ถ้าพูดถึงชื่อ OMEGA คนส่วนใหญ่อาจนึกถึง Moonwatch ที่พาเราเหยียบดวงจันทร์ หรือ Seamaster ที่อยู่บนข้อมือสายลับ 007 แต่ในเงาของตำนานเหล่านั้น ยังมีอีกหนึ่งเรือนเวลาที่หลายคนอาจไม่คุ้นหูมากเท่าไหร่ แต่กลับฝังแน่นอยู่ในใจของนักสะสมตัวจริง – The OMEGA Railmaster จุดกำเนิดจากปี 1957 พร้อม ๆ กับรุ่นพี่ร่วมสายเลือดในตระกูล ‘Professional Trilogy’ เกิดมาเพื่ออยู่บนข้อมือของวิศวกร ช่างไฟฟ้า และนักฟิสิกส์ที่ต้องทำงานท่ามกลางสนามแม่เหล็กแรงสูง เช่น ในโรงงานผลิตไฟฟ้า หรือสถานีรถไฟฟ้า ซึ่งสนามแม่เหล็กพวกนี้สามารถรบกวนกลไกนาฬิกาได้อย่างรุนแรง ในยุคนั้นนาฬิกาแบบ anti-magnetic ถือเป็นของล้ำสมัย Railmaster รุ่นแรก (Ref. CK2914) สามารถทนสนามแม่เหล็กได้สูงถึง 1,000 Gauss ซึ่งนับว่าเยอะมากในยุคนั้น และถือเป็นคู่แข่งโดยตรงของ Rolex Milgauss ที่เปิดตัวในปีเดียวกัน ปี 2025 คือการกลับมาของ Seamaster Railmaster พร้อมดีไซน์ใหม่สองเวอร์ชันที่แม้จะไม่ใช่ตัวยอดนิยมแบบ Speedmaster หรือ Seamaster แต่ก็ถือเป็น
เมื่อโมเดลเรือธงอย่าง XM ยอดไม่ค่อยวิ่งอย่างที่หวัง ในทางกลับกัน BMW limited edition กลับขายหมดภายในวันเดียวแม้ราคาจะน่าตกใจ ไม่ว่าจะเป็น Skytop limited 50 คัน คันละ $500,000 หรือ 3.0 CSL limited 50 คันเท่ากัน ราคาสูงถึง $780,000 น่าจะทำให้ BMW กลับมาเน้นทำรถแรร์มากขึ้น ในงาน Concorso d’Eleganza Villa d’Este 2025 – BMW กลับมาพร้อม limited car อีกครั้งในชื่อ BMW Speedtop รถ Shooting Brake สองที่นั่งที่สร้างจากพื้นฐานของ M8 และรวบเอาพื้นฐานงานดีไซน์ของ Skytop และ Z4 Touring Coupé Concept ที่เปิดตัวในปี 2023 เข้าไว้ด้วยกัน เป็น
ที่สุดแห่งความหายากจาก Rolex นี่คือ Daytona Ref. 6263 “Albino” ที่น่าจะมีผลิตเพียงแค่ 3 เรือนในโลก ซึ่งหากใครจำได้ ในปี 2015 Albino เรือนแรกของ Eric Clapton ผลิตในปี 1971 เคยถูกประมูลที่ Phillips Geneva ด้วยมูลค่าสูงถึง 1.4 ล้านเหรียญ ขณะที่อีกสองเรือนถูกค้นพบในปี 2008 และ 2013 ตามลำดับ (บาง source ว่ามี 4 เรือน คาดว่าจะนับรวม dial test prototype ที่ไม่ได้วางขายเข้าไปด้วย Daytona “Albino” คือรุ่นย่อยของ Ref. 6263 ที่ผลิตขึ้นในช่วงต้นยุค 1970s มันไม่เคยถูกระบุเป็นหนึ่งในเวอร์ชันอย่างเป็นทางการของ Rolex เพราะเป็นรุ่นพิเศษที่มาจาก internal testing และทำตามคำสั่งพิเศษของดีลเลอร์หรือลูกค้าคนสำคัญในยุคนั้น ส่งผลให้
“บ้านในฝันของคุณ มี Home Checklist ทั้งหมดกี่ข้อ ?” ต้องมาพร้อมกับ Prime Location ทำเลที่อยู่อาศัยใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกในทุก Circle ของชีวิต ไปจนถึงทั้ง Exterior และ Interior ดีไซน์แบบที่จำเป็นที่ต้องมีพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์กับทุกคนในบ้านใช่หรือเปล่า ? ถ้าหากว่าบ้านในฝันมีความหมายเท่ากับสิ่งที่ว่ามาทั้งหมด ที่ ASCARI ‘VIBHAVADI-PRACHACHEUN’ คือโครงการบ้านที่คุณกำลังฝันถึง ไม่เท่านั้น ASCARI ‘VIBHAVADI-PRACHACHEUN’ เป็นมากยิ่งกว่าที่อยู่อาศัยที่คนมองหาบ้านเดี่ยวจะฝันถึงซะอีก ด้วยการมีพื้นที่ซึ่งตั้งอยู่ในใจกลางของประชาชื่น และเป็นโปรเจกต์ที่เรียกได้ว่า เกิดขึ้นจาก ‘แพชชั่น’ ของคนรักรถแบบสุดตัว พร้อมกับอยากเปลี่ยนให้สิ่งที่รักได้กลายเป็นที่อยู่อาศัยของคนที่รักในสิ่งเดียวกัน และไม่ใช่แค่แพชชั่นเดียว ! แต่ผสานขึ้นจาก 3 แพชชั่นของ 3 นักธุรกิจรุ่นใหม่ จาก Monochrome Asset Co. ผู้พัฒนาโครงการ ที่ตอบโจทย์ทั้ง Life และแสดงออกถึง Style ของผู้อยู่อาศัย ‘Home For Supercar People’ บ้านที่ตอบโจทย์ผู้หลงใหลความเร็ว สะท้อนผ่าน
มีคนเคยบอกเอาไว้ว่า การที่เราเลือก Lambretta สักคันมาเป็นของตัวเอง เราไม่ได้เลือกมันหรอก แต่เจ้าสกู๊ตเตอร์คันนี้ต่างหากที่เป็นคนเลือกเจ้าของ-คนที่มีคุณสมบัติความเป็นคนรัก Lamstory ประวัติศาสตร์สองล้อเข้าเส้น #เลือดกรุ๊ปแลม อินกับวัฒนธรรมและเรื่องราวที่สร้าง #แลมบันดาลใจ เกิดเป็นประสบการณ์ขับขี่แบบที่หาจากที่ไหนไม่ได้ UNLOCKMEN เคยเล่า Subculture History วัยรุ่มกลุ่ม Mods กับภาพยนตร์ Quadrophenia หนึ่งในไบเบิลประจำกลุ่มคนรักแลม / เรื่องราวของบาทหลวง Gabriele Amorth มือปราบผีที่ขี่แลมเดินทางในอิตาลี แต่ ! เหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องราวในมุม ‘คนขี่แลม’ ทั้งนั้น โพสต์นี้เราจะกลับไปที่ ‘กรุงมิลาน’ (Milan) บ้านเกิดตั้งแต่เริ่มต้นในปี 1947 ของ Lambretta เล่าเรื่องในฝั่งของ ‘คนซ่อมแลม’ กันบ้าง ไม่มีคนรักแลมคนไหนไม่รู้จัก ‘Casa Lambretta’ ร้าน Restoration Scooter ที่ดีที่สุดในโลกสำหรับ Lambretta และเป็นมากกว่านั้น ของ Vittorio Tessera ผู้ที่ช่วยให้แลมทุกคันไม่ว่าจะใหม่หรือเก่าได้วิ่งด้วยความมั่นใจ ชายผู้มีจุดสตาร์ทไมล์แรกที่เดียวกันคนรักแลมคนอื่น
หลังจากที่เราพาไปรู้จัก Fidel Castro ผ่านภาพจำสุด iconic – ผู้นำผู้สวม Rolex พร้อมกันสองเรือน หลายคนสนใจและส่งข้อความมาพูดคุยกับเราเยอะมาก จึงอยากพาไปดูอีกแง่มุมนึงว่ายังมี Rolex รุ่นไหนอีกบ้างที่ Fidel สวมใส่ในแต่ละช่วงเวลาสำคัญของชีวิต: จากนักปฏิวัติป่าลึก สู่ผู้นำบนเวทีโลก และนี่คือ 4 นาฬิกา Rolex ที่ได้รับการยืนยัน 100% ว่าอยู่บนข้อมือของ Castro จริง ๆ จากการหาหลักฐานข้อมูลภาพถ่ายในแต่ละช่วงของประวัติศาสตร์ 1950s – CUBAN REVOLUTION : Rolex Submariner Ref. 6536 นาฬิกา Tool Watch ในยุคบุกป่าฝ่าดง จากภาพถ่ายปี 1959 เป็นรุ่นตัวเรือน Steel ที่ไม่เน้นความหรูหรา ด้านข้างสังเกตได้ว่าเป็น small crown แบบไร้ Crown Guards หน้าปัด Gilt เคลือบด้วยทอง,
ในจักรวาลของ Rolex นอกจากความหรูหราของนาฬิกา ยังมีความเกี่ยวข้องบนข้อมือของผู้นำและนักปฏิวัติที่เปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์โลกอยู่หลายคน แต่มีไม่กี่คนที่ใส่ Rolex ไว้บนข้อมือได้ทรงพลังเทียบเท่า Fidel Castro อดีตผู้นำแห่งคิวบา – ชายผู้สวมนาฬิกา Rolex พร้อมกันสองเรือน ภาพขาวดำอันเลื่องชื่อของ Castro ในชุด fatigues สีมะกอก ขณะจับมือ Nikita Khrushchev หรือนั่งอยู่ที่องค์การสหประชาชาติในนิวยอร์ก ภาพเหล่านั้นเผยให้เห็นชัดเจนว่าเขาสวมนาฬิกา 2 เรือนซ้อนบนข้อมือเดียวกัน เรือนแรกคือ Rolex Submariner Ref. 6536 หรือ 5513 ในยุคสมัยที่ยังเป็น tool watch อย่างแท้จริง (mid-1950s – 60s) ที่สร้างขึ้นเพื่อโลกใต้น้ำ มักถูกใช้โดยนักปฏิบัติการทางทหาร, หน่วยรบพิเศษ, และนักปฏิวัติอย่าง Fidel Castro เรือนที่สองคือ ROLEX DAY-DATE ตัวเรือนทองคำ 18k สาย President bracelet ถือเป็น
ครั้งนี้ Panerai ไม่ได้แค่นำชื่อ Marina Militare มาปั๊มบนหน้าปัด แต่พาเราเหินฟ้าขึ้นไปกับ Aviazione Navale, หน่วยการบินของกองทัพเรืออิตาลี ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ Panerai ขยับจากนาฬิกาดำน้ำสู่ aviation division ตัวเรือนของ PAM01699 ขนาด 47mm ผลิตจากไทเทเนียมเกรด 5 ขัดด้าน เบเซลหมุนทางเดียวเป็นไทเทเนียมฝังเซรามิกดำด้านเพิ่มความทนทานขั้นสูงสุด เม็ดมะยมแบบ screw-down พร้อมระบบ Crown Guard ที่หนาแน่น สะท้อนความแข็งแกร่งที่ใช้งานจริง หน้าปัดสีเขียว grainy finish ของ PAM01699 ได้แรงบันดาลใจจากเรือนไมล์ของเครื่องบินรบ เข็มหลักทรงโอเวอร์ไซซ์พ่นด้วย Grey Super-LumiNova เพื่อเรืองแสงอย่างชัดเจนในที่มืด ส่วนชุดมาร์กเกอร์ชั่วโมงถูกออกแบบให้เป็นทรงกลมทั้งหมด ยกเว้นตำแหน่ง 12 นาฬิกาที่เน้นด้วยมาร์กเกอร์ทรงแท่ง (baton) ทำหน้าที่เป็นจุดนำสายตา และช่วยให้ผู้สวมใส่สามารถระบุทิศทางของหน้าปัดได้ทันทีในทุกมุมมอง แม้ในสภาพแสงต่ำหรือขณะปฏิบัติภารกิจเร่งด่วน ฝั่งขวามี pusher สำหรับจับเวลาถอยหลังระดับนาทีผ่านเข็ม central chronograph minute hand
หลายคนเคยได้ยินเรื่องเล่าว่า นาฬิกา Cartier รูปทรงที่บิดเบี้ยวเพราะไฟไหม้จากอุบัติเหตุรถยนต์ กลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ Jean-Jacques Cartier สร้าง Crash ออกมา หรืออีกเรื่องเล่าที่ว่ามันมาจากนาฬิกาในภาพเขียนของ Salvador Dalí “The Persistence of Memory (1931)” ฟังดูเป็นเรื่องโรแมนติกดีใช่ไหม? แต่น่าเสียดายที่มันไม่ใช่เรื่องจริง ความจริงคือ Cartier Crash เกิดจาก “การออกแบบอย่างตั้งใจ” Jean-Jacques Cartier และดีไซน์เนอร์ Rupert Emmerson จงใจหยิบ Cartier Baignoire ดีไซน์ทรงรี (oval) ที่เรียบหรู เอามาบิดให้เบี้ยวอย่างตั้งใจกลายเป็น Cartier Crash ตาม request ของ Stewart Granger ดาราชื่อดังชาวอังกฤษ ซึ่งเป็นช่วง Swinging sixties ที่มีการปฏิวัติทางวัฒนธรรมอย่างกว้างขวางในช่วงยุค ’60s – 70s พูดเหมือนง่าย แต่วิธีทำ Cartier
โลกของ Patek Philippe เคยสงบ เรียบหรู และอยู่สูงเกินเอื้อม เป็นโลกของทองคำ ความบางเฉียบ และความซับซ้อนในเชิงช่างที่ไร้ที่ติ จนกระทั่งปี 1976 — พวกเขารู้ตัวว่าถ้าไม่เปลี่ยนอะไรซักอย่าง อาจจะโดนแบรนด์ที่เคลื่อนไหวไวกว่าอย่าง Audemars Piguet ทิ้งห่างไปแบบถาวร Nautilus จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 ด้วยรหัส Ref. 3700/1 โดย Genta คนเดิม ชายผู้เปลี่ยนทั้งโลกของนาฬิกาหรูด้วยปลายปากกาชั่วข้ามคืน และครั้งนี้ ภายใน 5 นาที Nautilus จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 1976 ด้วยรหัส Ref. 3700/1 ชายผู้เปลี่ยนทั้งสองแบรนด์ด้วยปลายปากกาภายในเวลาไม่กี่ปี Genta ให้สัมภาษณ์ในภายหลังว่า ดีไซน์ไอเดียของ Nautilus เกิดขึ้นระหว่างที่เขานั่งอยู่ในร้านอาหารของโรงแรมแห่งหนึ่ง เขาหันไปเห็นผู้บริหาร Patek Philippe กำลังทานข้าวอยู่ในอีกมุม ว่าแล้วก็เกิดไอเดีย บรรเลงแบบร่างลงในกระดาษเช็ดปากตรงนั้นจนเสร็จภายใน 5 นาที ไอเดียของ Nautilus คือการผสมความ sport