หลังจากช่วงหลายปีก่อนกระแสดนตรีแร็ปและฮิปฮอปเข้ามาครองบ้านเราแบบทุกหย่อมหญ้า แต่ในช่วงระยะหลังก็เริ่มรู้สึกว่ากระแสดนตรีร็อกกำลังค่อย ๆ กลับมาเช่นกัน มีวงดนตรีมากมายที่เกิดขึ้นมาใหม่ และเริ่มเข้ามามีบทบาทกับวงการแบบที่ไม่ได้เห็นมาพักใหญ่ ๆ หนึ่งในวงเหล่านั้นคือ Tryst (ทริสต์) วงร็อกรสจัดจ้านจากสังกัด Gene Lab ที่เพิ่งมาอายุวงเพียงขวบกว่า ๆ เท่านั้น “TRYST” ไฟที่ลุกโชนจากกองเถ้าถ่าน Tryst เกิดจากการรวมตัวของ 3 สมาชิก ได้แก่ อาร์ท – ทวีทรัพย์ อาจอำนวย (ร้องนำ), โฟล์ค – วัชระ วิลาทอง (กีต้าร์ / ซินธ์) และ นุ๊ก – ธนพงษ์ โชติช่วง (กลอง) เดิมทีอาร์ทเคยทำหน้าที่นักร้องนำให้กับวง Lasthoper มาก่อน ส่วนโฟล์คและนุ๊กปกติก็เล่นดนตรีด้วยกันอยู่แล้ว แถมยังเป็นแฟนเพลงของอาร์ทด้วยเช่นกัน ถึงขนาดเคยคุยกันว่าถ้าจะหานักร้องนำซักคนมาทำวงจริงจัง ตัวเลือกนั้นจะต้องเป็น “อาร์ท” เท่านั้น จนกระทั่งมีอยู่วันหนึ่งพวกเขาได้ไปเจอกันในร้านที่ไปเล่นกลางคืน ประจวบเหมาะกับช่วงที่วง Lasthoper ได้เบรกไป ทางโฟล์คและนุ๊ก จึงได้ชักชวนอาร์ทให้มาเข้าร่วมวงทันที
การเดินทางของวงดนตรีโดยมากแล้วจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ ด้วยกันทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นซีนอินดี้หรือซีนอันเดอร์กราวน์ก็ตาม เพราะนั่นคือพื้นฐานสำคัญในการสร้างประสบการณ์ให้วงแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และยังเป็นช่องทางแรกในการกอบโกยแฟนเพลงด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าทุกวงต่างก็มีเป้าหมายที่จะเติบโตไปในทิศทางที่ดีขึ้น บางวงก็แค่ต้องการมีชื่อเสียงระดับหนึ่ง มีงานโชว์เข้ามาเรื่อย ๆ ในแบบที่สามารถใช้ดนตรีเลี้ยงชีพได้ แต่ก็มีวงอีกจำนวนไม่น้อยที่ต้องการเติบโตก้าวขึ้นมาเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้ แน่นอนว่าเป้าหมายมีไว้พิชิต แต่ก็ไม่ใช่ทุกวงที่จะฝ่าฟันตะลุยอุปสรรคจนไปถึงฝั่งฝันได้ แต่สำหรับวง Bring Me The Horizon พวกเขาสามารถทำได้สำเร็จแล้วเป็นที่เรียบร้อย THIS IS WHAT THE EDGE OF YOUR SEAT WAS MADE FOR จุดเริ่มต้นของวง Bring Me The Horizon เริ่มต้นเมื่อปี 2004 ณ เมืองเชฟฟิลด์ ประเทศอังกฤษ จาก 2 คู่ซี้ Oliver Sykes (นักร้องนำ) และ Matt Nicholls (มือกลอง) ทั้งคู่ต่างชื่นชอบดนตรีเมทัลคอร์ที่มีกลิ่นอายของนอยซ์ซาวด์ (ยุคเก่า) ของฝั่งอเมริกาเป็นอย่างมาก อย่างเช่นวง
ครั้งที่แล้ว เราได้มีการเล่าถึงอัลบั้มสุดเดือดของวงสายร็อกและเมทัล ที่คว่ำวอดอยู่ในวงการอันเดอร์กราวน์ในยุค 90’s ไปแล้ว (Link : https://bit.ly/3S5nDW4) มาในครั้งนี้เราจะเขยิบไทม์ไลน์ขึ้นมาอีกหนึ่งสเตปด้วยการต่อไปสู่ช่วงปี 2000-2005 ซึ่งถือว่าเป็นจุดที่กำลังเข้าใกล้ความพีคของวงการนี้ โดยเราได้คัดเลือก 11 อัลบั้มสุดแรร์ที่คุณอาจจะไม่เคยได้สัมผัสมาให้ทุกคนได้ลองเสพกันดูครับ SWEET MULLET “PANAPHOBIA” (2003) ปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จักวง Sweet Mullet ที่สร้างชื่อเสียงจากเพลง “ตอบ” ในโปรเจกต์ Showroom No.1 และยืนหยัดอยู่ในวงการดนตรีมาอย่างยาวนาน มีเพลงฮิตฝากไว้เพียบ ไม่ว่าจะเป็น “สภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน”, “ขอโทษในสิ่งที่เธอไม่รู้”, “ภาพติดตา” เป็นต้น แต่ก่อนที่จะเป็นที่รู้จัก พวกเขาก็เคยผ่านวิถีอันเดอร์กราวน์มาก่อน หลังจากที่ “เต๋า” นักร้องนำได้ออกจากวง Napkin ก็ได้มาสร้างวง Sweet Mullet ที่นำเสนอแนวทางอีโม/สครีมโม ที่เต็มไปด้วยเมโลดี้กับความเกรี้ยวกราด ซึ่งมันถูกสะท้อนออกมาใน EP.Panaphobia บรรจุไว้ด้วย 6 เพลงด้วยกันรวมอินโทร, เอาท์โทร และเพลงอะคูสติค ซาวด์อีพีนี้ได้สะท้อน DNA ของวงไว้ได้อย่างชัดเจน วง
แม้ว่าดนตรีสายหนักหน่วงอย่างเมทัลจะไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรา และมีแฟนเพลงเฉพาะกลุ่มในจำนวนที่ไม่มาก ทำให้การขายงานโชว์ให้ได้อย่างวงปกติทั่วไปบนท้องตลาดก็ยากตามไปด้วย นั่นทำให้รายรับของคนที่เล่นดนตรีแนวนี้ไม่มีทางหาเลี้ยงชีวิตได้เพียงพอแน่นอน แม้อุปสรรคที่ขวางจะใหญ่โตมากนัก แต่ก็ยังมีอีกหลาย ๆ ศิลปินที่ไม่เคยท้อแท้ แถมยังคอยพัฒนาฝีมือ ต่อยอดคุณภาพ จนกล้าพูดได้เต็มปากว่าสามารถฟัดกับวงต่างประเทศได้อย่างสบาย ๆ ซึ่งวงที่ทำให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนมากที่สุดคงต้องยกให้ Annalynn! BASED ON NU METAL Annalynn มีจุดเริ่มต้นวงตั้งแต่ปี 2003 หรือกว่า 19 ปีที่แล้ว การรวมตัวในตอนนั้นคือการลุยประกวดดนตรีที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ซึ่งนำโดย 2 สมาชิกหลักที่อยู่มาถึงปัจจุบันนั่นคือ “บอน” (ร้องนำ) และ “เอก” (เบส) โดยช่วงแรกพวกเขานำเสนอสไตล์ดนตรีนูเมทัล ที่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น โดยมีวง Deftones ที่เปรียบเสมือไอดอลและแรงบันดาลใจ หลังจากที่ได้ข้อตกลงว่าต้องการทำเพลงอย่างจริงจัง Annalynn จึงได้ผลิตผลงานเพลงเป็นของตัวเอง และต่อยอดกลายเป็น “EP.First Shut Up, Then Shut Down” ออกมาในปี 2004 รวมไปถึงในช่วงแรกพวกเขาได้มีโอกาสทำงานกับค่าย Sexy Pink
คุณรู้จักดนตรีแนวเมทัลดีขนาดไหน? บางคนอาจจะมาก บางคนอาจจะน้อย หรือบางคนก็อาจจะไม่รู้เลย ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะมันเป็นดนตรีเฉพาะกลุ่มที่ต้องเสริมใยเหล็กในหูมาแล้วจึงได้เสพมันได้้อย่างเข้าถึงอารมณ์ แถมภาพจำของใครหลาย ๆ คนต่อชาวเมทัลมันคือความโหดร้ายไปซะอีก แต่จริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่ภาพลักษณ์ภายนอก เพราะมีการพิสูจน์ได้ทางวิทยศาสตร์มาแล้วว่าดนตรีเมทัลมีอะไรดี ๆ มากกว่าที่คิดไว้มาก ดังเช่นเรื่องราวต่อไปนี้ ภาพลักษณ์ชาวเมทัลไม่จำเป็นต้องโหดเสมอไป หลาย ๆ คนยังติดตากับชาวเมทัลว่าต้องมีภาพลักษณ์ที่ดูดุดัน, ลึกลับ, น่ากลัว หรือมีทรงผมและหนวดเคราราวกับหลุดออกมาจากยุคไวกิ้ง โอเคถ้าคุณจะคิดแบบนั้นก็ไม่ผิด เพราะภาพลักษณ์ของวงดนตรีเมทัล โดยเฉพาะช่วงก่อนเข้าสู่ยุค 2000’s ก็มีลักษณะแบบนั้นจริง ๆ แต่สำหรับในปัจจุบันมันแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มีความหลากหลายเกิดขึ้นมากมาย การแต่งตัวก็ไม่ได้จำกัดว่าจะต้องคุมธีมด้วยสีดำเท่านั้น และไม่ได้เป็นคนที่มีอารมณ์โกรธเกรี้ยวอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน ทาง Laina Dawes นักชาติพันธุ์วิทยาชาวแคนาดา เจ้าของหนังสือ “What Are You Doing Here? A Black Woman’s Life and Liberation in Heavy Metal” ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการสำรวจชาวอเมริกันผิวสีที่มีแนวโน้มหันมาฟังเพลงเมทัลมากกว่าเดิม เธอได้สัมภาษณ์ทั้งศิลปินและแฟนเพลงเมทัลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ข้อมูลว่าดนตรีแนวพังก์, เพาเวอร์ไวโอเลนซ์ และไกรคอร์
“My mama called, seen you on TV, son.” ประโยคติดหูกันตั้งแต่อินโทรสำหรับเพลงนี้ของ Post Malone ด้วยอายุเพียง 23 ปี แต่ตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นแร็ปเปอร์ที่โคตรจะมาแรงแห่งยุค เจ้าของเพลงฮิตมากมายที่ทำลายสถิติติดชาร์ตแทบทุกสำนัก ภาพลักษณ์สุดทะเล้นนั่นยิ่งทำให้เขาเป็นที่จดจำของคนดู เบื้องหลังของความสำเร็จของเขาใครจะเชื่อว่ามันเริ่มจากเกมกีต้าร์ฮีโร่เท่านั้น มาดูเรื่องราวกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ของวงการ ก่อนจะมาเป็นแรปเปอร์เลือดใหม่ไฟแรงของวงการ เขาเริ่มต้นมาจากอะไร มีแรงผลักดันอะไรให้มาถึงตรงนี้ได้ Post’s Timeline ความสนใจในด้านดนตรีของเขาได้รับการส่งเสริมตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ เมื่อพ่อของเขาที่มีอาชีพเป็น DJ จุดประกายด้วยการแนะนำเพลงหลากหลายแนวให้กับเขา และดนตรีที่เข้าทางที่สุดในตอนนั้นเป็นดนตรีอีโม (ที่หลายคนคงรู้กันดีว่า Post Malone เองมีวงโปรดทั้งร็อก อีโม และเมทัล) ในช่วงวัยรุ่นเขาก็เล่นดนตรีเรื่อยเปื่อยตามประสา ไม่ได้เล่นจริงจังอะไรหรือไปตั้งวงเข้าห้องซ้อมแบบชีวิตวัยเด็กของศิลปินคนอื่น เพราะกิจกรรมสุดโปรดของเขาคือการเล่นเกมกีต้าร์ฮีโร่นั่นเอง เขาเล่นมันอย่างบ้าคลั่ง จนเขาได้ห้าดาวในทุกด่านของระดับ Expert เรียกง่าย ๆ คือเล่นจนเวลตันแล้ว เมื่อหมดความตื่นเต้นกับกีต้าร์ฮีโร่ไปแล้ว จุดนี้แหละที่ไปจุด Inspired ให้เขาลุกขึ้นมาเล่นกีต้าร์ของจริงแบบจริงจัง ในเมื่อเขาเล่นเกมกีต้าร์นี้จนตันไปแล้ว ทำไมถึงไม่เล่นของจริงวะ ? เขาเลยหันมาหยิบจับกีต้าร์แบบจริงจังและกำเนิดเป็นวงเมทัลของเขาเอง แต่แล้วเขาก็เริ่มหันเหไปที่ดนตรี Hip Hop ด้วยการทำ
“เมทัล”อาจไม่ใช่แนวดนตรีที่ผู้ชายไทยอย่างเรา ๆ คุ้นเคยมากนัก แต่ไม่ว่าเราจะเคยฟังเพลงแนวนี้มาอย่างจริงจังหรือฟังแบบผ่าน ๆ สิ่งหนึ่งที่เรามั่นใจแน่ ๆ คือดนตรีเมทัลเต็มไปไปด้วยความดุเดือด หนักแน่น กระทั้นกระแทก โน้ตแต่ละตัวทำปฏิกิริยาต่อโสตประสาทจนเราแทบจะจินตนาการได้เลยว่าคนที่ฟัง ร้อง เล่น หรือคลุกคลีอยู่กับดนตรีแนวเมทัลนี้จะต้องมีตัวตนที่เดือดพล่านทะลักทลายไม่แพ้กับตัวดนตรีเลย จึงแทบไม่แปลกที่เรามักจะมีภาพในหัวว่าใครสักคนที่หลงใหลในเพลงเมทัลต้องเป็นผู้ชายไลฟ์สไตล์ดุดัน ๆ เท่านั้น แต่เพราะโลกแห่งดนตรีมันไม่มีเขตกั้น วันนี้ UNLOCKMEN จึงอยากพามาปลดล็อกความเคยชินเก่า ๆ เพราะดนตรีดุเดือดอย่างเมทัลไม่ได้เป็นแค่เรื่องของผู้ชายเท่านั้น แต่เพศไหน ๆ ก็เข้าถึงได้ แต่ถ้าจินตนาการไม่ออกว่าสาว ๆ ที่หลงใหลในเสียงเพลงเมทัลจะมีตัวตนแบบไหน แข็งกร้าวอย่างที่เราเคยคิดไหม ? หรือวิธีคิดเดือดพล่านแค่ไหน ? เราอาสาพามาทำความรู้จัก Adabel Band วงดนตรีเมทัลที่มีสมาชิกในวงเป็นผู้หญิงล้วน ๆ ต่างกับภาพจำเดิม ๆ เรื่องวงเมทัลในหัวเราแบบฟ้ากับเหว แต่ไม่ว่าในหัวคุณจะสงสัยอะไรเรารับรองว่าหลังจากอ่านบทสนทนานี้จบคุณจะต้องหลงรักพวกเธอแน่นอน เรื่องราวของ Adabel Band เริ่มต้นอย่างไม่ซับซ้อน เมื่อโซเชียลมีเดียนำพาให้พวกเธอมาเจอกันในกรุ๊ปที่รวมคนหลงใหลในเรื่องดนตรีเอาไว้ แต่เฉพาะเจาะจงไปอีกขั้นตรงที่เธอทั้ง 4 ต่างสนใจในดนตรีเมทัลเหมือนกัน วงดนตรีเมทัลแบบเดือด ๆ วงนี้จึงเริ่มต้นตรงที่แพสชั่นเรื่องดนตรีเมทัลและความกล้าที่จะลองล้วน ๆ วินาทีที่
ดนตรีเป็นหนึ่งใน Culture ที่คอยจรรโลงโลกใบนี้มาแสนนาน ตั้งแต่มนุษย์เราเริ่มรู้จักเคาะอะไรสักอย่างให้มันเกิดเสียง และพัฒนามาเรื่อย ๆ จนเป็นการเคาะที่มีจังหวะ พัฒนามาเป็นเครื่องดนตรี ดนตรีที่เป็นมากกว่าสิ่งที่ให้ความบันเทิง ตอนนี้เรามีดนตรีที่แตกแขนงไปหลากหลายแนวนับไม่ถ้วน แต่ถ้าจะให้ยกขึ้นมาสักแนว ที่ Express อารมณ์ของทั้งคนฟังและคนเล่นได้อย่างดุเดือด ที่ดึงเอาสัญชาตญาณดิบของเราออกมาได้แบบหมดเปลือก “Metal” เป็นหนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ อย่างแน่นอน UNLOCKMEN จะพามาทำความรู้จักกับดนตรีที่ดุเดือดอย่าง “Metal” ในเมืองไทยในมุมมองของคนฟัง เบื้องหลังภาพลักษณ์ดุดัน ก้าวร้าว รุนแรง จากเพลง ปกอัลบั้ม คอนเสิร์ต เสื้อวงสีดำ อะไรที่ทำให้พวกเขาหลงรักเมทัล เป็นเมทัลแล้วจำเป็นต้องดุดันก้าวร้าวอย่างเดียวหรือเปล่า ? ฟังเมทัลแล้วเป็นหนุ่มเนิร์ดได้มั้ย ? สารพัดดราม่าในที่อยู่คู่กับวงการเมทัลไทยมานาน มาดูกันว่ากลุ่ม Metalhead ต้องเจออะไรกันบ้างกับผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ HEADBANGKOK เว็บฯของชาวเมทัลไทยที่ทำขึ้นเพื่อตอบสนองความชอบของตัวเองล้วน ๆ มาพูดคุยกันในฐานะของคนฟังที่เรียกว่า Metalhead ที่ติดตามวงการนี้มานาน จุดเริ่มต้นของความรักใน Metal เว็บไซต์ HEADBANGKOK เกิดจากความชอบในดนตรีเมทัลของ “โจ้” และ “เจต” ที่เริ่มสังเกตแล้วว่าสื่อเกี่ยวกับเมทัลอย่างพวกนิตยสารเริ่มล้มหายตายจากไปทีละหัวอย่าง Music Express, Metal
เข้ายิมทีไรเป็นต้องได้ฟังแต่เพลงไม่ถูกใจชาวหูเหล็กอย่างเราทุกที ฟังเป็นครั้งคราวก็พอได้ แต่ให้ฟังตลอดก็คงไม่ไหว เลยต้องหยิบหูฟังขึ้นมาเปิดหาเพลงชวนโยกหัวเอาเองแทบทุกครั้ง คราวนี้ไม่ต้องไล่เปิดฟังเพลงให้เมื่อยนิ้ว UNLOCKMEN ขอเอาใจชาวเมทัลด้วย 20 เพลงที่เราคัดมาแบบเน้น ๆ หนักบ้าง เบาบ้าง ลดหลั่นกันไปแบบมีไดนามิก กระตุ้นอะดรีนาลีนให้ตัวเอง ยกแล้วยกอีก เซ็ตแล้วเซ็ตเล่า ไม่มีเหนื่อย จนแทบอยากจะชวนคนในยิมมา Mosh Pit ด้วยกันซะเลย ใครที่สะดวกฟังใน Spotify สามารถกด Follow กันได้เหมือนเดิม ที่นี่ A Day To Remember – I’m Made of Wax, Larry, What Are You Made Of? มาเริ่มกันด้วยเพลงจังหวะสนุก ๆ จาก A Day To Remember ที่สุดมันส์กันทั้งเพลงและ MV Avenged Sevenfold – Danger Line