ถ้ามีคนเอาเสื้อเอวลอยมาให้ คุณจะใส่ไหม ? UNLOCKMEN คิดว่าผู้ชายเกือบทั้งหมดที่โดนถามด้วยคำถามนี้ต้องตอบปฏิเสธอย่างแน่นอน เพราะเสื้อเอวลอยหรือที่เรียกกันว่า Crop Top ถูกมองว่าเป็นแฟชั่นสำหรับผู้หญิงเอวบางเท่านั้น หรือใส่ได้แค่เวลาไปยิมหรือไปปาร์ตี้ริมสระ แต่เรื่องราวของเสื้อครอปมีอะไรมากกว่านั้น ย้อนรอยสุภาพบุรุษกับเสื้อเอวลอย เสื้อครอปหรือเสื้อเอวลอยถือเป็นแฟชั่นที่อยู่คู่กับมนุษย์มาอย่างยาวนาน แม้ทางทวีปยุโรปจะหันมาเริ่มใส่เสื้อครอปช้ากว่าทางฝั่งอินเดียหรือทางฝั่งตะวันออกที่มีชุดส่าหรีแบบดั้งเดิมอวดเอวกันมาตั้งนานแล้ว จนมาถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 เมื่อชาวตะวันตกซึ่งนิยมสวมใส่เสื้อผ้าหลายชิ้นปกปิดร่างกายเริ่มไม่มีวัตถุดิบมาทำเสื้อผ้า เพราะไม่ว่าอะไรในยุคสงครามก็มีราคาแพงทั้งนั้น ดีไซเนอร์ช่วงนั้นจึงมีข้ออ้างเล็ก ๆ ใช้แหวกขนบธรรมเนียมเดิมตัดเสื้อผ้าอวดผิวกายและมัดกล้ามกันบ้าง และเสื้อครอปก็เดินทางมาถึงช่วงพีคในยุคสมัยแห่งความวินเทจอย่างช่วงปี 70-80 ซึ่งถูกเรียกว่ายุคทองของฮิปปี้สู่รอยต่อของวัฒนธรรมป๊อป เพื่อสำรวจว่าเสื้อเอวลอยมันเป็นแฟชั่นสำหรับผู้หญิงเท่านั้นจริงหรือไม่ จากหลักฐานข้อมูลที่เราพบยืนยันว่าเหล่าวัยรุ่นขาฮิปทั้งชายหญิงต่างก็มีเสื้อครอปเป็นของตัวเองกันทั้งนั้น ว่ากันว่าจุดเริ่มต้นของการใส่เสื้อ Crop Top ของผู้ชายยุคบุปผาชนปี 1970 ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นมาจากนักแสดงชายชื่อดังหรือแฟชั่นไอคอนคนไหนเลย แต่มีจุดเริ่มต้นมาจากนักกีฬายกน้ำหนักคนหนึ่งที่หงุดหงิดเวลาสวมใส่เสื้อผ้าพอดีตัวแล้วยกเวทไม่สะดวก บางครั้งก็ติดแขน บางทีชายเสื้อก็สีกับผิวช่วงหน้าท้อง เพื่อตัดปัญหารำคาญใจนี้เขาจึงเอาเสื้อไปตัดให้สั้นขึ้น แต่กลายเป็นว่าความรำคาญของเขากลับได้รับความนิยมในวงกว้างเสียอย่างนั้น ส่วนทางฝั่งผู้หญิงก็สวมใส่เสื้อเอวลอยด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อไอคอนแห่งวัฒนธรรมอย่าง Cher ก็สวมใส่เสื้อครอป สาว ๆ จึงก็หาเสื้อสั้นเต่อมาใส่เลียนแบบคนดังที่ตัวเองชื่นชอบ ถัดมาจากยุค 70 กระแสแฟชั่นเริ่มเปลี่ยนเมื่อโลกเข้าสู่ช่วง 1980 แฟชั่นสไตล์แอโรบิกเริ่มเข้ามามีอิทธิพลกับเหล่าวัยรุ่น ตีคู่มากับเสื้อสั้น ๆ ที่ราชาและราชินีแห่งวงการเพลงป๊อปอย่าง Michael
พาหนะอะไรที่สามารถทำให้เราเห็นผู้คนจำนวนมากได้ในคราวเดียว ? หากมีคนถามแบบนี้คำตอบที่ได้ก็คงหนีไม่พ้นระบบขนส่งสาธารณะอย่างรถเมล์และรถไฟที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน แต่ในความวุ่นวายก็ทำให้เราได้เห็นสไตล์ที่แตกต่างของผู้คน บางวันเราอาจเจอคนที่แต่งตัวเหมือนกัน 10 คน ยืนอยู่บนชานชาลา หรือเมื่อวานก็อาจเห็นแฟชั่นโคตรเท่จากชายที่ยืนฟังเพลงอยู่ในรถไฟฟ้า เพราะสถานีรถไฟกลายเป็นแหล่งรวมคนมากมาย ทำให้มีเรื่องราวหลากหลายเล่าสู่กันฟังผ่านเครื่องแต่งกายที่สามารถบอกว่าไอเทมชิ้นไหนฮิต หรือสไตล์ไหนที่ได้รับความนิยม UNLOCKMEN จึงอยากพาย้อนไปสถานีรถไฟใต้ดินใจกลางมหานคร New York ยังวันเก่าก่อนที่สไตล์ไม่เคยหลุดวงโคจรแฟชั่นไปไหนแฟชั่นช่วงปลายยุค 70 ไปจนถึงช่วงต้นของยุค 80 อันแสนจัดจ้านเป็นตัวของตัวเอง FASHION x MUSIC in NYC 70-80s แฟชั่นผ่านภาพถ่ายแสดงให้เห็นถึงความชอบและวิถีชีวิตของชาว New York ช่วงปี 1977-1984 โดยช่างภาพชาวที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่นาม Willy Spiller เขาบันทึกการเดินทางบนรถไฟผ่านภาพถ่ายทั้งช่วงเวลาเร่งด่วนผู้คนอัดแน่นอยู่เต็มขบวนรถไฟฟ้า ไปจนถึงกลางดึกที่สถานีใกล้ได้เวลาปิดทำการ และการถ่ายภาพของเขากว่า 40 ปี เขาเริ่มถ่ายภาพปี 1977 ช่วงปลายของยุค 70 อันโดดเด่นด้วยสไตล์ของ Disco ของเหล่าศิลปินชื่อดังอย่าง Bee Gees หรือ ABBA เพราะการออกไปพบปะผู้คนในบาร์ Disco จึงทำให้เสื้อผ้ายอดฮิตช่วงเวลานั้นคงหนีไม่พ้นเสื้อผ้าพลิ้ว
บรรดาคู่รักที่มีอยู่มากมายบนโลกทั้งคู่รักดารา คู่รักนักการเมือง คู่รักที่เป็นชาวบ้านธรรมดากับสายลับที่ชีวิตจริงเข้าตาใครหลายคนถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ แต่คงไม่มีเรื่องราวของคู่รักไหนจะแสบ เต็มไปด้วยความวุ่นวายเคล้าความโรแมนติกและจัดจ้านด้านแฟชั่นได้มากไปกว่า Bonnie และ Clyde อีกแล้ว ด้วยความเท่เปี่ยมด้วยสไตล์ของ Bonnie กับ Clyde คู่รักนักปล้นอันแสนโด่งดังแห่งอเมริกาที่โดดเด่นสะดุดใจทั้งเรื่องเล่าสะดุดตาทั้งเครื่องแต่งกาย UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปทำความรู้จักกับพวกเขาตั้งแต่วัยเด็ก เห็นแนวคิด ชีวิต และแฟชั่นระหว่างการหลบหนีตำรวจ ที่หลอมรวมให้ทั้งคู่มีชื่อเสียงจนถึงทุกวันนี้ ก่อนการพบกันของ BONNIE และ CLYDE Bonnie Parker และ Clyde Barrow ก่ออาชญากรรมราวสองปีตั้งแต่ 1932-1934 ช่วงเวลาก่อนที่พวกเขาจะพบกันต่างชีวิตไม่ต่างจากเด็กทั่วไปในอเมริกา Clyde Barrow เด็กชายชีวิตแสนธรรมดาจากรัฐ Texas ลาออกจากโรงเรียนเพื่อทำตามความฝันของเองในวัย 16 ปี เขาชื่นชอบการเล่นแซ็กโซโฟนและกีตาร์ ใฝ่ฝันถึงการเป็นนักดนตรี แต่บ้านจนจึงต้องพับความฝันทางดนตรีเปลี่ยนมาลักเล็กขโมยน้อยร่วมกับพี่ชายแทน ส่วนของที่ขโมยก็ค่อนข้างสะเปะสะปะ เพราะขโมยเงิน ขโมยรถ หรือแม้กระทั่งขโมยไก่แถวบ้านมาเต็มคันรถ ส่วน Bonnie Parker เป็นเด็กสาวจากรัฐ Texas เช่นเดียวกับ Clyde เธอเติบโตในครอบครัวที่มีฐานะทางการเงินดี จนวันหนึ่งชีวิตดันพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเมื่อพ่อที่เป็นเสาหลักของครอบครัวเสียชีวิตลง
ภาพถ่ายคือการเก็บเรื่องราวในช่วงเวลาที่เราลั่นชัตเตอร์เพื่อเป็นตัวแทนของความทรงจำ ช่วงเวลา หรือแม้แต่ชั่วขณะหนึ่งของผู้คนตรงหน้า แท้จริงแล้วภาพถ่ายไม่ได้เป็นเพียงแค่ไทม์แคปซูลเท่านั้น แต่ยังสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่าง ๆ มากมายนับไม่ถ้วน Richard Sandler คือช่างภาพชาวอเมริกันผู้ชื่นชอบถ่ายภาพแนวสตรีทและเป็นผู้กำกับสารคดีชื่อดัง เขามีผลงานมากมายเผยแพร่อยู่ทั่วเมืองนิวยอร์ก ไม่ว่าจะไปห้องสมุดสาธารณะ มหาวิทยาลัยแอริโซนา พิพิธภัณฑ์นิวยอร์ก หรือสมาคมประวัติศาสตร์นิวยอร์ก ก็จะต้องพบเห็นผลงานภาพถ่ายของเขาอยู่เสมอ ริชาร์ดกับเพื่อนนักเขียนของเขาเกิดความคิดที่จะรวบรวมรูปถ่ายจำนวนกว่า 200 รูป มาทำเป็นสมุดภาพ บอกเล่าเรื่องราวบนถนนย่านบอสตันในกรุงนิวยอร์กช่วงปี 1977 -2001 ผ่านหนังสือชื่อว่า The Eyes of the City ที่สะท้อนให้เห็นถึงอะไรหลาย ๆ อย่างได้อย่างไม่น่าเชื่อ ในมุมของแฟชั่น ภาพถ่ายเหล่านี้ได้สะท้อนถึงชีวิตเหล่าชายหนุ่มกลางนครนิวยอร์กที่มักแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าโทนสีเข้ม และนิยมใส่หมวกกันอยู่บ่อย ๆ นั่นเป็นเพราะอิทธิพลจากศิลปินชายที่โด่งดังในช่วงเวลานั้นอย่างไมเคิล แจ็คสัน แฟชั่นไอคอนมาแรงที่ไม่ว่าเขาจะสวมใส่อะไรผู้คนก็มักทำตาม อย่างเช่นหมวกทรง Panama ที่ MJ ใส่ในเพลง Billie Jean ก็ทำให้ชายหนุ่มนิยมสวมหมวกกันอย่างแพร่หลาย นอกจากหมวกสไตล์ Panama ที่หนุ่ม ๆ ฮิตใส่กันแล้ว แฟชั่นของผู้สูงอายุก็นิยมใส่หมวกด้วยเช่นกัน แต่จะเป็นหมวก Flat