ช่วงนี้กระแส Y2K ฮอตฮิตเป็นอย่างมากไปทั่วโลก มันเป็นปลุกไลฟ์สไตล์หลาย ๆ อย่างในปี 2000 ในกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรมากนัก เพราะแฟชั่นพอผ่านไปจุดหนึ่งมันก็จะถูกนำกลับมาเล่าใหม่อีกครั้งอยู่เป็นประจำ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกันว่ากระแสดังกล่าวที่ได้เกิดขึ้น มันก็มีส่วนทำให้เรานึกถึงอดีตที่เคยสนุกสนานกันในปี 2000 รวมไปถึงนึกถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่ในยุคนี้ไม่สามารถทำได้แบบเดิมแล้ว และยังทำให้เรานึกถึงบทเพลงในยุคนั้นเช่นกัน ซึ่ง 1 ในเพลงที่สร้างปรากฏการณ์ในช่วง Y2K ไปทั่วโลก มันคือ “In The End” ของวง Linkin Park นั่นเอง “In The End” คือผลงานจาก “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2000 ซึ่งมันก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากชาวร็อกและแฟนเพลงในยุคนูเมทัลเป็นอย่างมาก เพราะวง Linkin Park สามารถเบลนด์เอาความหนักหน่วงเข้ากับสัดส่วนของเพลงป๊อปได้อย่างลงตัว แต่ละเพลงในอัลบั้มล้วนฟังง่ายแต่ไม่ทิ้งความมันส์ รวมไปถึงสามารถฟังได้ทุกเพศทุกวัย เพราะในอัลบั้มนี้ปราศจากคำหยาบ ทำให้ผู้ปกครองสบายใจที่จะปล่อยให้ลูกหลานได้ฟัง “In The End”
หลังจากช่วงหลายปีก่อนกระแสดนตรีแร็ปและฮิปฮอปเข้ามาครองบ้านเราแบบทุกหย่อมหญ้า แต่ในช่วงระยะหลังก็เริ่มรู้สึกว่ากระแสดนตรีร็อกกำลังค่อย ๆ กลับมาเช่นกัน มีวงดนตรีมากมายที่เกิดขึ้นมาใหม่ และเริ่มเข้ามามีบทบาทกับวงการแบบที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ ๆ หนึ่งในวงเหล่านั้นคือ Tryst (ทริสต์) วงร็อกรสจัดจ้านจากสังกัด Gene Lab ที่เพิ่งมาอายุวงเพียงขวบกว่า ๆ เท่านั้น “TRYST” ไฟที่ลุกโชนจากกองเถ้าถ่าน Tryst เกิดจากการรวมตัวของ 3 สมาชิก ได้แก่ อาร์ท – ทวีทรัพย์ อาจอำนวย (ร้องนำ), โฟล์ค – วัชระ วิลาทอง (กีต้าร์ / ซินธ์) และ นุ๊ก – ธนพงษ์ โชติช่วง (กลอง) เดิมทีอาร์ทเคยทำหน้าที่นักร้องนำให้กับวง Lasthoper มาก่อน ส่วนโฟล์คและนุ๊กปกติก็เล่นดนตรีด้วยกันอยู่แล้ว แถมยังเป็นแฟนเพลงของอาร์ทด้วยเช่นกัน ถึงขนาดเคยคุยกันว่าถ้าจะหานักร้องนำซักคนมาทำวงจริงจัง ตัวเลือกนั้นจะต้องเป็น “อาร์ท” เท่านั้น จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งพวกเขาได้ไปเจอกันในร้านที่ไปเล่นกลางคืน ประจวบเหมาะกับช่วงที่วง Lasthoper ได้เบรกไป ทางโฟล์คและนุ๊ก จึงได้ชักชวนอาร์ทให้มาเข้าร่วมวงทันที
เวลาช่างผ่านไปรวดเร็วจริง ๆ สำหรับ “Hybrid Theory” อัลบั้มแรกของวง Linkin Park ที่วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 24 ตุลาคม ปี 2000 ตรงกับยุคมิลเลเนียมพอดิบพอดี รวมไปถึงเป็นช่วงที่กระแสดนตรีนูเมทัลกำลังครองตลาดของเพลงร็อกทั่วโลก แม้ “Hybrid Theory” จะเป็นเพียงแค่อัลบั้มแรก แต่มันก็ก้าวข้ามไปสู่ความสำเร็จได้ในระยะเวลาอันสั้น ตั้งแต่วันนั้นจนถึงปัจจุบัน Linkin Park สามารถทำยอดขายจากอัลบั้มนี้ไปได้หลายสิบล้านก็อปปี้ นี่ยังไม่ได้รับรวมกับแผ่นซิงเกิ้ลแยกอย่าง “In The End” ที่ทำยอดขายเฉียด ๆ สิบล้านก็อปปี้เช่นกัน รวมไปถึงซิงเกิ้ลอื่น ๆ ก็ทำยอดขายได้ถล่มทลาย มันช่วยสร้างรายได้กลับไปทางต้นสังกัดอย่าง Warner Bros. และทางวงได้อย่างมหาศาล ภาพที่เราเห็นมันคือความสำเร็จอันงดงาม แต่น้อยคนนักที่อาจจะทราบถึงที่มาที่ไปก่อนจะเกิดอัลบั้ม “Hybrid Theory” พวกเขาต้องฝ่าด่านอะไรกันบ้าง ทาง Unlockmen ได้รวบรวมเรื่องดังกล่าวมาให้แล้วครับ “XERO” Linkin Park ถือกำเนิดวงขึ้นเมื่อปี 1996 โดย 3 สมาชิก ได้แก่ Mike Shinoda,
ปัจจุบันดนตรีร็อกและเมทัลในบ้านเราเติบโตขึ้นมามาก เราได้เห็นวงมากหน้าหลายตาที่ได้โอกาสก้าวข้ามพรมแดนไปเล่นยังต่างประเทศมาแล้วมากมาย เช่นวง Annalynn, Whispers, Retrospect, Sweet Mullet, Defying Decay เป็นต้น กล่าวมาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะไม่ใช่คุ้นชื่อหลาย ๆ วง ซึ่งนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นวงนอกกระแส หรือที่เรียกกันว่า ‘วงการอันเดอร์กราวน์’ นั่นเอง วงการที่อุดมไปด้วยเพลงอันหนักหน่วง รุนแรง และทุกคนต่างต้องต่อสู้บนเส้นทางที่รายรับติดลบ รายจ่ายตีบวก เรียกได้ว่าใช้แพชชั่นขับเคลื่อนล้วน ๆ และ ‘วงการอันเดอร์กราวน์’ บ้านเราจริง ๆ แล้วเริ่มมีรากฐานมาตั้งแต่ช่วงปลายยุค 80’s แล้ว ว่ากันว่าอัลบั้ม “ฆาตกัญชา” ของวง Flesh And Skin (เนื้อกับหนัง) ที่วางจำหน่ายเมื่อปี 1984 คือผลงานบุกเบิกวงการอันเดอร์กราวน์โดยแท้จริง ผลงานของพวกเขานำเสนอแนวทางเฮฟวี่เมทัลอันเข้มข้น แหวกแนวกว่าวงในยุคนั้นทั้งหมดทั้งปวง หลังจากนั้นดูเหมือนว่าวงการเฮฟวี่เมทัลในบ้านเราก็คึกคักขึ้นมา เมื่อค่ายเมนสตรีม หรือค่ายระดับรองต่างหันมาจับจ้องปลุกปั้นแนวนี้กัน ทำให้เราได้เห็นผลงานของวงหิน เหล็ก ไฟ, The Olarn Project,
แม้ว่าดนตรีสายหนักหน่วงอย่างเมทัลจะไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรา และมีแฟนเพลงเฉพาะกลุ่มในจำนวนที่ไม่มาก ทำให้การขายงานโชว์ให้ได้อย่างวงปกติทั่วไปบนท้องตลาดก็ยากตามไปด้วย นั่นทำให้รายรับของคนที่เล่นดนตรีแนวนี้ไม่มีทางหาเลี้ยงชีวิตได้เพียงพอแน่นอน แม้อุปสรรคที่ขวางจะใหญ่โตมากนัก แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ศิลปินที่ไม่เคยท้อแท้ แถมยังคอยพัฒนาฝีมือ ต่อยอดคุณภาพ จนกล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถฟัดกับวงต่างประเทศได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งวงที่ทำให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนมากที่สุดคงต้องยกให้ Annalynn! BASED ON NU METAL Annalynn มีจุดเริ่มต้นวงตั้งแต่ปี 2003 หรือกว่า 19 ปีที่แล้ว การรวมตัวในตอนนั้นคือการลุยประกวดดนตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งนำโดย 2 สมาชิกหลักที่อยู่มาถึงปัจจุบันนั่นคือ “บอน” (ร้องนำ) และ “เอก” (เบส) โดยช่วงแรกพวกเขานำเสนอสไตล์ดนตรีนูเมทัล ที่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น โดยมีวง Deftones ที่เปรียบเสมือไอดอลและแรงบันดาลใจ หลังจากที่ได้ข้อตกลงว่าต้องการทำเพลงอย่างจริงจัง Annalynn จึงได้ผลิตผลงานเพลงเป็นของตัวเอง และต่อยอดกลายเป็น “EP.First Shut Up, Then Shut Down” ออกมาในปี 2004 รวมไปถึงในช่วงแรกพวกเขาได้มีโอกาสทำงานกับค่าย Sexy Pink
Slipknot ถือได้ว่าเป็นวงดนตรีเมทัลที่ประสบความสำเร็จเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก พวกเขาเริ่มแจ้งเกิดนับตั้งแต่อัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง ที่ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 1999 เตะตาผู้คนด้วยภาพลักษณ์ชวนหลอนของสมาชิกทั้ง 9 คน ที่ปกปิดใบหน้าของตัวเองไว้ภายใต้หน้ากาก ราวกับว่าหลุดออกมาจากภาพยนตร์สยองขวัญ พร้อมด้วยชุดหมีสีแดงสดคล้ายผู้ป่วยในโรงพยาบาลจิตเวช ด้วยอิมเมจที่ชวนดึงดูดทำให้เหล่าเมทัลเฮดทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับ Slipknot อย่างรวดเร็ว และยิ่งพอได้เข้าไปสัมผัสดนตรีอันดิบเถื่อน ก็ยิ่งทำให้ทุกคนต้องถวายตัวกลาย Maggots (ชื่อเรียกแฟนเพลงของ Slipknot) ไปโดยอัตโนมัติ ปัจจุบันพวกเขามีผลงานออกมาแล้วทั้งหมด 6 อัลบั้มด้วยกัน และกำลังจะมีอัลบั้มใหม่ “The End, So Far” ในวันที่ 30 กันยายน 2022 แต่ก่อนจะได้ไปฟังผลงานใหม่ เรามาลองดูกันดีกว่าผลงานเพลงไหนของ Slipknot ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงสุดในการเข้าชม MV ทาง YouTube 5 อันดับแรก ไปติดตามกันได้เลย 1.PSYCHOSOCIAL “454,000,000” VIEWS บทเพลงที่มียอดวิวสูงสุดอันดับแรกคาดเดาไม่ยากเลย สำหรับเพลง “Psychosocial” ผลงานจากอัลบั้ม “All Hope Is Gone”
หากคุณเป็นคอดนตรีและชื่นชอบการชม Netflix เป็นพิเศษ เราก็ไม่อยากให้คุณพลาดกับ Trainwreck : Woodstock ‘99 โดยเด็ดขาด สารคดีที่จะพาคุณไปทำความรู้จักกับเทศกาลดนตรีสุดยิ่งใหญ่ทิ้งทวนยุค 90’s โดยแท้จริง มันจะทำให้คุณได้ซึบซับว่าช่วงเวลาดังกล่าวดนตรีแนวไหนได้รับความนิยมสุดขีด และวัฒนธรรมการเสพดนตรีในช่วงนั้นเป็นอย่างไรกันบ้าง แต่นั่นคงไม่ใช่หัวข้อหลักที่ทางสารคดีได้นำเสนอ เพราะจริง ๆ แล้วเรื่องที่ทุกคนต่างพูดถึงกันมาจวบจนปัจจุบัน มันคือ “หายนะ” สุดชิบหายวายป่วงที่ได้เกิดขึ้นในเทศกาลดนตรี Woodstock ‘99 ต่างหาก ย้อนเวลากลับไปเมื่อ 30 ปีก่อน (ก่อนปี 1999) หรือในปี 1969 เทศกาลดนตรี Woodstock ได้ถือกำเนิดขึ้น โดยจัดงานกันที่ไวท์เลค ในเมืองเบเธล รัฐนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน ตั้งแต่วันที่ 15 – 18 สิงหาคม มันคือช่วงเวลาที่ทุกคนได้ร่วมกันดื่มด่ำความสุข, ความรัก, ความอบอุ่น และสันติภาพ ผ่านเสียงดนตรีจากศิลปินมากมายที่มาร่วมบรรเลง ไม่ว่าจะเป็น Jimi
“นูเมทัล” ถือเป็นดนตรีลูกผสมจากดนตรีหลากหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นอัลเทอร์เนทีฟ เมทัล, กรันจ์, ร็อก รวมถึงฮิปฮอปด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เพลงในยุคนั้นจะมีท่อนแร็ปโผล่เข้ามาเป็นเมนหลัก มันคือสเน่ห์ดนตรีที่ได้รับความนิยมในช่วงปลาย 90’s จนถึงต้น 2000′ S ด้วยความมันส์ในแบบเฉพาะตัว Unlockmen ก็อดใจไม่ไหวที่จะจัดเพลย์ลิสต์ที่มันส์ได้ทั้งชาวร็อกและชาวแร็ปมาฝากทุกคนกัน 1. “TAKE A LOOK AROUND” LIMP BIZKIT อีกหนึ่งผลงานจากอัลบั้ม “Chocolate Starfish And The Hotdog Flavored Water” ที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง แถมยังถูกใช้ประกอบภาพยนตร์ Mission : Imposible 2 ที่นำแสดงโดย Tom Cruise อีกต่างหาก ดนตรีในเพลงนี้ริฟฟ์กีตาร์หลักก็มาจากเพลงธีมหลักของภาพยนตร์ที่ถูกเบลนด์เข้ากับดนตรีนูเมทัลโจ๊ะมันส์โดดตามแบบฉบับของ Limp Bizkit ได้อย่างลงตัว เป็นเพลงที่เหมาะกับการเรียกอุณภูมิร้อนแรงได้เป็นอย่างดี 2. “A PLACE FOR MY HEAD” LINKIN PARK ผลงานจากอัลบั้ม
Linkin Park คือหนึ่งในวงร็อกที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในวงการดนตรี พวกเขาประสบความสำเร็จกับทั้งยอดขายของซิงเกิ้ลและอัลบั้ม รวมถึงยังได้ออกเดินทางเพื่อเล่นคอนเสิร์ตไปทั่วโลก ถึงแม้ว่าวันนี้เราอาจจะไม่ได้เห็นการกลับมาของ LP อีกแล้ว แต่ผลงานที่ฝากเอาไว้มันยังคงทำงานอย่างต่อเนื่อง และหลาย ๆ เพลงก็มียอดวิวที่ถล่มทลายเกิน 1 พันล้านวิว เรามาดูกันดีกว่าว่า 10 เพลงที่มียอดวิวในสูงสุดในยูทูปของ Linkin Park มีเพลงอะไรกันบ้าง 1. ”NUMB” 1,749,380,980 views/ Meteora (2003) แม้จะเป็นผลงานจากอัลบั้มที่ 2 แต่ยอดวิวกลับนำโด่งขึ้นมาอยู่อันดับ 1 สำหรับเพลง “Numbs” ที่ตัวดนตรีมาพร้อมสูตรฮิตกดอัลติของวงด้วยเมโลดี้จากคีย์บอร์ดที่กดวนอยู่ไม่กี่ตัวโน๊ต การแบ่งพาร์ตการร้องในเพลงนี้ก็ถูกดีไซน์มาให้จดจำง่าย เข้าสูตรเพลงป๊อปแบบ 100% และเน้นเสียงร้องแบบปกติเป็นหลัก ปราศจากท่อนแร็ปและท่อนสครีม แต่เนื้อหายังคงแสดงความเจ็บปวดในแบบ Linkin Park ได้เป็นอย่างดี จริง ๆ แล้วจะบอกว่าเพลงนี้คือเพลงบัลลาดแห่งยุคนูเมทัลก็คงไม่ผิดแต่อย่างใด 2. ”IN THE END” 1,332,958,650 views/ Hybrid Theory (2000) บทเพลงที่สร้างชื่อเสียงให้