ช่วงนี้กระแส Y2K ฮอตฮิตเป็นอย่างมากไปทั่วโลก มันเป็นปลุกไลฟ์สไตล์หลาย ๆ อย่างในปี 2000 ในกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากนัก เพราะแฟชั่นพอผ่านไปจุดหนึ่งมันก็จะถูกนำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้งอยู่เป็นประจำ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่ากระแสดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้น มันก็มีส่วนทำให้เรานึกถึงอดีตที่เคยสนุกสนานกันในปี 2000 รวมไปถึงนึกถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ในยุคนี้ไม่สามารถทำได้แบบเดิมแล้ว และยังทำให้เรานึกถึงบทเพลงในยุคนั้นเช่นกัน ซึ่ง 1 ในเพลงที่สร้างปรากฏการณ์ในช่วง Y2K ไปทั่วโลก มันคือ “In The End” ของวง Linkin Park นั่นเอง “In The End” คือผลงานจาก “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2000 ซึ่งมันก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวร็อกและแฟนเพลงในยุคนูเมทัลเป็นอย่างมาก เพราะวง Linkin Park สามารถเบลนด์เอาความหนักหน่วงเข้ากับสัดส่วนของเพลงป๊อปได้อย่างลงตัว แต่ละเพลงในอัลบั้มล้วนฟังง่ายแต่ไม่ทิ้งความมันส์ รวมไปถึงสามารถฟังได้ทุกเพศทุกวัย เพราะในอัลบั้มนี้ปราศจากคำหยาบ ทำให้ผู้ปกครองสบายใจที่จะปล่อยให้ลูกหลานได้ฟัง “In The End”
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ สำหรับ “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2000 ตรงกับยุคมิลเลเนียมพอดิบพอดี รวมไปถึงเป็นช่วงที่กระแสดนตรีนูเมทัลกำลังครองตลาดของเพลงร็อกทั่วโลก แม้ “Hybrid Theory” จะเป็นเพียงแค่อัลบั้มแรก แต่มันก็ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน Linkin Park สามารถทำยอดขายจากอัลบั้มนี้ไปได้หลายสิบล้านก็อปปี้ นี่ยังไม่ได้รับรวมกับแผ่นซิงเกิ้ลแยกอย่าง “In The End” ที่ทำยอดขายเฉียด ๆ สิบล้านก็อปปี้เช่นกัน รวมไปถึงซิงเกิ้ลอื่น ๆ ก็ทำยอดขายได้ถล่มทลาย มันช่วยสร้างรายได้กลับไปทางต้นสังกัดอย่าง Warner Bros. และทางวงได้อย่างมหาศาล ภาพที่เราเห็นมันคือความสำเร็จอันงดงาม แต่น้อยคนนักที่อาจจะทราบถึงที่มาที่ไปก่อนจะเกิดอัลบั้ม “Hybrid Theory” พวกเขาต้องฝ่าด่านอะไรกันบ้าง ทาง Unlockmen ได้รวบรวมเรื่องดังกล่าวมาให้แล้วครับ “XERO” Linkin Park ถือกำเนิดวงขึ้นเมื่อปี 1996 โดย 3 สมาชิก ได้แก่ Mike Shinoda,
เวลาผ่านไปรวดเร็วมาก เผลอแป๊ปเดียวผ่านพ้นไปแล้ว 5 ปีกับการจากไปของ Chester Bennington ฟรอนต์แมนผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนทั่วโลกจากวง Linkin Park ความรู้สึกในวันที่รับรู้ถึงการสูญเสียมันยังคงถูกจดจำไว้ได้เป็นอย่างดี มันเป็นข่าวที่เศร้าและสะเทือนวงการดนตรีอย่างแท้จริง นอกจากความรู้สึกที่ถูกผูกอยู่กับเหตุการณ์ ตัวดนตรีของ Linkin Park ก็ถูกเชื่อมโยงเข้ามาด้วยเช่นกัน ซึ่งมันคงจะเป็นเพลงไหนไปไม่ได้หากไม่ใช่ “One More Light” ผลงานจากอัลบั้มชื่อเดียวกับเพลงนี้ ถูกวางจำหน่ายครั้งแรกวันที่ 19 พฤาภาคม 2017 หรือ 1 เดือนก่อนที่ Chester จะโบกมือลาพวกเราทุกคนไป ก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวอัลบั้ม “One More Light” ถูกโจมตีจากบรรดาแฟนเพลงเป็นอย่างหนัก เพราะซาวด์ที่เกิดขึ้นมันได้ลดทอนซาวด์ของร็อกอันคุ้นเคยออกไปจนแทบทั้งหมด และุถูกทดแทนด้วยดนตรีอิเลกทรอนิกส์/ป๊อป แทน แต่ถึงแม้ว่ารสชาติมันจะเปลี่ยนไป แต่สำหรับเพลงไตเติ้ลแทร็กอย่าง “One More Light” กลับให้ความรู้สึกที่รับรู้ได้ถึงความเศร้านับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้ฟัง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันจะทำให้เรารู้สึกอินไปกับเพลงซักเท่าไหร่ แต่มันก็เปลี่ยนไปทันทีหลังจากเหตุการณ์น่าเศร้าได้เกิดขึ้น “One More Light” ถูกเขียนโดย Mike Shinoda ร่วมกับ Eg White
“นูเมทัล” ถือเป็นดนตรีลูกผสมจากดนตรีหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นอัลเทอร์เนทีฟ เมทัล, กรันจ์, ร็อก รวมถึงฮิปฮอปด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เพลงในยุคนั้นจะมีท่อนแร็ปโผล่เข้ามาเป็นเมนหลัก มันคือสเน่ห์ดนตรีที่ได้รับความนิยมในช่วงปลาย 90’s จนถึงต้น 2000′ S ด้วยความมันส์ในแบบเฉพาะตัว Unlockmen ก็อดใจไม่ไหวที่จะจัดเพลย์ลิสต์ที่มันส์ได้ทั้งชาวร็อกและชาวแร็ปมาฝากทุกคนกัน 1. “TAKE A LOOK AROUND” LIMP BIZKIT อีกหนึ่งผลงานจากอัลบั้ม “Chocolate Starfish And The Hotdog Flavored Water” ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แถมยังถูกใช้ประกอบภาพยนตร์ Mission : Imposible 2 ที่นำแสดงโดย Tom Cruise อีกต่างหาก ดนตรีในเพลงนี้ริฟฟ์กีตาร์หลักก็มาจากเพลงธีมหลักของภาพยนตร์ที่ถูกเบลนด์เข้ากับดนตรีนูเมทัลโจ๊ะมันส์โดดตามแบบฉบับของ Limp Bizkit ได้อย่างลงตัว เป็นเพลงที่เหมาะกับการเรียกอุณภูมิร้อนแรงได้เป็นอย่างดี 2. “A PLACE FOR MY HEAD” LINKIN PARK ผลงานจากอัลบั้ม
Bring Me The Horizon นี่คือชื่อวงร็อกแห่งยุคปัจจุบันที่จะให้บอกว่าพวกเขาคือวงระดับโลกก็กล้าเรียกได้เต็มปากอย่างแน่นอน พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่และขวัญใจของผู้นิยมชมชอบดนตรีอันหนักหน่วงได้ทั่วโลก ทุกเพลง ทุกอัลบั้มต่างได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ แต่เส้นทางการไต่ระดับไขว้คว้าความสำเร็จใช่ว่าจะมาจากโชคช่วย แต่มันมาจากการวางแผนของสมาชิกวงรวมไปถึงค่ายเพลงที่มีส่วนช่วยผลักดันให้อดีตวงเล็ก ๆ ในเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นมากลายเป็นวงระดับโลกได้ตามที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งมันก็มาพร้อมความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเลือกที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีมาแทบจะทุกอัลบั้ม ถือเป็นโจทย์ที่โคตรเสี่ยงตายแบบหาตัวแสดงแทนไม่ได้ของจริง แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Bring Me The Horizon ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ทาง Unlockmen จัดการถอดรหัสมาให้ดังนี้ ความเป็น ICONIC ของ OLIVER SYKES คำว่า “Iconic” ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่ Oliver Sykes นักร้องนำของวงสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ และมันมาจากความพยายามของตัวเขาเองแทบจะ 100% เริ่มแรกเลยความได้เปรียบของวง Bring Me The Horizon คือการมีฟรอนต์แมน (หรือนักร้องนำ) หน้าตาดี, มีความสามารถในการร้องเพลง, มีรอยสักที่โคตรเท่ถูกใจชาวร็อก, มีการแต่งตัวเข้ากับแฟชั่นทุกยุคทุกสมัย แถมยังรู้จักวิธีโปรโมตตัวเองด้วยแบรนด์สินค้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยองค์ประกอบที่ครบแบบนี้มันจึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกที่จะเข้ามาติดกับด้วยภาพลักษณ์ก่อนที่จะเข้ามารู้จักตัวเพลง
Linkin Park คือหนึ่งในวงร็อกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการดนตรี พวกเขาประสบความสำเร็จกับทั้งยอดขายของซิงเกิ้ลและอัลบั้ม รวมถึงยังได้ออกเดินทางเพื่อเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก ถึงแม้ว่าวันนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นการกลับมาของ LP อีกแล้ว แต่ผลงานที่ฝากเอาไว้มันยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง และหลาย ๆ เพลงก็มียอดวิวที่ถล่มทลายเกิน 1 พันล้านวิว เรามาดูกันดีกว่าว่า 10 เพลงที่มียอดวิวในสูงสุดในยูทูปของ Linkin Park มีเพลงอะไรกันบ้าง 1. ”NUMB” 1,749,380,980 views/ Meteora (2003) แม้จะเป็นผลงานจากอัลบั้มที่ 2 แต่ยอดวิวกลับนำโด่งขึ้นมาอยู่อันดับ 1 สำหรับเพลง “Numbs” ที่ตัวดนตรีมาพร้อมสูตรฮิตกดอัลติของวงด้วยเมโลดี้จากคีย์บอร์ดที่กดวนอยู่ไม่กี่ตัวโน๊ต การแบ่งพาร์ตการร้องในเพลงนี้ก็ถูกดีไซน์มาให้จดจำง่าย เข้าสูตรเพลงป๊อปแบบ 100% และเน้นเสียงร้องแบบปกติเป็นหลัก ปราศจากท่อนแร็ปและท่อนสครีม แต่เนื้อหายังคงแสดงความเจ็บปวดในแบบ Linkin Park ได้เป็นอย่างดี จริง ๆ แล้วจะบอกว่าเพลงนี้คือเพลงบัลลาดแห่งยุคนูเมทัลก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด 2. ”IN THE END” 1,332,958,650 views/ Hybrid Theory (2000) บทเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้
อย่างที่เขาบอกว่า ‘ดนตรี’ สามารถบรรเทาความทุกข์ ปัดเป่าความโศกเศร้าในจิตใจผู้คนได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราอาจเคยได้ยินเรื่องราวของบทเพลงที่สามารถเยียวยาหรือรักษาชีวิตมนุษย์ไว้ได้มากมายนับไม่ถ้วน เรื่องราวที่เรากำลังจะเล่าต่อไปนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่ปาฏิหาริย์ในครั้งนี้ไม่มีเสียงดนตรีเข้ามาเกี่ยวข้อง อาจฟังดูไม่น่าเชื่อ แต่ ‘เนื้อเพลงเพียงท่อนเดียว’ สามารถช่วยชีวิตชายหนึ่งคนที่หันหน้าเข้าหาความตายเอาไว้ และเพลง ๆ นั้นก็คือ One More Light จาก Linkin Park ‘Christina Settanni’ เธอเป็นบุคลากรด้านสาธารณสุขที่ต้องเข้าไปทำงานในเมือง Orlando วันหนึ่งเธอขับรถออกไปทำงานบนถนนสายเดิมเฉกเช่นที่เคยทำทุกวัน แต่กลับมีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากลระหว่างทาง Christina พบชายคนหนึ่งกำลังนั่งหมิ่นเหม่อยู่บนขอบทางยกระดับข้างถนน แน่นอนว่าไม่ใช่บริเวณที่เหมาะสมในการนั่งเล่นเลยสักนิด โดยเธอได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นไว้ว่า “ตอนแรกฉันไม่ได้คิดจะลงไปห้ามเขา แต่หลังจากที่มองเขาผ่านกระจกมองหลัง ฉันก็ฉุกคิดได้ว่า ‘เอาล่ะ ฉันต้องช่วยเขา’ เพราะตอนนั้นไม่ได้มีใครสนใจว่าเขาจะทำอะไรเลยสักนิด ฉันเองก็เคยผ่านเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน เข้าใจดีว่ามันรู้สึกอย่างไร เขาแค่ต้องการใครสักคนห่วงใย และบอกกับเขาว่าคุณไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้” เธอตัดสินใจจอดรถ ก่อนจะลงไปนั่งข้าง ๆ พูดคุยและรับฟังปัญหาของชายคนนั้น เพื่อยื้อเวลาไว้ก่อนเจ้าหน้าที่ตำรวจมาถึง ในตอนนั้นเองเธอได้ใช้เนื้อเพลงท่อนหนึ่งจากเพลง One More Light ของ Linkin Park เพื่อปลอบประโลมเขา และท่อนที่เธอเลือกมาก็คือ “Who