือเบส) ซึ่งเล่นอยู่ในวงท้องถิ่น สุดท้ายทั้ง 5 คนได้รวมตัวกันก่อตั้งวง Bring Me The Horizon ขึ้นมา โดยชื่อวงได้มาจากภาพยนตร์เรื่อง Pirates of the Caribbean: The Curse of the Black Pearl ซึ่งเป็นคำพูดของ Jack Sparrow ว่า “Now, Bring Me That Horizon”

Bring Me The Horizon ได้คลอด “Bedroom Sessions” เดโม่จำนวน 3 เพลงออกมาประกอบไปด้วย “Medusa”, “Shed Light” และ “Who Wants Flowers When You’re Dead? Nobody” ซึ่งบันทึกเสียงออกมาได้แอบอุดอู้ตามแบบฉบับอัดกันเองในห้องนอนโดยแท้จริง แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลทางดนตรีของวงจากที่ได้กล่าวมา

แม้เดโม่อาจจะยังไม่ค่อยมีคุณภาพ แต่มันก็กลายเป็นจุดต่อไปสู่ “EP.This Is What the Edge of Your Seat Was Made For” (2004) ซึ่งได้ออกกับทางสังกัด Thirty Days of Night Records ในประเทศอังกฤษ และได้ทาง Earache Records ค่ายเมทัลระดับตำนานได้นำผลงานชิ้นนี้ไปจัดจำหน่ายในฝั่งอเมริกา

ซาวด์ใน EP. นี้มันมีทั้งความดิบ, ก้าวร้าว, อลหม่าน และดุเดือด เหมาะสมกับความเป็นวัยรุ่นของสมาชิกที่ฮอร์โมนกำลังพุ่งพล่านอย่างสุดขีด ดนตรีที่พวกเขาถ่ายทอดออกมาเป็นผสมผสานของเมทัลคอร์และแมตส์คอร์ ปราศจากเมโลดี้อันไพเราะ จะให้บอกว่าเป็นคนละวงกับในปัจจุบันก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด

แทร็กแนะนำ : “Traitors Never Play Hangman”


COUNT YOUR BLESSING

หลังจากผ่านพ้นการปล่อยผลงาน EP. ไป วง Bring Me The Horizon ก็ขยับสเกลของตัวเองขึ้นด้วยการเซ็นสัญญากับทางสังกัด Visible Noise Records ค่ายเพลงสายร็อกและเมทัลของสหราชอาณาจักร พวกเขาได้ไปใช้บริการห้องอัด Dep International ในเมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ เพื่อทำงานร่วมกับ Dan Sprigg โปร ดิวซ์เซอร์ผู้เคยร่วมงานกับวง Cradle Of Filth, Napalm Death และ Lostprophets

ด้วยวัยของสมาชิกทุกคนในช่วงก่อนออกอัลบั้มนี้ในปี 2006 พวกเขามีอายุยังไม่ถึง 20 ปีกันเลย ซึ่งมันส่งผลให้พวกเขาเน้นเล่นสนุกมากกว่าที่จะไปใช้เวลาอยู่ในสตูดิโอ จนเกิดเหตุการไฟลนก้น ทำให้พวกเขาต้องรีบเขียน 3 เพลงให้เสร็จก่อนวันเดทไลน์ส่งงานเพื่อปิดอัลบั้ม และสุดท้ายมันก็คลอดออกมาเป็น “Count Your Blessing”

ผลงานชุดนี้มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของซาวด์จากแนวทางเมทัลคอร์/แมตส์คอร์ กลายเป็นแนวดนตรี “เดธคอร์” (ที่มีส่วนผสมของเมโลดิก เดธ เมทัล) สุดดุดันแทน ซึ่งพวกเขาได้ปักธงการทำอัลบั้มนี้ไว้ว่า “หนักที่สุด โหดที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้” ซึ่งทุกเพลงในอัลบั้มนี้เป็นคำตอบของประโยคดังกล่าว นอกจากนั้นแล้วเพลงที่อยู่ในชุดนี้อย่าง “(I Used to Make Out With) Medusa” มันคือผลงานเพลงจาก “Bedroom Sessions” ที่ถูกนำมาปรับปรุงใหม่นั่นเอง

ด้วยเสียงร้องที่ใช้การสครีมแบบแผดสูงกับสำรอกแบบกดต่ำ ทำให้ BMTH ถูกนำไปเปรีบเทียบกับวง The Black Dahlia Murder รวมไปถึง Suicide Silence วงเดธคอร์ร่วมรุ่นที่มีฟรอนต์แมนนามว่า “Mitch Lucker” ซึ่งมีออร่าความเท่ไม่แพ้ Oliver Sykes เลยทีเดียว

ด้วยจังหวะการปล่อยเพลงที่ถูกต้อง ซึ่งล้อไปกับกระแสเพลงเดธคอร์ ทำให้ “Count Your Blessing” ได้รับการตอบรับที่ดีจากบรรดาแฟนเพลงเมทัลยุคใหม่ จนสามารถทำยอดขายขึ้นไปติดอันดับ 9 บนชาร์ต UK Rock & Metal Albums และทำให้พวกเขาได้ไปออกทัวร์ร่วมกับวง Abigail Williams และ Lostprophets 

เท่านั้นยังไม่พอ พวกเขายังได้ถูกเลือกให้ไปออกทัวร์ร่วมกับ Killswitch Engage วงเมทัลคอร์ระดับหัวแถวของวงการ ซึ่ง BMTH ไปแทนที่วง Bury Your Dead ที่ถอนตัวออกไปกระทันหัน และมันคือโอกาสที่ดีมาก ๆ เพราะจะเป็นการขยายฐานแฟนเพลงของวงออกไปได้อีกเพียบ อย่างไรก็ตามมันกลับไม่ได้สวยงามขนาดนั้น เพราะพวกเขาถูกบรรดาแฟนเพลงเมทัลหัวโบราณต่อต้านเพราะลุคของวงค่อนข้างไปทางเด็กอีโม (ยุคนั้นดนตรีหรือบรรดาเด็กอีโมมักจะถูกคนกลุ่มเหล่านี้เหยียด) คอยโห่ คอยตะโกนด่า ตลอดทั้งโชว์ บางคนหนักถึงขนาดเขวี้ยงขวดน้ำขึ้นมาบนเวที

แทร็กแนะนำ : “Pray For Plagues”


SUICIDE SEASON

แม้จะเริ่มสร้างฐานจากแฟนเพลงด้วยดนตรีแนวเดธคอร์ แต่แล้วในอัลบั้ม “Suicide Season” ที่วางจำหน่ายในปี 2008 พวกเขาก็บ้าบิ่นด้วยการปรับสไตล์ดนตรีให้ซอฟต์ลงมาเป็น “เมทัลคอร์” แทน และไม่ใช่แค่ดนตรีเท่านั้น การร้องของ Oliver Sykes ก็ปรับมาเป็นเสียงแบบกึ่งสำรอกเป็นหลัก ซึ่งมันจะมีเมโลดี้และคีย์ที่เหมือนการร้องเพลงปกติทั่วไป (มีเสียงร้องเหมือนในอัลบั้มแรกอยู่บ้าง) ทำให้บทเพลงของ Bring Me The Horizon สามารถเข้าถึงคนอีกกลุ่มได้กว้างมากยิ่งขึ้น แถมยังมีเพลงกึ่งช้าในอัลบั้มอีกด้วย

อัลบั้ม “Suicide Season” บรรดา 5 หนุ่มจากประเทศอังกฤษตัดสินใจบินไปทำกันที่ Studio Fredman ในเมือง Argoba ประเทศสวีเดน ซึ่งมันเป็นห้องอัดของ Fredrik Nordström โปรดิวซ์เซอร์ของอัลบั้มนี้นั่นเอง และเขาคนนี้เป็นคนที่เคยช่วยปลุกปั้นวง At The Gates, In Flames และ Dark Tranquillity ให้ประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งวงเหล่านี้คือแนวดนตรีสวีดิช เมโลดิก เดธ เมทัล หรือที่ใครหลาย ๆ คนเรียกว่า “โกเธนเบิร์กซาวด์” ซึ่งพวกเขาคือวงที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับวง Bring Me The Horizon โดยตรง

อัลบั้มนี้มันคืออีกก้าวที่สำคัญเพราะพวกเขาเริ่มได้ไปออกทัวร์ร่วมกับวงอื่น ๆ มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นวง The Ghost Inside, The Red Shore, Misery Signals และ Confide เป็นต้น

แม้ว่าเส้นทางกำลังไปได้สวย และอยู่ในกราฟที่ดูเติบโตขึ้น แต่สุดท้ายพวกเขาก็ต้องเสีย Curtis Ward มือกีตาร์ออกจากวงไปในปี 2009 เนื่องจากเจ้าตัวมีทัศนะคติที่ไปในทิศทางลบ แถมยังมีปัญหากับแฟนเพลง รวมไปถึงเจ้าตัวต้องเผชิญกับปัญหาเรื่องหูบอดข้างนึงอีกต่างหาก ทำให้พวกเขาต้องดึงเอา Dean Rowbotham เทคนิเชียนของวงมารับหน้าที่แทนชั่วคราว ก่อนที่จะได้ตัว Jona Weinhofen มือกีตาร์ชาวออสเตรเลียจากวง Bleeding Through และวง I Killed The Prom Queen มาเป็นสมาชิกถาวรแทน Curtis Ward

อัลบั้ม “Suicide Season” ได้รับคะแนนจากบรรดาสื่อต่าง ๆ ไปในทิศทางที่ดี นอกจากนั้นแล้วอัลบั้มนี้ยังถูกทำมาในเวอร์ชั่นรีมิกซ์ในสไตล์ดนตรีอิเลกทรอนิกส์อีกด้วย

แทร็กแนะนำ : “Diamonds Aren’t Forever” 


THERE IS A HELL…

อัลบั้มนี้มีชื่อเต็ม ๆ สุดยาวว่า “There Is a Hell Believe Me I’ve Seen It. There Is a Heaven Let’s Keep It a Secret” ผลงานอัลบั้มเต็มอันดับที่ 3 ของวง Bring Me The Horizon ออกวางจำหน่ายวันที่ 4 ตุลาคม ปี 2010 พวกเขายังคงใช้บริการ Fredrik Nordström เช่นเดิม แต่เพิ่มเติมคือได้ Henrik Udd มาเป็นโปรดิวซ์เซอร์ร่วมด้วย

หลังจากได้โยนหินถามทางกับอัลบั้มที่แล้วไป ซึ่งแฟน ๆ ก็ให้ตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ช่วยเพิ่มความมั่นใจในการเดินหน้าต่อกับดนตรีเมทัลคอร์ แต่ขึ้นชื่อว่า Bring Me The Horizon ไม่เคยทำอะไรจำเจอยู่แล้ว แม้พื้นฐานของดนตรีจะต่อยอดมาจาก “Suicide Season” แต่ก็มีการเพิ่มดีเทลและความซับซ้อนลงไปมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นซาวด์ของ ออร์เคสตร้า, เสียงร้องประสาน, ซาวด์ดนตรีสังเคราะห์ รวมไปถึงสัดส่วนแบบโปรเกรสซีพ ทั้งหมดถูกร้อยเรียงลงมาในแต่ละบทเพลงอย่างปราณีต เป็นภาพสะท้อนการเติบโตที่ชัดเจน อีกทั้งอัลบั้มนี้การร้องยังเน้นเมโลดี้ที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิมมาก ส่งผลให้สเกลของวงขยับขยายไปอีกหลายเท่า

ความสำเร็จที่มากขึ้นพิสูจน์ได้จากการส่งอัลบั้มขึ้นไปติดชาร์ตอันดับ 17 บนบิลบอร์ด 200 ของฝั่งอเมริกา แถมยังขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ในประเทศออสเตรเลียอีกด้วย อีกทั้งยังมีโอกาสร่วมทัวร์กับวงระดับบิ๊กเช่น Bullet For My Valentine, Atreyu และ Machine Head 

แทร็กแนะนำ : “It Never Ends”


SEMPITERNAL

ห่างหายจากการปล่อยอัลบั้มไปเกือบ 3 ปี วง Bring Me The Horizon ได้ประกาศหยุดทัวร์คอนเสิร์ตเพื่อทำการทำอัลบั้มใหม่ จนได้ “Sempiternal” ออกมาในวันที่  1 เมษายน ปี 2013 ซึ่งมาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงในหลาย ๆ เรื่อง ได้แก่ การย้ายมาอยู่กับทาง RCA ซึ่งเป็นค่ายเพลงระดับเมเจอร์, Jona Weinhofen มือกีตาร์ออกจากวงไป และ Jordan Fish เข้ามาทำหน้าที่มือคีย์บอร์ดให้กับวง

อัลบั้ม “Sempiternal” สร้างเซอร์ไพรส์ให้แฟนเพลงอีกแล้ว ด้วยการปรับซาวด์ให้ซอฟต์ลงกว่าเดิมด้วยสไตล์ “เมทัลคอร์/โพสต์ฮาร์ดคอร์” เติมเต็มด้วยความกลมกล่อมที่อยู่กึ่งกลางระหว่างความหนักหน่วงและความนุ่มนวล รวมไปถึงมีเมโลดี้ที่ติดหูง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเขียนเพลงของวง Linkin Park นั่นเอง

แต่จริง ๆ แล้วจุดเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่คือการเข้ามาของ Jordan Fish เขาช่วยสร้างซาวด์สังเคราะห์ที่เต็มไปด้วยท่วงทำนองอันทรงพลัง พร้อมเกาะหนึบไปกับทุกโสตประสาทได้อย่างยอดเยี่ยม อีกทั้งยังมีส่วนช่วยในการร้องคอรัสให้กับทางวงด้วยเช่นกัน และอัลบั้มนี้พวกเขาได้ Terry Date โปรดิวซ์เซอร์ตัวโหด ผู้เคยร่วมงานกับ Pantera, Deftones และ Limp Bizkit มาช่วยดูแลภาพรวมให้

“Sempiternal” ทำให้กราฟของวงพุ่งขึ้นไปอีกด้วยการติดชาร์ตอันดับ 11 บนบิลบอร์ด 200 และทำยอดขายได้ทั่วโลกกว่าเกือบ 800,000 ก็อปปี้ อีกทั้งยังคว้ารางวัลอัลบั้มยอดเยี่ยมจากนิตยสาร Alternative Press มาครองด้วย

แทร็กแนะนำ : “Shadow Moses”


THAT’S  THE SPIRIT

ก่อนที่ปล่อยอัลบั้มใหม่ต่อจาก “Sempiternal” ในวันที่ 21 ตุลาคม 2014 วง Bring Me The Horizon ก็ส่งซิงเกิ้ลใหม่ที่มีชื่อว่า “Drown” ซึ่งมันก็ทำให้แฟนเพลงเซอร์ไพรส์อีกครั้ง เพราะซาวด์ดนตรีมันแตกต่างไปจากเดิม และมันสามารถคาดเดาได้เลยว่าอัลบั้มใหม่ของพวกเขาจะต้องซอฟต์ลงอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ

“That’s The Spirit” ถูกวางขายในวันที่ 11 กันยายน 2015 ผลงานชุดนี้ 2 สมาชิก ได้แก่ Oliver Sykes และ Jordan Fish ลงมือโชว์ฝีมือโปรดิวซ์เซอร์กันเอง ส่วนซาวด์ก็ถูกลดกลายมาเป็นสไตล์ “อัลเทอร์เนทีฟร็อก/เมทัล” แทน ทำให้ทุก ๆ บทเพลงในอัลบั้มนี้ฟังง่ายมากขึ้นกว่าเดิม แถมเป็นมิตรกับบรรดาคลื่นวิทยุแบบสุด ๆ แต่ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังทำมันออกมาได้อย่างออกรสและน่าฟังเช่นเดิม นี่คือสเน่ห์ของวง BMTH ที่ถึงแม้จะปรับเปลี่ยนดนตรีไปในแนวทางไหนก็ยังทำมันออกมาได้ดีเสมอ

อัลบั้มนี้ทำให้วงก้าวขึ้นมาเป็นวงร็อกระดับเมนสตรีมอย่างเต็มตัว สามารถทำยอดขายได้รวมกันทะลุล้านยูนิต แถมยังติดชาร์ตอันดับ 2 บนบิลบอร์ด 200 ได้อีกด้วย ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของวงที่ทะลุ 10 อันดับแรกขึ้นมา

ความยิ่งใหญ่ของอัลบั้ม “That’s The Spirit” ไม่ได้จบแค่นี้ เพราะพวกเขาได้จัดคอนเสิร์ต ณ Royal Albert Hall ในกรุงลอนดอน เพื่อร่วมเล่นกับวงออร์เคสตร้า ซึ่งภายหลังได้มีการบันทึกเป็น DVD ให้แฟนเพลงได้เก็บสะสมกันด้วย

และอีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดีในช่วงไทม์ไลน์ของอัลบั้มนี้ คือในปี 2016 ณ งาน NME Awards ทางวง Bring Me The Horizon ได้ไปโชว์ในงาน NME Awards ในขณะที่พวกเขากำลังบรรเลงเพลง “Happy Song” อยู่นั้น จู่ ๆ Oliver Sykes ก็เดินลงมาจากเวที ก่อนจะไปปีนขึ้นไปร้องบนโต๊ะของวง Coldplay เล่นเอาบรรดาคนในฮอลล์วันนั้นมึนงงกันไปตาม ๆ กัน ก่อนจะตามมาด้วยดราม่าที่โจมตีมายังเจ้าตัวไปพักใหญ่ ๆ เลย

แทร็กแนะนำ : “True Friends”


AMO

ถ้าหากว่าอัลบั้มก่อนหน้านี้เพลงเบาลงไปเยอะแล้ว แต่มันเทียบไม่ได้เลยกับอัลบั้ม “Amo” ที่ทางวงปรับแนวดนตรีไปสู่ “อิเลกทรอนิกส์ป๊อป/ร็อก” แบบที่ทำให้แฟน ๆ ดั้งเดิมของวงส่ายหัวกันไปตาม ๆ กัน

“Amo” วางจำหน่ายในวันที่ 25 มกราคม ปี 2019 เป็นอีกครั้งที่ Oliver Sykes และ Jordan Fish รับบทบาทโปร ดิวซ์เซอร์เอง ซาวด์ในอัลบั้มนี้หลงเหลือความหนักหน่วงหรือแม้กระทั่งความเป็นร็อกแบบน้อยลงมาก แทบจะกลายเป็นคนละวงไปเลยหากมองจากผลงานก่อนหน้านี้ แต่ถึงแม้จะปรับโฉมไปเยอะ แต่พวกเขาก็ยังคงดีไซน์เพลงออกมาได้ยอดเยี่ยมเช่นเคย แค่เราลองเปิดใจลองฟังดูซักหน่อยก็จะพบว่ามันไม่ได้แย่อย่างที่คิดเลย

แม้อาจจะถูกวิจารณ์ทางลบจากหลาย ๆ ทิศทาง แต่ในขณะเดียวกันพวกเขาก็สร้างแฟนเพลงใหม่ ๆ ขึ้นมาเพียบ เพราะเพลงในอัลบั้มนี้แทบทั้งหมดสามารถเปิดในวิทยุได้สบาย ๆ ไม่เว้นแม้แต่ในบ้านเราก็ได้ยินเพลงจากอัลบั้ม “Amo” เช่นกัน

จากความเบาลงไปขนาดนี้มันก็ทำให้บรรดาแฟนเพลงอดคิดไม่ได้เลยว่าอัลบั้มต่อไปของ Bring Me The Horizon ต้องป๊อปจ๋ามากกว่าเดิมอย่างแน่นอน แถมมันยังมีเรื่องตอกย้ำกับอีพีขั้นเวลาที่มีชื่อยาวกว่ากรุงเทพมหานครว่า “Music to Listen to~Dance to~Blaze to~Pray to~Feed to~Sleep to~Talk to~Grind to~Trip to~Breathe to~Help to~Hurt to~Scroll to~Roll to~Love to~Hate to~Learn Too~Plot to~Play to~Be to~Feel to~Breed to~Sweat to~Dream to~Hide to~Live to~Die to~Go To” ซึ่งเป็นแนวดนตรีสังเคราะห์และทดลองล้วน ๆ

แทร็กแนะนำ : “Wonderful Life” (Featuring : Dani Filth จากวง Cradle Of Filth)


POST HUMAN : SURVIVAL HORROR

เรื่องการหลอกแฟนเพลงให้หัวทิ่ม ดูเหมือนจะเป็นงานถนัดของวง Bring Me The Horizon เพราะอย่างที่ได้บอกไปหลังจากที่ได้ปล่ออัลบั้ม “Amo” ออกมา ทุกคนก็ลงความเห็นว่าอัลบั้มถัดไปมันจะต้องเบาลงไปอีกสเตปอย่างแน่นอน แต่ที่ไหนได้…

“Post Human : Survival Horror” ออกวางจำหน่ายในวันที่ 30 ตุลาคม ปี 2020 ซึ่งตรงกับช่วงล็อกดาวน์เพราะการระบาดของโรคโควิด-19 ในขณะที่ทุกคนต้องอึดอัดกับการออกไปไหนไม่ได้ ทางวง BMTH ก็สร้างเซอร์ไพรส์ด้วยการกลับมาเล่นดนตรีเมทัลอันหนักหน่วงอีกครั้ง ชนิดที่ต้องเอ่ยปากบอกว่า “เดาอารมณ์ไม่ถูกแล้วโว้ย!”

แค่แทร็กแรก “Dear Diary,” ก็ดุเดือดราวกับเพลงในยุคแรก ๆ ของวงไม่มีผิด แถมเพลงอื่น ๆ ในอัลบั้มก็เหมือนเป็นการเอาซาวด์จากอัลบั้มก่อนหน้านี้มาใส่ความหนักหน่วงลงไปได้อย่างมีอรรถรส ถูกใจบรรดาแฟนเพลงกันทุกคน แถมยังได้แขกรับเชิญพิเศษอีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Yungblud ในเพลง “Obey”, Amy Lee จากวง Evanescence ในเพลง “One Day the Only Butterflies Left Will Be in Your Chest as You March Towards Your Death”, Nova Twins ในเพลง “1×1” และ Baby Metal ในเพลง “Kingslayer” 

การทำแบบนี้ถือเป็นวิธีที่ฉลาดมาก ๆ เพราะเหมือนไปโกยแฟนเพลงมาใหม่จากอัลบั้ม “Amo” เพื่อพามารู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาว่าเป็นอย่างไรในอัลบั้มนี้

แทร็กแนะนำ : “LUDENS”


หลังจากที่พวกเขาปล่อยอัลบั้ม “Post Human : Survival Horror” ณ ตอนนี้ทางวงก็กำลังจะทำซีรีส์ต่อไปของ “Post Human” ซึ่งระบุไว้เป็นแนว “Future Emo” โดยมีซิงเกิ้ลปล่อยออกมาแล้วได้แก่ “Die4U” และ “Strangers” รวมไปถึงมีผลงานการคัฟเวอร์เพลง “Bad Habits” ซึ่งทำร่วมกับ Ed Sheeran เจ้าของเพลงออกมาให้ฟังด้วยเช่นกัน

มาถึงตรงนี้แล้วทุกคนน่าจะได้เห็นกันแล้วว่าวง Bring Me The Horizon มีเป้าหมายและแผนการที่ชัดเจนในการไต่ระดับจากวงอันเดอร์กราวน์สู่การกลายเป็นวงร็อกระดับโลก ซึ่งมันก็ใช้เวลานับสิบปีเลยทีเดียว อย่างว่าแหล่ะครับ ความสำเร็จไม่เคยได้มาง่าย ๆ แต่มันมาจากความพยายามและไม่หยุดที่จะทำมันต่างหาก

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line