MUSIC

ครบรอบ 22 ปี “HYBRID THEORY” ผลงานแจ้งเกิดของวง LINKIN PARK ที่บ่งบอกความยิ่งใหญ่ของวงร็อกยุค 2000’s ได้เป็นอย่างดี

By: JEDDY October 27, 2022

เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ สำหรับ “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2000 ตรงกับยุคมิลเลเนียมพอดิบพอดี รวมไปถึงเป็นช่วงที่กระแสดนตรีนูเมทัลกำลังครองตลาดของเพลงร็อกทั่วโลก

แม้ “Hybrid Theory” จะเป็นเพียงแค่อัลบั้มแรก แต่มันก็ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน Linkin Park สามารถทำยอดขายจากอัลบั้มนี้ไปได้หลายสิบล้านก็อปปี้ นี่ยังไม่ได้รับรวมกับแผ่นซิงเกิ้ลแยกอย่าง “In The End” ที่ทำยอดขายเฉียด ๆ สิบล้านก็อปปี้เช่นกัน รวมไปถึงซิงเกิ้ลอื่น ๆ ก็ทำยอดขายได้ถล่มทลาย มันช่วยสร้างรายได้กลับไปทางต้นสังกัดอย่าง Warner Bros. และทางวงได้อย่างมหาศาล

ภาพที่เราเห็นมันคือความสำเร็จอันงดงาม แต่น้อยคนนักที่อาจจะทราบถึงที่มาที่ไปก่อนจะเกิดอัลบั้ม “Hybrid Theory” พวกเขาต้องฝ่าด่านอะไรกันบ้าง ทาง Unlockmen ได้รวบรวมเรื่องดังกล่าวมาให้แล้วครับ


“XERO”

Linkin Park ถือกำเนิดวงขึ้นเมื่อปี 1996 โดย 3 สมาชิก ได้แก่ Mike Shinoda, Rob Bourdon และ Brad Delson ซึ่งทั้ง 3 คนเรียนที่เดียวกันคือ Agoura High School ในรัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา หลังจากที่เรียนจบ พวกเขาก็อยากจะเล่นดนตรีจริงจัง จึงได้ไปชักชวน Joe Hahn, Dave “Phoenix” Farrell และ Mike Wakefield มาฟอร์มวงกัน จนได้ถือกำเนิดวงที่มีนามว่า “Xero” ขึ้นมา

ในช่วงนั้นทางสมาชิกแต่ละคนก็ไม่ได้มีรายได้อะไรมากมาย ทำให้พวกเขาตัดสินใจอัดเพลงกันที่ห้องนอนของ Mike Shidona ซึ่งมีอุปกรณ์ที่จำกัดเอามาก ๆ แต่สุดท้ายก็ได้เดโม่จำนวน 4 เพลงออกมาในเดือนพฤศจิกายน ปี 1997

เมื่อพวกเขามีผลงานแล้วสเต็ปต่อไปคือการยื่นเดโม่ไปยังค่ายเพลงต่าง ๆ แต่สุดท้ายก็เฟลทั้งหมด นั่นทำให้ทาง Mike Wakefield ได้ตัดสินใจลาออกจากวง รวมไปถึง Phoenix ที่ตัดสินใจไปรับหน้าที่มือเบสให้กับวง Tasty Snax เพื่อออกทัวร์คอนเสิร์ตแทน การที่ 2 สมาชิกหลักขาดหายไปถือเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่น้อยเลยสำหรับวงดนตรีที่เพิ่งตั้งไข่

อย่างไรก็ตามทาง Jeff Blue รองประธานของค่าย Zomba Music ผู้ซึ่งมีความใกล้ชิดกับทางวงได้แนะนำนักร้องนำจาก Gray Daze วงดนตรีแนวกรันจ์ให้กับวง Xero

สำหรับเพลงใน EP.Xero ประกอบไปด้วย

1.Rhinestone (ภายหลังกลายมาเป็นเพลง “Forgotten”)

2.Reading My Eyes

3.Fuse

4.Stick N Move


“CHESTER BENNINGTON”

วง Xero ตัดสินใจรับนักร้องนำวง Gray Daze เข้ามารับหน้าที่แทน หลังจากที่ได้ยินเสียงร้องเพลง “Pictureboard” ที่พวกเขาส่งไปให้อัดร้องกลับมาเพื่อทดสอบเสียง และชายผู้นี้มีนามว่า “Chester Bennington” นั่นเอง ทำให้ตอนนี้วง Xero ได้ตำแหน่งฟรอนต์แมนคนใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพวกเขาได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อวงเป็น “Hybrid Theory” 

หลังจากนั้นพวกเขาก็ร่วมกันทำเดโม่ขึ้นมา ซึ่งบรรจุไว้ทั้งหมด 7 เพลงด้วยกัน ได้แก่

1.Carousel

2.Technique (Short)

3.Step Up

4.And One

5.High Voltage (ภายหลังถูกรวมอยู่ในอัลบั้ม “Hybrid Theory”)

6.Part of Me

7.Secret/Ambient

ซาวด์ในอีพีนี้ดูดีจากเดโม่ขึ้นมามาก รวมไปถึงการเรียบเรียงของเพลงก็ดูจะมีความไหลลื่นมากขึ้นกว่าเดิมเช่นกัน ส่วนเสียงร้องของ Chester Bennington ก็เข้ามาเติมเต็มความลงตัว สามารถสลับพาร์ตกับการร้องแร็ปของ Mike Shinoda ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ส่วนสไตล์ดนตรีก็มาเป็นแนวแร็ป/ร็อก/นูเมทัล ตามสมัยนิยมในช่วงนั้น

ความมุ่งมั่นของการเซ็นสัญญากับค่ายเพลงก็ยังคงไม่หมดไป วง Hybrid Theory ได้ตัดสินใจยื่นเดโม่เทปไปหลายค่ายเพลง รวมไปถึงมีโอกาสไปเล่นโชว์เคสให้กับตัวแทนจากธุรกิจดนตรีดูไม่ต่ำกว่า 40 ครั้ง แต่ก็ต้องพบกลับความล้มเหลวอีกครั้ง เพราะบรรดาค่ายเพลงต่าง ๆ ไม่มีใครสนใจผลงานเพลงของพวกเขาเลย

แสงที่ดูเหมือนจะริบหรี่ลงไปก็ถูกจุดติดขึ้นอีกครั้งโดย Jeff Blue ซึ่งเขาได้ลาออกมาจากทาง Zomba Music เพื่อมารับตำแหน่งรองประธานของค่าย Warner Bros. Records แทน และเป็นอีกครั้งที่ Jeff ได้ยื่นมือมาช่วยเหลือด้วยการเซ็นวง Hybrid Theory เข้าค่ายซะเลย


“HYBRID THEORY [FIRST ALBUM]”

หลังจากที่ได้เซ็นสัญญากับสังกัดระดับเมเจอร์ ทางวงก็ได้มุ่งหน้าเข้าห้องอัดในเดือนมีนาคม ปี 2000 เพื่อทำอัลบั้มแรกกัน ณ NRG Recording ในนอร์ท ฮอลลีวูด รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพวกเขาได้ Don Gilmore มารับหน้าที่ โปรดิวซ์เซอร์เพื่อช่วยดูแลภาพรวมให้ผลงานออกมาน่าฟัง และได้ Andy Wallace มารับหน้าที่มิกซ์เพลงให้ อีกทั้งยังได้ตัวของ Phoenix กลับมารับหน้าที่มือเบสด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นทางค่ายเพลงยังแนะนำให้เปลี่ยนชื่อวง จนสุดท้ายก็ได้ออกมาเป็นคำว่า “Linkin Park” ซึ่งแผลงมาจากคำว่า Lincoln Park นั่นเอง แต่เท่านั้นยังไม่พอ ทาง A&R ของค่ายรู้สึกไม่โปรดปรานกับดนตรีร็อกผสมแร็ปซักเท่าไหร่ ทำให้เขาไปไซโคให้ Chester ไล่ Mike ออกจากวงไป เพื่อสร้างวงให้เป็นร็อกแบบเพียว ๆ แต่ก็อย่างที่ทราบกันว่าทาง Chester ไม่ได้ทำตามแต่อย่างใด ซึ่งมันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมาก ๆ

จนสุดท้ายในวันที่ 29 สิงหาคม ปี 2000 ทางวงก็ได้ส่งซิงเกิ้ลแรก “One Step Closer” ออกมาทักทายกับชาวโลกด้วยสไตล์ดนตรีนูเมทัลที่ดูเกรี้ยวกราดด้วยเสียงแตกพร่าของกีตาร์ และเสียงสครีมสุดหลอดลมของ Chester แต่ในขณะเดียวกันมันก็เต็มไปด้วยเมโลดี้ชวนติดหู จากความกลมกล่อมของดนตรี ทำให้เพลงนี้ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างรวดเร็วจากบรรดาชาวร็อกทั่วโลก

ส่วนอัลบั้มเต็มของพวกเขาได้ตั้งชื่อตามชื่อวงดั้งเดิมว่า “Hybrid Theory” ออกวางจำหน่ายในวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2000 มันมาพร้อมกับกระแสตอบรับที่ไปในทิศทางบวกจากบรรดานักวิจารณ์ หลาย ๆ สำนักเทคะแนนระดับสูงให้กับอัลบั้มนี้

แม้จะมาพร้อมกับความหนักหน่วงของดนตรี แต่พวกเขาก็สามารถเบลนด์ความเป็นป๊อปเข้ามาผสม โดยเฉพาะการวางโครงสร้างและการวางคำร้องของเพลง ทำให้ทุก ๆ บทเพลงในอัลบั้มนี้ฟังง่ายมาก ๆ แม้ไม่ใช่คอเพลงร็อกก็สามารถเข้าถึงมันไม่ได้ไม่ยากเช่นกัน รวมไปถึงไม่มีคำหยาบมาให้ผู้ปกครองต้องกังวลใจ ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือข้อแตกต่างจากวงเพื่อนร่วมรุ่นอย่าง Korn, Limp Bizkit, Slipknot และ Coal Chamber เป็นต้น

ด้วยเหตุดังกล่าวทำให้ “Hybrid Theory” เปิดตัวได้อย่างสวยงามด้วยการขึ้นไปติดอันดับ 2 บนบิลบอร์ดชาร์ต 200 รวมถึงติดอันดับท็อป 10 อีกหลายประเทศทั่วโลก พวกเขาสามารถทำยอดขายในสัปดาห์แรกได้มากถึง 50,000 ก็อปปี้เลยทีเดียว


“IN THE END”

หลังจากที่ปล่อยอัลบั้มออกไป ทางวงก็มีการปล่อย MV เลี้ยงกระแสมาอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเพลง “Points Of Authority”, “Crawling”, “Papercut” แต่มาพีคที่สุดคือ “In The End” ที่ปล่อยออกมาโปรโมตเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ปี 2001

ด้วยบทเพลงนี้ทำให้ชื่อของ Linkin Park กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เชื่อว่าหลาย ๆ คนน่าจะรู้จักพวกเขาจากเพลงนี้เป็นเพลงแรกอย่างแน่นอน ท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยเมโลดี้ติดหูได้สะกดให้ทุกคนต้องหยุดฟัง และจบลงด้วยความประทับใจต่อเพลงนี้อย่างถอนตัวไม่ขึ้น ซึ่งในที่สุดมันได้กลายเป็นบทเพลงอมตะตลอดกาลของวง Linkin Park และส่งผลให้อัลบั้ม “Hybrid Theory” ยิ่งประสบความสำเร็จขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

นอกจากนั้นทางวงยังได้ส่งอัลบั้ม “Reanimation” ซึ่งเอาเพลงของอัลบั้มนี้มารีมิกซ์ใหม่อีกด้วย


ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวของอัลบั้ม “Hybrid Theory” ที่แม้จะผ่านช่วงเวลามานานกว่า 22 ปีแล้ว แต่เราจะสัมผัสได้ถึงพลังงานอันพุ่งพล่านที่บรรจุไว้ในผลงานชิ้นนี้เสมอทุกครั้งที่เปิดฟัง แต่ในอีกมุมหนึ่งมันก็ทำให้เราอดคิดถึงและเสียดายความสามารถของ Chester Bennington ไม่ได้จริง ๆ ครับ

 

 

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line