“ความสำคัญ คนสำคัญ” เป็น 2 คำที่น้อยคนจะใช้กับตัวเองแต่สามารถหยิบยื่นให้คนอื่นอย่างเต็มใจ เคยสังเกตกันบ้างไหมว่าเรามักมองคนทั้งโลกดีหมด ใจกว้างให้อภัยคนที่ทำให้เรารู้สึกแย่ได้ แต่กลับหวดตัวเองอย่างรุนแรงเมื่อพบข้อบกพร่องที่เกิดจากตัวเองเสมอ ถ้า “ดีเกินไป” คือสิ่งที่คุณทำให้คนอื่น แต่ไม่ยอมทำให้ตัวเอง เราขอให้ลดดีกรีมันลงอีกนิดเพราะบางครั้งมันอาจถ่วงคุณภาพชีวิตคุณลงจากผลสะท้อนทั้ง 3 ข้อต่อไปนี้ เมตตาธรรมค้ำจุนโลก แต่ไม่ค้ำจุนเรา อารมณ์สงสารเป็นธรรมดาของลูกผู้ชาย กายภาพของเราที่แข็งแรงกว่ามักมาพร้อมหน้าที่ที่ฝังหัวมาว่าควรปกป้องคนอื่น และถ้าดีกว่านั้นหน่อยหลายคนก็เลือกเป็นพ่อพระทางความคิด ทำไปทำมาจนเคยชิน โดยไม่รู้เลยว่าการรับเรื่องราวบอบช้ำของคนอื่นมามาก ๆ สงสารเขาไปเรื่อย มันทำให้เราเหนื่อยล้า สิ้นหวังกับเขาลงได้เหมือนกัน ผลการวิจัยจาก University of Bradford เผยว่าแค่การรับข่าวจากสื่อโซเชียลที่ผ่านตาก็สร้างความเครียด ความรำคาญให้เราได้แล้ว ความเครียดที่ได้รับผ่านประสบการณ์ไม่ว่าจะเป็นของเราโดยตรงหรือของคนอื่นเหล่านี้ค่อย ๆ แทรกซึมเข้าไปในตัวเราจนทำให้รู้สึกดิ่ง จม สิ้นหวังและไร้ค่า แถมผลกระทบนี้ยังสื่อออกมาผ่านพฤติกรรมและความคิดด้วย ถ้าคุณสังเกตว่าช่วงนี้การมองโลกไม่ค่อยเหมือนเดิม จัดการอารมณ์ตัวเองไม่ค่อยได้ ทักษะวิเคราะห์หรือความรู้สึกอยากริเริ่มสิ่งต่าง ๆ ลดลง นอนไม่ค่อยหลับ แสดงว่าต้องเริ่มหันมาเมตตาตัวเองบ้างแล้ว พักการเสพเรื่องแย่จากโซเชียลเสียบ้าง คนเจ็บปวดมือสอง เรื่องของเขาแต่พอเราฟังหรือเห็นก็เอามาเก็บไว้ให้เจ็บแทน สิ่งนี้คือเลเวลสองที่เพิ่มระดับจากความดิ่งแบบแรก การรับความเจ็บปวดมือสอง ฟังแล้วดูคล้าย ๆ ควันบุหรี่มือสอง แต่มันเล่นงานเราด้วยความเจ็บที่รวดเร็วและรุนแรงมากกว่านั้นเพราะจู่โจมการใช้ชีวิตเข้าอย่างจังจากภาวะเหล่านี้ ติดเป็นภาพจำจนเก็บมาเป็นฝันร้าย