เมื่อภาพยนตร์ที่บอกเล่าเรื่องราวของวงการฮอลลีวูดช่วงปี 1969 อย่าง Once Upon A Time In Hollywood (2019) กลายเป็นกระแสที่ถูกพูดถึงอยู่เรื่อย ๆ เริ่มตั้งแต่ช่วงถ่ายทำภาพยนตร์ จนเมื่อหนังฉาย กระทั่งล่วงเลยมาถึงเทศกาลประกาศรางวัลใหญ่ที่ทุกคนรู้จักกันในชื่อ Oscars ประจำปี 2020 ภาพยนตร์ผลงานการกำกับของ เควนติน แทแรนติโน (Quentin Tarantino) ก็ยังคงอยู่ในกระแสสังคมไม่จางหาย สิ่งที่ UNLOCKMEN สนใจใน Once Upon A Time In Hollywood มีมากมาย ทั้งประเด็นหลักที่นำมาเล่าในเรื่อง นักแสดงโคตรดัง ชื่อเสียงของผู้กำกับ ไปจนถึงเรื่องเพลงประกอบภาพยนตร์ เราสนใจแทบทุกอย่างในหนังเรื่องนี้ รวมไปถึงแฟชั่นคูล ๆ ของสองนักแสดงนำอย่าง ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ในบทริค ดาลตัน และแบรด พิตต์ (Brad Pitt) ในบทคลิฟฟ์ บูธ ที่ทำให้เห็นว่า
สำหรับหนุ่ม ๆ ช่วงอายุ 25 ปีขึ้นไป จำนวนไม่น้อยต่างก็ต้องเคยได้ยินหนังชื่อว่า ‘โหด เลว ดี’ หนังฮ่องกงจากปี 1986 กันมาบ้าง บางคนอาจแค่เคยได้ยิน บางคนเคยดูแล้วก็เลือนหายจากความทรงจำไปตามกาลเวลา แต่เราเชื่อว่าต้องมีอย่างน้อยสักหนึ่งคนแน่ ๆ ที่จดจำเรื่องราวของ ‘อาเห่า’ ‘อาเฉีย’ และ ‘เสี่ยวหม่า’ ได้แม่นเหมือนเพิ่งนั่งดูโหด เลว ดี เมื่อวานนี้ คำบอกเล่าจากปากคนรุ่นก่อนที่เราได้ยินบ่อย ๆ การันตีความโด่งดังรวมถึงความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนี้ คงไม่ต้องพูดถึงคำวิจารณ์และรายได้ที่ใครต่างก็รู้ว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม แต่ UNLOCKMEN ไม่ได้มาพูดถึงเบื้องหลังที่ใครเขาเคยพูดมาซ้ำ ๆ เราจะเล่าถึงการแต่งตัวที่ทำให้เกิดกระแส มองภาพรวมแฟชั่นของตัวละครในเรื่องโหด เลว ดี ว่าทำไมการแต่งตัวเห็นแล้วชวนเหงื่อแตกที่หลายคนมองว่าเชยในเรื่องถึงยังมีให้เห็นจนถึงปัจจุบัน ‘เสี่ยวหม่า’ แฟชั่นไอคอนของสุภาพบุรุษยุค 80 เรื่องราวของภาพยนตร์โหด เลว ดี เกิดขึ้นมาจากความคิดที่ต้องการนำเสนอมุมมองทางการเมืองผ่านหนังของผู้กำกับ จอห์น วู ที่บังเอิญเจอกับฉีเคอะจนกลายมาเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังเรื่องนี้ พวกเขามองว่าคนหนุ่มสาวในช่วงเวลานั้นต้องการศรัทธา พวกเขาสับสน เลยอยากเล่าเรื่องราวของ Gangster ให้กลายเป็นสัญลักษณ์ต่อต้านเผด็จการ ทั้งที่กฎเหล็กของพวกนักเลงในเวลาเดียวกันก็คล้ายกับเผด็จการ
หลังจากก่อนหน้านี้เกิดข่าวลือมากมายเกี่ยวกับภาคต่อของหนัง Sci-Fi ที่คนทั่วโลกรู้จักอย่าง The Matrix ว่าจะสร้างภาคต่อหลังจากห่างหายไปนานถึง 20 ปี หลายสำนักข่าวคาดเดาไปต่าง ๆ นา ๆ จนเกิดข่าวลือว่าจะมีตัวละครเอกเป็นชายผิวสีบ้าง หรือข่าวว่าสองพี่น้อง Wachoski จะกลับมาเขียนบทและกำกับอีกครั้งจนทำให้แฟน ๆ The Matrix ทั่วโลกหัวหมุนไปตาม ๆ กันว่าอะไรคือความจริงกันแน่ ท้ายที่สุดก็ได้รับการยืนยันกันเสียทีว่า The Matrix ภาค 4 จะถูกสร้างอย่างแน่นอนในปี 2022 แถมยังมีโอกาสสูงมาก ๆ ที่พระเอกของเรื่องอย่าง Keanu Reeves กลับมารับบทเป็น Neo อีกครั้ง และในตอนนี้โรงภาพยนตร์ของประเทศไทยก็นำหนังเรื่องนี้กลับเข้ามาฉายอีกครั้งด้วยความชัดระดับ 4K ทำให้ UNLOCKMEN ไม่พลาดหยิบแฟชั่นจากเรื่อง The Matrix มาเล่าสู่กันฟังเผื่อหนุ่ม ๆ คนไหนอยากจะแต่งตัวสไตล์นี้ไปดูหนังในโรงภาพยนตร์ THE MATRIX’S STYLE The Matrix ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี
“เป็นเมียเราต้องอดทน” “แถวนี้แม่งเถื่อน ไม่แน่จริงอยู่ไม่ได้” “ปืนถ้าจะยิงต้องยิงให้ตาย ถ้ามันไม่ตาย เราตาย” วัยรุ่นสมัยนี้หลายคนอาจไม่ทันได้ดูภาพยนตร์แอ็กชันดราม่าในตำนานของไทยอย่าง 2499 อันธพาลครองเมือง (1997) ที่มีชื่อภาษาอังกฤษเท่ ๆ ว่า Dang Barely’s and Young Gangsters แต่ก็คงเคยได้ยินวลีเด็ดจากหนังดังที่ยังคงถูกพูดถึงมาจนปัจจุบัน รวมถึงจำว่าหนังเรื่องนี้คือหนังแจ้งเกิดของพระเอกตลอดกาลอย่าง ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ ผลดี ด้วยความเท่ที่ทำให้เราชวนคิดถึงเรื่องราวแสนใกล้ตัวโดยไม่ต้องไปมองหาไกลจากไหน UNLOCKMEN จึงอยากพาทุกคนไปสำรวจกับแฟชั่นจากภาพยนตร์เรื่อง 2499 อัธพาลครองเมือง ภาพยนตร์สุดฮิตจากวันเก่าก่อนของยุคพ่อที่ทำให้เราได้เห็นแฟชั่นสไตล์วินเทจชวนคิดถึง 2499 อันธพาลครองเมือง สมัยกรุงเทพฯ ยังถูกเรียกว่าพระนคร ก่อนปีพ.ศ. 2500 ช่วงเวลาอันเต็มไปด้วยเหล่าอันธพาล ‘ขาโจ๋’ กับ ‘โก๋’ ที่คนทั่วไปเรียกมีอยู่ทั่วเมือง พวกเขาจะมีกลุ่มก้อนเป็นของตัวเองและใช้อิทธิพลครอบครองตามเขตต่าง ๆ ของพระนคร พวกเขาไม่เกรงกลัวกฎหมาย ไม่กลัวตาย พร้อมสู้กับทุกคนที่คิดขวางทาง เรื่องราวทั้งหมดของ 2499 อันธพาลครองเมืองจะถูกเล่าผ่านเปี๊ยก วิสุทธิ์กษัตริย์ เมื่อพระนครเต็มไปด้วยชาวแก๊งพร้อมกับวัฒนธรรมจากโลกตะวันตกเข้ามากระทบกับวิถีชีวิตของคนไทย ประเทศรอบข้างไทยก็กำลังมีสงครามเวียดนามกับสหรัฐฯ ค่านิยมใหม่และความรุนแรงขยับเข้าสู่สังคมไทย เด็กหนุ่มลูกของโสเภณีตรอกไบเล่ย์นามว่า แดง จึงตั้งตัวเป็นหัวหน้าแก๊งอันธพาลย่านหัวลำโพงด้วยการฆ่าเฮียหมาซึ่งเป็นนักเลงในย่านเดียวกันได้สำเร็จ
สำหรับผู้ชายที่เติบโตมากับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่คงไม่มีใครไม่รู้จักตัวละครจาก X-Men ที่ชื่อว่า Logan และมีฉายาว่า Wolverine อย่างแน่นอน เพราะเราเห็น Hugh Jackman สวมบทเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังพิเศษสามารถเยียวยาบาดแผลได้รวดเร็ว จมูกไว หูดี มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า รวมถึงกรงเล็บเหล็กทำจาก Adamantium ที่ได้มาจากการทดลองเถื่อน บุคลิกห่าม ๆ ของตัวละครและคาริสม่าของ Hugh Jackman ทำให้ใครหลายคนจดจำตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวละครนี้ถือเป็นฮีโร่ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน รวมถึงแฟชั่นหลายยุคสมัยตั้งแต่หนุ่มจนถึงวาระสุดท้ายของเขาที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับสไตล์ของชายคนนี้ไปพร้อมกัน การปรากฏตัวของ Logan ในโลกภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2000 ในภาพยนตร์รวมทีมฮีโร่มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men (2000) พาเราไปทำความรู้จักกับนักสู้ใต้ดินไร้ความทรงจำ แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นคนที่มีส่วนช่วยโลกให้พ้นภัย หลายคนคาดเดาว่า Logan ฉบับหนังอาจเกิดปี 1837 เพราะภาค X-Men Origins: Wolverine (2009) เขาเป็นทหารร่วมรบอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ราวปี 1914 ต่อมาได้ช่วยชีวิตทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่นไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองนางาซากิ ในปี 1945
หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงไม่พลาดดูซีรีส์ตีแผ่วงการหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นยุค 80 กับเรื่อง The Naked Director จากช่อง Netflix เพื่อล้วงลึกและเข้าใจถึงโลกของการทำหนัง AV ที่เหนือจินตนาการ ทว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง AV แต่จะพูดถึงแฟชั่นแสนสะดุดตาของ Muranishi Toru พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แฟชั่นยอดนิยมของชายหนุ่มช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร คนญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวแบบไหน รับวัฒนธรรมการแต่งตัวมาจากใคร เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สไตล์การแต่งตัวของราชาหนังเอวีโดดเด่นไม่แพ้ใครในเรื่อง ความเนี้ยบและลุคสุดทางการตั้งแต่หัวจรดเท้าคือสิ่งสำคัญของผู้ชายญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคิดเสมอว่าการก้าวออกจากบ้านจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบและพร้อมเสมอสำหรับทุกสถานการณ์ จึงทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่จะแต่งตัวเคร่งเครียดคล้ายกันไปเสียหมด หลายครั้งที่มีคนพยายามหาคำตอบเรื่องความเนี้ยบที่ทำกันจนเคยชินของคนญี่ปุ่นว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน คำตอบที่ได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังกันมานาน หรือค่านิยมของการให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คำนึงถึงการแต่งตัวให้เหมาะสมเวลาจะออกจากบ้าน ว่ากันว่าแฟชั่นจะเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ หลังจากปี 1945 ที่ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สูญเสียทั้งประชากร เมือง เงิน เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ช่วงหลังสงครามโลกญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไรเหลือเลยนอกจากซากปรักหักพัง ตอนนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศสนใจการแต่งตัวก่อนเรื่องปากท้องอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนที่อยู่รอดจะต้องเอาตัวรอดให้ได้พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวต่อไป และกว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปช่วงปลายโชวะ ระหว่างรอยต่อของต้นยุคเฮเซ (1986-1991) กว่าหลายสิบปีญี่ปุ่นเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เขยิบขึ้นมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ