ตอนคุณอายุ 11 ปี คุณอาจจะนั่งอยู่หน้าจอคอมเพื่อเล่นเกมโปรด หรืออาจจะรอคอยตอนใหม่ของ One Piece อย่างใจจดใจจ่อ แต่ในอีกซีกโลก มีเด็กน้อยคนหนึ่งปรากฎตัวอยู่หลังกลองชุด โดยมีชาวร็อคกว่าหมื่นคนเป็นสักขีพยานในความสามารถอันโดดเด่นของเขา “พวกเรารู้สึกเป็นเกียรติอย่างมากที่ได้ร่วมงานกับตำนานที่น่าทึ่ง ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา วง The Beatles บ้าง Rolling Stones บ้าง Pink Floyd บ้าง แต่สำหรับคนนี้…แม่งไม่ใช่ว่ะ” Dave Grohl แห่งวง Foo Fighters ประกาศแนะนำแขกรับเชิญคนสำคัญในคอนเสิร์ตที่ The Forum เมือง แอล.เอ. เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา “ขอเสียงเฮให้กับ “มือกลองที่โคตรเจ๋งที่สุดในโลก”…Nandi Bushell!!!” ต่อจากเสียงแนะนำของ Dave Grohl คือเสียงจากการหวดกลองสุดระห่ำในเพลง Everlong เพลงฮิตของ Foo Fighters หากคุณหลับตาจินตนาการถึงเจ้าของเสียงกลองนั้น คุณอาจจะคิดไปถึงมือกลองสุดเก๋าที่ผ่านการเล่นคอนเสิร์ตมาอย่างนับไม่ถ้วน แต่เมื่อคุณเปิดตาดู คุณจะแทบไม่เชื่อสายตา เพราะเจ้าของเสียงคำรามผ่านการรัวกลองคนนั้นกลับเป็นเด็กสาวอายุเพียง 11 ปี
ถ้าคุณโตมากับดนตรีร็อคยุคหลังปี 2000 เป็นต้นมา คงไม่มีใครไม่รู้จักเว็บ myspace.com เว็บที่เหล่าวงดนตรีทั้งหลายใช้เป็นพื้นที่สำหรับโชว์ผลงานเพลงตัวเองลงบนหน้า profile การได้มีเพลงอยู่บนหน้าเว็บ myspace ของวงเป็นอะไรที่โคตรเท่ ถือเป็นยุคแรก ๆ ของโซเซียลมีเดียแห่งวงการดนตรีเลยก็ว่าได้ มีวงร็อคมากมายที่โด่งดังในกลุ่มอันเดอร์กราวด์ฝั่งอเมริกาตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น SAOSIN, UNDEROATH, THE USED, BLESSTHEFALL, FROM FIRST TO LAST, และ STORY OF THE YEAR ฯลฯ และนั่นก็เป็นยุคเดียวกันกับที่วงร็อคอันเดอร์กราวด์ในไทยกำลังบูม มีกลุ่มแฟน ๆ ติดตามอย่างเหนียวแน่น เรียกได้ว่าเกือบทุกอาทิตย์จะมีคอนเสิร์ต ให้ชาวร็อค ได้ออกไปเสพการแสดงสดอย่างเต็มเหนี่ยว ซึ่งเป็นงานอันเดอร์กราวด์จัดในสถานที่เล็กบ้างใหญ่บ้าง มีทั้งงานโคฟเวอร์เพลงวงต่างประเทศ หรือจะเป็นเพลงออริจินัลจากศิลปินไทยเองก็มีให้ตามชม ตามฟังกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นงาน อ๊าก ว๊าก จ๊าก, Yos Fest ที่ขนเอาศิลปินในเส้นทางร็อคผลัดกันขึ้นไประเบิดความมันส์บนเวที ส่วนคนดูก็มีวัฒนธรรมการชมคอนเสิร์ตที่ภาพอาจจะดูรุนแรง เช่นการ mosh pit (การเหวี่ยงหมัดไปรอบ ๆ) circle
“เพลงร็อกน่ะมันตายไปแล้ว” เมื่อใดที่ได้ยินคนพูดคำนี้ออกมา UNLOCKMEN เป็นอันปวดใจทุกที เพราะมันไม่จริงเอาเสียเลย ศิลปินร็อกระดับแถวหน้าหลายคนยังคงผลิตผลงานอย่างต่อเนื่อง ส่วนรุ่นใหม่ ๆ ก็ยังมีงอกเงยขึ้นมาทุกวัน แต่ที่หลายคนรู้สึกแบบนั้นเพราะไม่มีเพลงร็อกไปเฉิดฉายอยู่บนชาร์ตเฉย ๆ หรือเปล่า? เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าเพลงร็อกยังไม่ตายจากเราไป วันนี้เราได้รวบรวมเพลงร็อกออกใหม่ ทั้งจากวงหน้าเก่าที่หวนวงการ และวงหน้าใหม่ที่น่าสนใจ เอามากองรวมกันไว้ตรงนี้ ให้คอเพลงทั้งหลาย ได้เลือกฟังกันแล้ว! I Really Wish I Hated You – blink-182 3 แสบรุ่นเก๋า ตัวพ่อแห่งป๊อปพังก์กำลังจะปล่อยอัลบั้มใหม่ BOJMIR ให้ชาวเราได้ฟังในวันที่ 20 กันยายนนี้กันแล้ว ถึงจะไม่ได้ซ่าบ้าบิ่นเท่าแต่ก่อน (เป็นไปตามอายุ) แต่ยังไงเสียพวกเขาก็ยังพร้อมเสิร์ฟกลิ่นอายอันเป็นเอกลักษณ์แบบฉบับ blink-182 เท่านั้นที่ทำได้มาให้พวกเราเสพกัน ใครฟังเพลงนี้แล้วยังไม่ถูกใจ ลองฟังเพลงอื่น ๆ ที่พวกเขาปล่อยออกมาให้ชิมก่อนได้ มีทั้ง Dark Side, Happy Days, Generational Divide และ Blame It On My
แฟนเพลง Led Zeppelin ตำนานร็อกเรือเหาะจากเกาะอังกฤษ วงดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ที่ปูทางแนวเฮฟวี่เมทัลให้โลกใบนี้ คงจะทราบกันดีว่า Robert Plant ฟรอนต์แมนของวง ไม่ยอมร้องเพลงฮิตอย่าง ‘Immigrant Song’ บนเวที มาเป็นเวลายาวนานกว่า 23 ปีแล้ว โดยครั้งสุดท้ายที่เขาร้องเพลงนี้คือตอนที่ยังทัวร์อยู่กับ Jimmy Page มือกีตาร์ของวง ตั้งแต่ปี 1996 มาดูกันว่าเพราะเหตุใด Robert Plant จึงตัดสินใจนำเพลงนี้กลับมาร้องอีกครั้งในวันนี้? เหตุเกิดเมื่อสัปดาห์ก่อนที่ Robert Plant ได้รับเชิญให้ไปแสดงคอนเสิร์ตเดี่ยวในงาน Reykjavik’s Secret Solstice Festival ณ ประเทศ Iceland ซึ่งประเทศนี้เป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ Robert Plant และ Jimmy Page ร่วมกันเขียนเพลงนี้ขึ้นมา โดยพวกเขาเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า เมื่อครั้งที่ได้ไปเยือน Iceland ในปี 1970 ที่นั่นทำให้พวกเขานึกถึงตำนานไวกิ้ง เรือใหญ่ และการเสาะแสวงหาดินแดนใหม่ จึงออกมาเป็นเพลง Immigrant Song ที่มีท่อน
เคยไหมเวลาบอกเพื่อนว่าชอบฟังเพลงร็อกแล้วคุณจะต้องโดนทำสัญลักษณ์แบบนี้พร้อมแลบลิ้นใส่ (ถ้าไม่เคยก็ดีไป) ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ เพราะสัญลักษณ์มือแบบนี้เป็นสิ่งที่อยู่คู่กับวัฒนธรรมชาวร็อกมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะร็อกประเทศไหน อังกฤษ อเมริกา แคนาดา หรือไทย ก็ล้วนแล้วแต่ทำมือเหมือนกันทั้งนั้น หากคุณเป็นหนึ่งในคนที่ยังไม่รู้ที่มาที่ไปของมันละก็ วันนี้เราจะพาคุณเจาะเวลาหาอดีต มาดูกันว่าสิ่งนี้เริ่มต้นจากอะไรกันแน่? ชาวร็อกบอกต่อกันว่าชายคนแรกที่ทำให้สัญลักษณ์แบบนี้แมสในวงการก็คือ Ronnie James Dio นักร้องคนที่ 2 ของคณะ Black Sabbath วง Heavy Metal รุ่นบุกเบิกแห่งยุค 70 นั่นเอง เนื่องจากตัวเขารู้สึกว่านักร้องคนก่อนหน้าอย่าง Ozzy Osbourne เป็นคนมีเอกลักษณ์มาก โดยเฉพาะการทำมือชูสองนิ้ว (Peace Sign Hand) เขาจึงต้องหาอะไรมาดึงดูดแฟนเพลงบ้าง ซึ่งแท้จริงแล้วไอ้มือแบบนี้ Ronnie เอามาจากคุณยายเชื้อสายอิตาเลียนของเขา เธอมักจะยกมือทำสัญลักษณ์แบบนี้ทุกครั้งเวลาต้องการขับไล่สิ่งชั่วร้าย Ronnie คิดว่ามันก็เท่ดี เลยลองเอามาทำตอนขึ้นเวทีดูบ้าง ปรากฏว่าแฟนเพลงทำตามกันถ้วนหน้า จนกลายเป็นวัฒนธรรมแบบที่พวกเราเห็นกันในปัจจุบัน ฉะนั้นอาจถอดสมการได้ว่าจุดกำเนิดความแมสของมันอยู่ที่ราว ๆ ปี 1980 – 1982 ช่วงที่ Ronnie James Dio ยังอยู่ในฐานะฟรอนต์แมนของ Black Sabbath
ด้วยวันเวลาที่เดินไปข้างหน้า การนำของเก่ามาผสมกับของใหม่ จนเกิดเป็นของใหม่มากขึ้นมาอีกอย่าง กลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่เทคโนโลยี การศึกษา หรือแม้แต่วงการดนตรี เพลงเร็กเก้ที่เราคุ้นเคย เรามักจะคุ้นเคยกับกลิ่นอายสายลมแสงแดด ความสดชื่นของเกลียวคลื่นในทะเล ลองมาฟังเพลงเร็กเก้ฟิวชั่น ที่เป็นการผสมผสานเพลงเร็กเก้กับแนวเพลงอื่น (แต่ยังคงกลิ่นอายเร็กเก้ไว้อย่างแข็งแรง) กับวงเร็กเก้ร็อกเลือดใหม่จากแดนจิงโจ้อย่างห้าหนุ่ม Sticky Fingers ที่จะมาระเบิดความมันส์กับคอนเสิร์ตของพวกในต้นปีหน้านี้แล้ว มาทำความรู้จักกับพวกเขาก่อนที่จะไปโยกหัวตามหน้าเวที แง้ม ๆ ให้ฟังว่าพวกเขาเคยมาอัดเพลงในเมืองไทยมาแล้ว วงนี้ค่อนข้างเฉพาะทางพอสมควร มาทำความรู้จักกับสมาชิกในวงกันก่อน เริ่มต้นกันที่ฟรอนต์แมนเสียงแหบที่โคตรจะเป็นเอกลักษณ์ Dylan Frost ร้องนำและกีต้าร์ Paddy Cornwall เบส Seamus Coyle กีต้าร์ Beaker Best กลองและ Percussion และ Freddy Crabs ซินธ์ พวกเขาฟอร์มวงกันตั้งแต่ปี 2008 แต่ว่ากว่าจะได้มีสตูดิโออัลบั้มจริง ๆ ก็ปาเข้าไปปี 2013 ในอัลบั้มเดบิวต์ Caress Your Soul ตามมาด้วย Land of Pleasure
“My mama called, seen you on TV, son.” ประโยคติดหูกันตั้งแต่อินโทรสำหรับเพลงนี้ของ Post Malone ด้วยอายุเพียง 23 ปี แต่ตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาเป็นแร็ปเปอร์ที่โคตรจะมาแรงแห่งยุค เจ้าของเพลงฮิตมากมายที่ทำลายสถิติติดชาร์ตแทบทุกสำนัก ภาพลักษณ์สุดทะเล้นนั่นยิ่งทำให้เขาเป็นที่จดจำของคนดู เบื้องหลังของความสำเร็จของเขาใครจะเชื่อว่ามันเริ่มจากเกมกีต้าร์ฮีโร่เท่านั้น มาดูเรื่องราวกว่าจะก้าวมาถึงจุดนี้ของวงการ ก่อนจะมาเป็นแรปเปอร์เลือดใหม่ไฟแรงของวงการ เขาเริ่มต้นมาจากอะไร มีแรงผลักดันอะไรให้มาถึงตรงนี้ได้ Post’s Timeline ความสนใจในด้านดนตรีของเขาได้รับการส่งเสริมตั้งแต่อายุยังไม่ถึงสิบขวบ เมื่อพ่อของเขาที่มีอาชีพเป็น DJ จุดประกายด้วยการแนะนำเพลงหลากหลายแนวให้กับเขา และดนตรีที่เข้าทางที่สุดในตอนนั้นเป็นดนตรีอีโม (ที่หลายคนคงรู้กันดีว่า Post Malone เองมีวงโปรดทั้งร็อก อีโม และเมทัล) ในช่วงวัยรุ่นเขาก็เล่นดนตรีเรื่อยเปื่อยตามประสา ไม่ได้เล่นจริงจังอะไรหรือไปตั้งวงเข้าห้องซ้อมแบบชีวิตวัยเด็กของศิลปินคนอื่น เพราะกิจกรรมสุดโปรดของเขาคือการเล่นเกมกีต้าร์ฮีโร่นั่นเอง เขาเล่นมันอย่างบ้าคลั่ง จนเขาได้ห้าดาวในทุกด่านของระดับ Expert เรียกง่าย ๆ คือเล่นจนเวลตันแล้ว เมื่อหมดความตื่นเต้นกับกีต้าร์ฮีโร่ไปแล้ว จุดนี้แหละที่ไปจุด Inspired ให้เขาลุกขึ้นมาเล่นกีต้าร์ของจริงแบบจริงจัง ในเมื่อเขาเล่นเกมกีต้าร์นี้จนตันไปแล้ว ทำไมถึงไม่เล่นของจริงวะ ? เขาเลยหันมาหยิบจับกีต้าร์แบบจริงจังและกำเนิดเป็นวงเมทัลของเขาเอง แต่แล้วเขาก็เริ่มหันเหไปที่ดนตรี Hip Hop ด้วยการทำ
ใครที่เป็นคอเพลงอาจจะคุ้นเคยกันดีกับการ COVER เพลงจากวงดังหรือเพลงฮิตในขณะนั้น มาให้เป็นสไตล์ของตัวเองตามแต่วงที่ COVER ส่วนมากก็จะเป็น Acoustic ฟังสบาย ๆ แต่ถ้าอารมณ์ไหนที่อยากหลุดพ้นความชิล หรืออยากฟังเพลงหนัก ๆ แต่ไม่ไหวจะฟังการสกรีมที่โคตรหนักหน่วง ลองเริ่มต้นจากวง ROCK COVER ที่นำเพลงดัง ๆ มาทำในสไตล์ที่โคตรระห่ำก็ได้ วันนี้ UNLOCKMEN ขอแนะนำ 5 วง ROCK COVER ให้เราได้ไปลองเลือกฟัง เลือกเปิดใจกับทุกแนวเพลง เผื่อว่าจะได้วงโปรดเพิ่มขึ้นอีกสักวง Our Last Night เริ่มต้นกันที่วงร็อกสัญชาติอเมริกัน โดยมีสมาชิกทั้งหมด 4 คน ซึ่งส่วนมากจะ Cover เพลงดัง ๆ มากมายในแนว Post-Hardcore และ Alternative Metal ไม่ว่าจะเป็น Taylor Swift – Blank Space, Katy Perry – Dark Horse, Imagine Dragons – Radioactive และอื่น