เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ สำหรับ “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2000 ตรงกับยุคมิลเลเนียมพอดิบพอดี รวมไปถึงเป็นช่วงที่กระแสดนตรีนูเมทัลกำลังครองตลาดของเพลงร็อกทั่วโลก แม้ “Hybrid Theory” จะเป็นเพียงแค่อัลบั้มแรก แต่มันก็ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน Linkin Park สามารถทำยอดขายจากอัลบั้มนี้ไปได้หลายสิบล้านก็อปปี้ นี่ยังไม่ได้รับรวมกับแผ่นซิงเกิ้ลแยกอย่าง “In The End” ที่ทำยอดขายเฉียด ๆ สิบล้านก็อปปี้เช่นกัน รวมไปถึงซิงเกิ้ลอื่น ๆ ก็ทำยอดขายได้ถล่มทลาย มันช่วยสร้างรายได้กลับไปทางต้นสังกัดอย่าง Warner Bros. และทางวงได้อย่างมหาศาล ภาพที่เราเห็นมันคือความสำเร็จอันงดงาม แต่น้อยคนนักที่อาจจะทราบถึงที่มาที่ไปก่อนจะเกิดอัลบั้ม “Hybrid Theory” พวกเขาต้องฝ่าด่านอะไรกันบ้าง ทาง Unlockmen ได้รวบรวมเรื่องดังกล่าวมาให้แล้วครับ “XERO” Linkin Park ถือกำเนิดวงขึ้นเมื่อปี 1996 โดย 3 สมาชิก ได้แก่ Mike Shinoda,
การเดินทางของวงดนตรีโดยมากแล้วจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีนอินดี้หรือซีนอันเดอร์กราวน์ก็ตาม เพราะนั่นคือพื้นฐานสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้วงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และยังเป็นช่องทางแรกในการกอบโกยแฟนเพลงด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าทุกวงต่างก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางวงก็แค่ต้องการมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มีงานโชว์เข้ามาเรื่อย ๆ ในแบบที่สามารถใช้ดนตรีเลี้ยงชีพได้ แต่ก็มีวงอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้ แน่นอนว่าเป้าหมายมีไว้พิชิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกวงที่จะฝ่าฟันตะลุยอุปสรรคจนไปถึงฝั่งฝันได้ แต่สำหรับวง Bring Me The Horizon พวกเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย THIS IS WHAT THE EDGE OF YOUR SEAT WAS MADE FOR จุดเริ่มต้นของวง Bring Me The Horizon เริ่มต้นเมื่อปี 2004 ณ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ จาก 2 คู่ซี้ Oliver Sykes (นักร้องนำ) และ Matt Nicholls (มือกลอง) ทั้งคู่ต่างชื่นชอบดนตรีเมทัลคอร์ที่มีกลิ่นอายของนอยซ์ซาวด์ (ยุคเก่า) ของฝั่งอเมริกาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวง
ครั้งที่แล้ว เราได้มีการเล่าถึงอัลบั้มสุดเดือดของวงสายร็อกและเมทัล ที่คว่ำวอดอยู่ในวงการอันเดอร์กราวน์ในยุค 90’s ไปแล้ว (Link : https://bit.ly/3S5nDW4) มาในครั้งนี้เราจะเขยิบไทม์ไลน์ขึ้นมาอีกหนึ่งสเตปด้วยการต่อไปสู่ช่วงปี 2000-2005 ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่กำลังเข้าใกล้ความพีคของวงการนี้ โดยเราได้คัดเลือก 11 อัลบั้มสุดแรร์ที่คุณอาจจะไม่เคยได้สัมผัสมาให้ทุกคนได้ลองเสพกันดูครับ SWEET MULLET “PANAPHOBIA” (2003) ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักวง Sweet Mullet ที่สร้างชื่อเสียงจากเพลง “ตอบ” ในโปรเจกต์ Showroom No.1 และยืนหยัดอยู่ในวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน มีเพลงฮิตฝากไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็น “สภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”, “ขอโทษในสิ่งที่เธอไม่รู้”, “ภาพติดตา” เป็นต้น แต่ก่อนที่จะเป็นที่รู้จัก พวกเขาก็เคยผ่านวิถีอันเดอร์กราวน์มาก่อน หลังจากที่ “เต๋า” นักร้องนำได้ออกจากวง Napkin ก็ได้มาสร้างวง Sweet Mullet ที่นำเสนอแนวทางอีโม/สครีมโม ที่เต็มไปด้วยเมโลดี้กับความเกรี้ยวกราด ซึ่งมันถูกสะท้อนออกมาใน EP.Panaphobia บรรจุไว้ด้วย 6 เพลงด้วยกันรวมอินโทร, เอาท์โทร และเพลงอะคูสติค ซาวด์อีพีนี้ได้สะท้อน DNA ของวงไว้ได้อย่างชัดเจน วง
Silly Fools ชื่อนี้มีอิทธิพลที่ยิ่งใหญ่เสมอสำหรับวงการดนตรีเพลงร็อกในบ้านเรา โดยเฉพาะในยุคที่ “โต” ทำหน้าที่เป็นนักร้องนำ ซึ่งก็ได้สร้างเพลงฮิตเอาไว้มากมายไม่ว่าจะเป็น “คิดถึง”, “ไหนว่าจะไม่หลอกกัน”, “ขี้หึง”, “วัดใจ”, “น้ำลาย” เป็นต้น เพลงเหล่านี้เปิดที่ไหนรับรองว่าร้องตามกันได้อย่างแน่นอน ผลงานในยุคดังกล่าวมีการปรับซาวด์จูนเข้าหาตลาดมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทิ้งตัวตนของวง Silly Fools ออกไปแต่อย่างใด แต่ถ้าจะให้พูดถึงผลงานที่พวกเขาปล่อยของออกมามากที่สุด และประทับใจหมู่นักฟังเพลงมากที่สุด ผลงานนั้นกลับไม่ได้อยู่ในยุคของโต แต่มันอยู่ในยุคของ “เบนจามิน จุง ทัฟเนล (Benjamin Jung Tuffnell)” นักร้องนำชาวอเมริกัน เชื้อสายเกาหลี กับผลงานอัลบั้ม “The One” ที่หลายคนลงความเห็นตรงกันว่า “ซาวด์โคตรอินเตอร์แบบสุด ๆ!” “The One” เป็นผลงานที่ต่อยอดมาจาก EP.Mini วางจำหน่ายเมื่อปี 2007 บรรจุเอาไว้ทั้งหมด 4 เพลงด้วยกัน ได้แก่ “Stay Away”, “One Generation”, “I’ve Gone Blind” และ
การจะสร้างดนตรีให้กลายเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลก ในบางครั้งเราอาจจะไม่ต้องสร้างงานเพลงที่มันเหนือชั้นหรือยากจนเกินไป แต่ในขณะเดียวกันการสับคอร์ดกีตาร์ง่าย ๆ เพียงไม่กี่คอร์ดก็สามารถครองโลกได้เช่นกัน ซึ่งแนวดนตรีที่ว่านั้นก็คือ “พังก์” โดยเฉพาะในสาย “ป๊อปพังก์” ที่ฟังง่ายแต่สนุก ได้ทั้งมันส์ ได้ทั้งความไพเราะไปพร้อม ๆ กัน และหนึ่งในวงที่ปูแนวทางมายาวนานกว่า 30 ปี แถมยังเป็นอิทธิพลให้วงรุ่นน้องมากมายนับไม่ถ้วน คงหนีไม่พ้น Green Day วงทริโอ-ป๊อปพังก์ จากอีสต์ เบย์, รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่ก่อตั้งวงมาตั้งแต่ปี 1987 และค่อย ๆ ไต่ระดับชื่อเสียงจนกลายเป็นวงระดับโลกอย่างที่เห็นกันในปัจจุบัน สิ่งที่ได้กล่าวมาสามารถยืนยันได้จากยอดสตรีมมิ่งต่าง ๆ บนโลกออนไลน์ เรามาดูกันดีกว่ามีผลงานเพลงไหนของวง Green Day ที่มียอดเข้าชม MV เกินกว่า 100 ล้านวิวบ้าง “BOULEVARD OF BROKEN DREAMS” VIEWS = 662 M เพลงช้าสุดฮิตของวง Green Day ผลงานจากอัลบั้ม “American Idiot”
ในปี 2022 วันที่วงการดนตรีไทยอุดมไปด้วย Young Blood & New Face ที่เก่งกาจเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยวัฒนธรรม Home Studio ซึ่งมีมากขึ้น เรียกว่าเทคโนโลยีดนตรีสมัยใหม่สามารถทำให้ใครก็สามารถเริ่มขึ้นเดโม่ จนถึงจบมาสเตอร์ที่คุณภาพประมาณนึงได้ในห้องนอนของตัวเอง ที่น่าชื่นใจของวงการดนตรีไทยในทุกวันนี้ คือการที่คำว่า MASS กับ INDY ไม่ได้มีกำแพงต่อกันสูงเท่าสมัยก่อนอีกแล้ว แต่คนฟังให้ค่ากับคำว่า MUSIC จริง ๆ มากกว่า โดยที่ถึงแม้ว่าการเดินทางของวงจากทั้ง 2 ฝั่งก็ยังเป็นแบบที่วงในค่ายใหญ่ (ซึ่งอาจจะสามารถใช้เรียก Main Stream ได้) ต้องทำเพลงออกมาขายผู้บริโภค รันธุรกิจของค่ายไปพร้อม ๆ กับความฝันของพวกเขาต่อไป ทางฟากตรงกันข้าม ในส่วนของวงอิสระ (ไม่ได้สังกัดค่าย และอาจจะเรียกด้วยคำว่า INDY ได้เช่นกัน) ก็ยังคงมุ่งมั่นทำเพลงในทุกวันเพื่อจะขยับเข้าใกล้คนฟังหมู่มาก ไปจนถึงการได้สำเร็จความฝันที่จะมี ‘แฟนเพลง’ เป็นของตัวเองได้ในที่สุด จากประเด็นเรื่องของ MASS กับ INDY มันทำให้คนฟังเพลงวัยผู้ใหญ่อย่างเรา (พยายามหลีกเลี่ยงคำว่าแก่ล่ะ) คิดถึงวงการดนตรีของประเทศไทยเมื่อ 8
พอจะเข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2022 วงที่เรารักก็พร้อมใจกัน Come Back ปล่อยอัลบั้มใหม่หรือเพลงใหม่กันรัว ๆ และหลาย ๆ วง ก็พากันมาทัวร์เยือนเมืองไทย ตอกย้ำคอนเซปต์ #กรุงเทพเมืองคอนเสิร์ต ให้หนักแน่นกันไปเล้ยยย เดือน 8 แล้วคุณพี่ก็ยังคงทยอยประกาศทัวร์กันอย่างต่อเนื่อง เป็นเศร้าไม่มีเงินแล้ว : ( ในการปล่อยเพลงใหม่ในแต่ละครั้ง นอกจากความน่าสนใจในผลงานเพลงที่เติบโตขึ้น บ้างก็เปลี่ยนแปลงไปเลย อีกสิ่งที่มาควบคู่กันทุกครั้งคือ ‘ลุค’ ที่ต้องปรับทุกครั้งที่ปล่อยเพลงใหม่ UNLOCKMEN ขอแคปเจอร์ลุคจากเหล่าฟรอนต์แมนที่เราหลงใหล เป็นแรงบันดาลใจช่วยให้อยากแต่งตัวสนุกในชีวิตจริงกัน Alex Turner (Arctic Monkeys, The Last Shadow Puppet) การกลับมาที่ซีนดนตรี Indy Rock รอคอย กับวงที่เป็นหัวแถวและผู้นำทางดนตรีแห่งยุคสมัย Arctic Monkey ที่ประกาศอัลบั้มใหม่ชื่อ The Car พร้อมกับกำหนดปล่อยให้ฟังพร้อมกันทั้งอัลบั้มในวันที่ 21 ตุลาคมนี้แล้ว เย้! สิ่งที่น่าสนใจทุกครั้งของ Arctic Monkey คือการปรับเปลี่ยนแปลงลุคของฟรอนต์แมน
สิ่งที่น่าสนใจสำหรับวงการดนตรีโลกในช่วง 2-3 ปีมานี้ คือการที่เราได้เห็นซีนของศิลปินเอเชียหรือ Asia Sound ผงาดและฉายแสงในวงการดนตรีโลกมากกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด ทั้งพลังวัยรุ่นของกลุ่มศิลปินจาก 88 Rising ที่ถล่มเทศกาลดนตรี Cocealla อย่างราบคาบ หรือฝั่ง K-POP วงเกิร์ลกรุ๊ปและบอยแบนด์อย่าง BTS, AESPA, BLACK PINK และวงเกาหลีอีกหลาย ๆ วงก็ได้ทำลายกรอบของเพลง Main Stream โลกไปแล้ว UNLOCKMEN ขอพาทุกคนย้อนกลับไปในปี 2017 ณ ช่วงเวลาที่ Asia Sound ยังไม่บูมขนาดวันนี้ มีเด็กหญิงที่ใช้ชื่อในวงการว่า beabadoobee กำลังจะเปลี่ยนภาพจำที่ว่า ‘เราหาต้นแบบศิลปินเอเชียบนเวทีโลกไม่ค่อยได้เลย’ ไปย้อนดูเรื่องราวในก้าวแรกของเธอกัน กลุ่มเพื่อนเรียกเธอว่า Bea แต่ชื่อจริงของเธอคือ Beatrice Laus ส่วนเบื้องหลังชื่อที่ทั่วโลกเรียกเธอว่า beabadoobee นั้น เกิดขึ้นปี 2017 ในวันที่เธอกับเพื่อนจะอัพเพลงแรกขึ้นสตรีมมิ่งแล้วยังไม่มีชื่อ Artist เลย แน่นอนว่ามันก็อัพเพลงไม่ได้ ก็ลองตั้งชื่อกันไปมา แต่ไม่ผ่านสักที
Silly Fools ชื่อนี้บ่งบอกความยิ่งใหญ่ในฐานะของวงดนตรีร็อกอันดับต้น ๆ ของบ้านเราได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงยุค 2000’s ที่ “โต” ยังทำหน้าที่นักร้องนำอยู่ พวกเขาฝากสุดยอดผลงานเพลงเอาไว้มากมายที่ใครต่อใครก็ต้องรู้จัก เช่น “ไหนว่าจะไม่หลอกกัน”, “วัดใจ”, “ขี้หึง”, “น้ำลาย”, “เมื่อรักฉันเกิด”, “จิ๊จ๊ะ” และอีกเพียบ ดนตรีร็อกพวกเขาเต็มไปด้วยพลังงานล้นหลอด มากไปด้วยทักษะ จัดจ้านทั้งเพลงเร็วและเพลงช้า สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่มัดใจคนฟังได้อย่างอยู่หมัด แม้ว่าปัจจุบันทางวงจะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนักร้อง 2 คน ได้แก่ “เบน” และคนล่าสุดคือ “ริม” แต่ DNA ซาวด์ของ Silly Fools ก็ยังคงชัดเจน ภาพภายนอกพวกเขาคือวงที่ประสบความสำเร็จ แต่แท้จริงแล้ว Silly Fools เป็นวงที่ค่อย ๆ เติบโต ค่อย ๆ ปรับจูนแนวทางจนสามารถเอาตัวตนกับความต้องการทางตลาดเบลนด์ออกมาได้อย่างลงตัว แบบที่ทั้งศิลปินและค่ายเพลงแฮปปี้ด้วยกันทั้งคู่ แต่หากย้อนไปสู่จุดเริ่มต้นของการทำเพลงของวง พวกเขาไม่ได้นำเสนอแนวเพลงแบบที่เราคุ้นเคยกัน แต่กลับเลือกเพลงแนวเมทัลอันหนักหน่วงออกมาซัดใส่ผู้ฟัง จนใครบางคนถึงกับงงว่านี่คือวงเดียวกันหรือเปล่า? ย้อนกลับไปรากเหง้าทางดนตรีของวง Silly Fools พวกเขาเติบโตมากับเพลงเมทัลอันหนักหน่วง
Linkin Park คือหนึ่งในวงร็อกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการดนตรี พวกเขาประสบความสำเร็จกับทั้งยอดขายของซิงเกิ้ลและอัลบั้ม รวมถึงยังได้ออกเดินทางเพื่อเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก ถึงแม้ว่าวันนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นการกลับมาของ LP อีกแล้ว แต่ผลงานที่ฝากเอาไว้มันยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง และหลาย ๆ เพลงก็มียอดวิวที่ถล่มทลายเกิน 1 พันล้านวิว เรามาดูกันดีกว่าว่า 10 เพลงที่มียอดวิวในสูงสุดในยูทูปของ Linkin Park มีเพลงอะไรกันบ้าง 1. ”NUMB” 1,749,380,980 views/ Meteora (2003) แม้จะเป็นผลงานจากอัลบั้มที่ 2 แต่ยอดวิวกลับนำโด่งขึ้นมาอยู่อันดับ 1 สำหรับเพลง “Numbs” ที่ตัวดนตรีมาพร้อมสูตรฮิตกดอัลติของวงด้วยเมโลดี้จากคีย์บอร์ดที่กดวนอยู่ไม่กี่ตัวโน๊ต การแบ่งพาร์ตการร้องในเพลงนี้ก็ถูกดีไซน์มาให้จดจำง่าย เข้าสูตรเพลงป๊อปแบบ 100% และเน้นเสียงร้องแบบปกติเป็นหลัก ปราศจากท่อนแร็ปและท่อนสครีม แต่เนื้อหายังคงแสดงความเจ็บปวดในแบบ Linkin Park ได้เป็นอย่างดี จริง ๆ แล้วจะบอกว่าเพลงนี้คือเพลงบัลลาดแห่งยุคนูเมทัลก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด 2. ”IN THE END” 1,332,958,650 views/ Hybrid Theory (2000) บทเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้