MUSIC
THE PROFILE : “ANNALYNN” วงเมทัลไทยผู้สร้างมาตรฐานเทียบเท่าสากล จนแฟนเพลงทั่วเอเชียยังต้องยอมรับ
By: JEDDY September 30, 2022 219121
แม้ว่าดนตรีสายหนักหน่วงอย่างเมทัลจะไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรา และมีแฟนเพลงเฉพาะกลุ่มในจำนวนที่ไม่มาก ทำให้การขายงานโชว์ให้ได้อย่างวงปกติทั่วไปบนท้องตลาดก็ยากตามไปด้วย นั่นทำให้รายรับของคนที่เล่นดนตรีแนวนี้ไม่มีทางหาเลี้ยงชีวิตได้เพียงพอแน่นอน แม้อุปสรรคที่ขวางจะใหญ่โตมากนัก แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ศิลปินที่ไม่เคยท้อแท้ แถมยังคอยพัฒนาฝีมือ ต่อยอดคุณภาพ จนกล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถฟัดกับวงต่างประเทศได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งวงที่ทำให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนมากที่สุดคงต้องยกให้ Annalynn!
Annalynn มีจุดเริ่มต้นวงตั้งแต่ปี 2003 หรือกว่า 19 ปีที่แล้ว การรวมตัวในตอนนั้นคือการลุยประกวดดนตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งนำโดย 2 สมาชิกหลักที่อยู่มาถึงปัจจุบันนั่นคือ “บอน” (ร้องนำ) และ “เอก” (เบส) โดยช่วงแรกพวกเขานำเสนอสไตล์ดนตรีนูเมทัล ที่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น โดยมีวง Deftones ที่เปรียบเสมือไอดอลและแรงบันดาลใจ
หลังจากที่ได้ข้อตกลงว่าต้องการทำเพลงอย่างจริงจัง Annalynn จึงได้ผลิตผลงานเพลงเป็นของตัวเอง และต่อยอดกลายเป็น “EP.First Shut Up, Then Shut Down” ออกมาในปี 2004 รวมไปถึงในช่วงแรกพวกเขาได้มีโอกาสทำงานกับค่าย Sexy Pink Studio ของ “ตุลย์ วงอพาร์ตเมนต์คุณป้า” ด้วยเช่นกัน
(ภาพประกอบในลิงค์วิดีโอไม่ใช่ไลน์อัพยุคแรกของ Annalynn)
สำหรับผลงานใน EP.First Shut Up, Then Shut Down แน่นอนว่าออกมาเป็นสไตล์นูเมทัล โดยเนื้อหาทั้งหมดถูกใช้เป็นภาษาไทย โดยเพลงทั้งหมดถูกบรรจุลงแผ่นที่ถูกสวมด้วยซองพลาสติกอีกที พร้อมทั้งแนบอาร์ตเวิร์กต่าง ๆ เข้ามาประกอบด้วย เป็นงานที่แสดงให้เห็นความ D.I.Y. แบบสุด ๆ
หลังจากที่มีผลงานออกมา Annalynn ก็เริ่มตระเวนออกไปโชว์ฝีมือการเล่นสดตามงานคอนเสิร์ตอันเดอร์กราวน์ จนสุดท้ายความเดือดของพวกเขาก็ไปเตะตา “แบน” มือเบสวง Bikini จึงได้เกิดการชักชวนให้มาร่วมทำงานกันที่ค่าย Screamlab Records ซึ่งมี “สุ่ม” มือเบสวง Clash เป็นเจ้าของร่วมด้วย ซึ่งทางวงก็รับโอกาสนั้นไว้ ก่อนจะตามมาด้วยผลงานเพลงใน “Science Of Scream” อัลบั้ม Compilation ที่รวมศิลปินไว้ทั้งหมด 5 วง ได้แก่ Annalynn, Empty Glass Means Nothing, Eternity-Box, She Burns และ Me, Myself & I ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2007
และนี่คือจุดเริ่มต้นที่ชื่อเสียงของวง Annalynn ได้ขยายออกไปให้ชาวเมทัลไทยได้รู้จักพวกเขามากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะเพลง “Seconds Of A Thousand Lies” ที่มีการปรับซาวด์จากนูเมทัลให้กลายเป็นเมทัลคอร์ที่ดุเดือด และหนักแน่นมากกว่าเดิมขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว ซึ่งมันได้มัดใจเหล่าบรรดาผู้เสพของหนักได้อย่างอยู่หมัด แถมยังเลือกใช้เนื้อหาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด จนเกิดกลายเป็นกระแสพูดถึงอย่างรวดเร็ว ส่วนอีกเพลงที่อยู่ใน “Science Of Scream” ก็คือ “Dead Message In The Darkest Black” ก็ได้รับการพูดถึงจากแฟนเพลงเช่นกัน
และด้วยความนิยมในตัววง Annalynn ที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ค่าย Screamlab Records มอบความไว้วางใจให้พวกเขาได้ผลิตผลงานอัลบั้มแรกในชีวิตออกมา
“A Year Of Misery” คือผลงานอัลบั้มแรกของวง Annaylnn ออกวางจำหน่ายเมื่อปี 2009 บรรจุไว้ทั้งหมด 7 เพลงที่บ่งบอกความชัดเจนในรูปแบบของซาวด์เมทัลคอร์มากขึ้นกว่าเดิม โดยเนื้อหาทั้งหมดถูกใช้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดเช่นเดิม ส่วนเพลงที่ถือเป็นตัวชูโรงคงหนีไม่พ้น “Unbreakable” ที่ถูกนำมาเผยแพร่ในรูปแบบ MV ด้วยเช่นกัน รวมไปถึงไตเติ้ลแทร็ก “A Year Of Misery” ที่ซัดกันมันส์ตั้งแต่เริ่มเข้าเพลง
ผลงานชุดนี้ใครที่เป็นแฟนเพลงวง As I Lay Dying, Killswitch Engage หรือแม้กระทั่ง As Blood Runs Black รับรองได้เลยว่าเข้าทางอย่างแน่นอน
หลังจากมีผลงานอัลบั้ม “A Year Of Misery” ทางวงก็กลายมาเป็นศิลปินอิสระอีกครั้ง แต่พวกเขาก็ไม่หยุดยั้งในการผลิตผลงานใหม่ ๆ ออกมาแต่อย่างใด และได้ส่งซิงเกิ้ล “The Signal Flares” พร้อมกับตัว MV ออกมาให้แฟนเพลงได้เสพเมื่อปี 2011 ซึ่งผลงานเพลงนี้มีการปรับเปลี่ยนไปจากอัลบั้มก่อนพอสมควร เพราะพวกเขาได้มีการปรับซาวด์ให้ดูร่วมสมัยมากยิ่งขึ้นด้วยจังหวะกรูฟที่ชวนโดด กับท่อนเบรคดาวน์มันส์ ๆ ที่เด็กรุ่นใหม่สายเมทัลและฮาร์ดคอร์นิยมกัน ยิ่งพอมันถูกถ่ายทอดออกมาเป็นมิวสิควิดีโอที่รายล้อมไปด้วยแฟนเพลง ก็ยิ่งตอกภาพให้มันชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากนั้นไลน์อัพชุดนี้ยังมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งสมาชิกประกอบไปด้วย บอน – ร้องนำ, ต้อม – กีตาร์, ภพ – กีตาร์, เอก – เบส และม้ง – กลอง
Annalynn เป็นศิลปินอิสระได้ไม่นาน สุดท้ายพวกเขาก็ได้ย้ายมาเข้าร่วมกับ Banana Record ที่ดูแลโดย “ต๋อย เทิดศักดิ์ จันทร์ปาน” และ “เอส กล้วยไทย” ซึ่งในช่วงนี้พวกเขาก็มีขั้นตอนการทำงานที่เข้มข้นมากยิ่งขึ้น เพราะต้องการสร้างอัลบั้มที่ 2 ให้สำเร็จ จนสุดท้าย “Stare Down The Undefeated” ก็คลอดออกมาในปี 2015
อัลบั้มนี้ซาวด์มีความแตกต่างไปจากอัลบั้มแรกเป็นอย่างมาก เพราะ Annalynn เลือกหยิบดนตรีสไตล์เมโลดิก โพสต์ฮาร์ดคอร์เข้ามาสร้างมิติใหม่ ๆ ให้กับพื้นฐานของความเป็นโอลด์สคูลเมทัลคอร์ (เมทัลคอร์ยุค 2000’s) เท่านั้นยังไม่พอทางวงยังได้ขยายขอบเขตไปให้แฟนเพลงต่างประเทศรู้จักจากการดึง Jonathan Vigil จาก The Ghost Inside วงฮาร์ดคอร์จากประเทศสหรัฐอเมริกามาแจมในเพลง “Dead Weight” และดึง Ryo Kinoshita จาก Crystal Lake วงเมทัลคอร์จากประเทศญี่ปุ่นมาแจมในเพลง “Never Coming Down”
ปรากฏการณ์ในครั้งนี้ถือเป็นก้าวใหม่ครั้งสำคัญของวง Annalynn และวงการอันเดอร์กราวน์ไทยในตอนนั้นอย่างแท้จริง เท่านั้นยังไม่พอพวกเขายังมีคอนเสิร์ตครบรอบ 12 ปีที่จัดขึ้น ณ Rock Academy ด้วยเช่นกัน
หลังจากสร้างมาตรฐานตัวเองขึ้นมาอยู่ในระดับแทบจะเทียบเท่าสากล วิวัฒนาการของ Annalynn ก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น พวกเขายังไต่ระดับขึ้นไปอีกด้วยการย้ายมาอยู่กับสังกัด Wayfer Records (ในเครือของ Warner Music) จากการชักชวนของ “ดาโน่ – ดนัย ธงสินธุศักดิ์” โปรดิวซ์เซอร์มากฝีมือที่เคยปลุกปั้นวง Retrospect, Sweet Mullet และ Klear ให้โด่งดังมาแล้ว
การย้ายมาอยู่ค่ายใหญ่แบบนี้ ส่งผลให้วง Annalynn มีการปรับเปลี่ยนภาคโปรดัคชั่นและการโปรโมตที่มากขึ้นกว่าเดิม พิสูจน์ได้จาก “EP.Deceiver / Believer” ที่วางจำหน่ายในปี 2017 แม้จะมีเพียงแค่ 6 เพลง แต่ก็เพียงพอที่ซัดทุกคนให้ล้มลงด้วยซาวด์สุดดุเดือดในสไตล์ “นู/เมทัลคอร์” และก็เป็นอีกครั้งที่สมาชิกวงมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งพวกเขาได้ตัวของ “บอส” อดีตสมาชิกวงโขกดิน มารับหน้าที่มือกีตาร์คนใหม่ของวง แถมยังมาพร้อมกับซาวด์ที่มีความโมเดิร์นมากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนไฮไลท์ใน EP. นี้ก็เป็นอีกครั้งที่ทางวงได้รับเชิญ Chad Ruhlig นักร้องนำ For The Fallen Dreams วงเมโดลิก ฮาร์ดคอร์ จากประเทศอเมริกามาร่วมแหกปากในไตเติ้ลแทร็ก “Deceiver / Believer”
ไม่ใช่แค่กับศิลปินต่างประเทศเท่านั้นที่วง Annalynn เลือกมาเป็นแขกรับเชิญ แต่พวกเขายังทำเซอร์ไพรส์ด้วยการดึงตัว UrboyTJ แร็ปเปอร์ชื่อดังของเมืองไทยให้มาทำงานร่วมกันในเพลง “Home” ซึ่งเผยแพร่ให้ฟังครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2019
“Home” ได้ย้อนพวกเขากลับไปสู่รากเหง้าของดนตรีนูเมทัลอีกครั้ง ทั้งซาวด์และวิธีการร้องที่มีท่อนแร็ปโผล่ออกมา มันได้สะท้อนอิทธิพลทางดนตรีของยุค 2000’s ได้อย่างดีเยี่ยม อีกทั้งเพลงนี้พวกเขายังปรับวิธีร้องให้มีเมโลดี้สอดแทรกเข้าไปเพื่อทำให้ฟังง่ายมากขึ้นกว่าเดิม เติมเต็มอารมณ์ด้วยเนื้อหาที่สร้างกำลังใจ เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่มีทั้งความหนักหน่วงและสวยงามในเวลาเดียวกัน
“Home” ยังได้สะท้อนความไม่หยุดนิ่งที่จะคิดหาสิ่งสร้างสรรค์มาใส่ไว้กับดนตรีของพวกเขา
ปี 2021 Annalynn มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของค่ายเพลงขึ้นอีกครั้ง โดยในรอบนี้พวกเขาได้เซ็นสัญญากับทาง Cube Records จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งพวกเขาเป็นค่ายที่ดูแลวง Crystal Lake อยู่ด้วยเช่นกัน
เท่านั้นยังไม่พอ Annalynn ยังส่งอัลบั้มเต็มลำดับที่ 3 “A Conversation With Evil” ออกมาเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2021 ซึ่งถือว่าเป็นความกล้าหาญมาก เพราะมันตรงกับในช่วงล็อกดาวน์กับสถานการณ์แพร่ระบาดของ Covid-19 พอดิบพอดี แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดยั้งแพชชั่นของพวกเขาได้
ไฮไลท์สำคัญของอัลบั้มคงต้องยกให้เพลง “Damage Control” ซึ่งพวกเขาได้ Masato Hayagawa นักร้องนำลูกครึ่งญี่ปุ่น/อเมริกา จากวง Coldrain มาร่วมแจมในเพลงนี้ ซึ่งใครที่ฟังครั้งแรกบอกเลยว่าคุณจะต้องรู้สึกขนลุกอย่างแน่นอน โดยเฉพาะท่อนที่ Masato ปรากฏตัวออกมามันช่างทรงพลังเหลือเกิน
ส่วนความน่าสนใจอื่น ๆ ในอัลบั้ม “A Conversation With Evil” นั่นคือการปรับเปลี่ยนซาวด์ให้ดูมีความละเมียดละไมมากขึ้น ผ่านการขัดเกลามาเป็นอย่างดี สามารถบาลานซ์ความหนักและท่วงทำนองที่เต็มไปด้วยเมโลดี้ได้อย่างลงตัว
ส่วนอีกหนึ่งเพลงที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ “Holy Gravity” ที่เรียกได้ว่าน่าจะโหดสุดในอัลบั้ม แถมได้อันเชิญ CJ McMahon นักร้องนำ Thy Art Is Murder วงเดธคอร์สุดโหดจากประเทศออสเตรเลียมาร่วมถ่ายทอดเสียงสำรอกสุดทำลายล้าง
อีกหนึ่งสิ่งที่ตอกย้ำคุณภาพของวง Annalynn กับการเป็นที่ยอมรับของวงการดนตรีเมทัลในเอเชีย นั่นคือการที่พวกเขาออกตระเวนทัวร์มาแล้วในหลาย ๆ ประเทศไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น, จีน, ฮ่องกง, มาเก๊า, ไต้หวัน, สิงคโปร์, มาเลเซีย และเวียดนาม ซึ่งในหลาย ๆ ครั้งมาในรูปแบบทัวร์ซัพพอร์ตให้กวงระดับชั้นแนวหน้า ไม่ว่าจะเป็น The Ghost Inside, Thy Art Is Murder, While She Sleeps และ Void Of Vision เป็นต้น
ส่วนอีกหนึ่งโมเมนต์สำคัญที่พวกเขาจะไม่มีวันลืม คือการได้เล่นเปิดให้กับวง Bring Me The Horizon ท่ามกลางแฟนเพลงนับหมื่นชีวิต แม้จะเป็นงานสเกลใหญ่ แต่พวกเขาก็สามารถคอนโทรลคนดูได้ไม่ยาก แถมยังโกยแฟนเพลงเพิ่มไปอีกมากจากคอนเสิร์ตในครั้งนี้
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย มันเป็นการสะท้อนความมุ่งมั่นที่จะขยายชื่อเสียงของวง Annalynn ให้มันออกไปไกลได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้นั่นเอง คงเหลือแต่เวทีฝั่งยุโรปและอเมริกาที่พวกเขาต้องไปพิสูจน์ แต่เชื่อได้เลยว่าทั้งฝีมือ, ความมืออาชีพ และพลังงานการเล่นสด พวกเขาจะผ่านด่านเหล่านั้นไปได้อย่างแน่นอน
Annalynn คือหนึ่งในความภาคภูมิใจของวงการอันเดอร์กราวน์ได้โดยแท้จริง “ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ หากเราไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคที่ซัดเข้ามา” ซึ่งวง Annalynn ได้พิสูจน์ประโยคนี้ให้เห็นเป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ