การเดินทางของวงดนตรีโดยมากแล้วจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีนอินดี้หรือซีนอันเดอร์กราวน์ก็ตาม เพราะนั่นคือพื้นฐานสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้วงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และยังเป็นช่องทางแรกในการกอบโกยแฟนเพลงด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าทุกวงต่างก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางวงก็แค่ต้องการมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มีงานโชว์เข้ามาเรื่อย ๆ ในแบบที่สามารถใช้ดนตรีเลี้ยงชีพได้ แต่ก็มีวงอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้ แน่นอนว่าเป้าหมายมีไว้พิชิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกวงที่จะฝ่าฟันตะลุยอุปสรรคจนไปถึงฝั่งฝันได้ แต่สำหรับวง Bring Me The Horizon พวกเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย THIS IS WHAT THE EDGE OF YOUR SEAT WAS MADE FOR จุดเริ่มต้นของวง Bring Me The Horizon เริ่มต้นเมื่อปี 2004 ณ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ จาก 2 คู่ซี้ Oliver Sykes (นักร้องนำ) และ Matt Nicholls (มือกลอง) ทั้งคู่ต่างชื่นชอบดนตรีเมทัลคอร์ที่มีกลิ่นอายของนอยซ์ซาวด์ (ยุคเก่า) ของฝั่งอเมริกาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวง
ครั้งที่แล้ว เราได้มีการเล่าถึงอัลบั้มสุดเดือดของวงสายร็อกและเมทัล ที่คว่ำวอดอยู่ในวงการอันเดอร์กราวน์ในยุค 90’s ไปแล้ว (Link : https://bit.ly/3S5nDW4) มาในครั้งนี้เราจะเขยิบไทม์ไลน์ขึ้นมาอีกหนึ่งสเตปด้วยการต่อไปสู่ช่วงปี 2000-2005 ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่กำลังเข้าใกล้ความพีคของวงการนี้ โดยเราได้คัดเลือก 11 อัลบั้มสุดแรร์ที่คุณอาจจะไม่เคยได้สัมผัสมาให้ทุกคนได้ลองเสพกันดูครับ SWEET MULLET “PANAPHOBIA” (2003) ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักวง Sweet Mullet ที่สร้างชื่อเสียงจากเพลง “ตอบ” ในโปรเจกต์ Showroom No.1 และยืนหยัดอยู่ในวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน มีเพลงฮิตฝากไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็น “สภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”, “ขอโทษในสิ่งที่เธอไม่รู้”, “ภาพติดตา” เป็นต้น แต่ก่อนที่จะเป็นที่รู้จัก พวกเขาก็เคยผ่านวิถีอันเดอร์กราวน์มาก่อน หลังจากที่ “เต๋า” นักร้องนำได้ออกจากวง Napkin ก็ได้มาสร้างวง Sweet Mullet ที่นำเสนอแนวทางอีโม/สครีมโม ที่เต็มไปด้วยเมโลดี้กับความเกรี้ยวกราด ซึ่งมันถูกสะท้อนออกมาใน EP.Panaphobia บรรจุไว้ด้วย 6 เพลงด้วยกันรวมอินโทร, เอาท์โทร และเพลงอะคูสติค ซาวด์อีพีนี้ได้สะท้อน DNA ของวงไว้ได้อย่างชัดเจน วง
แม้ว่าดนตรีสายหนักหน่วงอย่างเมทัลจะไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรา และมีแฟนเพลงเฉพาะกลุ่มในจำนวนที่ไม่มาก ทำให้การขายงานโชว์ให้ได้อย่างวงปกติทั่วไปบนท้องตลาดก็ยากตามไปด้วย นั่นทำให้รายรับของคนที่เล่นดนตรีแนวนี้ไม่มีทางหาเลี้ยงชีวิตได้เพียงพอแน่นอน แม้อุปสรรคที่ขวางจะใหญ่โตมากนัก แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ศิลปินที่ไม่เคยท้อแท้ แถมยังคอยพัฒนาฝีมือ ต่อยอดคุณภาพ จนกล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถฟัดกับวงต่างประเทศได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งวงที่ทำให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนมากที่สุดคงต้องยกให้ Annalynn! BASED ON NU METAL Annalynn มีจุดเริ่มต้นวงตั้งแต่ปี 2003 หรือกว่า 19 ปีที่แล้ว การรวมตัวในตอนนั้นคือการลุยประกวดดนตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งนำโดย 2 สมาชิกหลักที่อยู่มาถึงปัจจุบันนั่นคือ “บอน” (ร้องนำ) และ “เอก” (เบส) โดยช่วงแรกพวกเขานำเสนอสไตล์ดนตรีนูเมทัล ที่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น โดยมีวง Deftones ที่เปรียบเสมือไอดอลและแรงบันดาลใจ หลังจากที่ได้ข้อตกลงว่าต้องการทำเพลงอย่างจริงจัง Annalynn จึงได้ผลิตผลงานเพลงเป็นของตัวเอง และต่อยอดกลายเป็น “EP.First Shut Up, Then Shut Down” ออกมาในปี 2004 รวมไปถึงในช่วงแรกพวกเขาได้มีโอกาสทำงานกับค่าย Sexy Pink
Bring Me The Horizon นี่คือชื่อวงร็อกแห่งยุคปัจจุบันที่จะให้บอกว่าพวกเขาคือวงระดับโลกก็กล้าเรียกได้เต็มปากอย่างแน่นอน พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นฮีโร่และขวัญใจของผู้นิยมชมชอบดนตรีอันหนักหน่วงได้ทั่วโลก ทุกเพลง ทุกอัลบั้มต่างได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยมอยู่เสมอ แต่เส้นทางการไต่ระดับไขว้คว้าความสำเร็จใช่ว่าจะมาจากโชคช่วย แต่มันมาจากการวางแผนของสมาชิกวงรวมไปถึงค่ายเพลงที่มีส่วนช่วยผลักดันให้อดีตวงเล็ก ๆ ในเมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ เติบโตขึ้นมากลายเป็นวงระดับโลกได้ตามที่เห็นในทุกวันนี้ ซึ่งมันก็มาพร้อมความท้าทายเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาเลือกที่ปรับเปลี่ยนแนวดนตรีมาแทบจะทุกอัลบั้ม ถือเป็นโจทย์ที่โคตรเสี่ยงตายแบบหาตัวแสดงแทนไม่ได้ของจริง แล้วอะไรคือปัจจัยที่ทำให้ Bring Me The Horizon ฝ่าฝันอุปสรรคต่าง ๆ เหล่านั้นมาได้ ทาง Unlockmen จัดการถอดรหัสมาให้ดังนี้ ความเป็น ICONIC ของ OLIVER SYKES คำว่า “Iconic” ไม่ใช่ใครก็เป็นได้ แต่ Oliver Sykes นักร้องนำของวงสามารถทำได้สำเร็จตั้งแต่อายุยังไม่ถึง 20 ปีเลยด้วยซ้ำ และมันมาจากความพยายามของตัวเขาเองแทบจะ 100% เริ่มแรกเลยความได้เปรียบของวง Bring Me The Horizon คือการมีฟรอนต์แมน (หรือนักร้องนำ) หน้าตาดี, มีความสามารถในการร้องเพลง, มีรอยสักที่โคตรเท่ถูกใจชาวร็อก, มีการแต่งตัวเข้ากับแฟชั่นทุกยุคทุกสมัย แถมยังรู้จักวิธีโปรโมตตัวเองด้วยแบรนด์สินค้าที่เขาสร้างมันขึ้นมาเอง ด้วยองค์ประกอบที่ครบแบบนี้มันจึงกลายเป็นแรงดึงดูดให้คนเลือกที่จะเข้ามาติดกับด้วยภาพลักษณ์ก่อนที่จะเข้ามารู้จักตัวเพลง