แม้หลายคนจะยอมรับได้แล้วว่า “ชีวิตไม่ยั่งยืน” ยังไงสักวันหนึ่งเราก็ต้องตายจากคนที่เรารักไป แต่ในใจของเรากลับพยายามหนีจากความตายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เพราะมนุษย์จะกลัวความตายเป็นธรรมชาติ เราเลยพยายามใช้ชีวิตกันอย่างระมัดระวังที่สุด เพื่อให้ชีวิตของตัวเองยืนยาว ซึ่งเป็นเรื่องที่เฮลตี้ แต่บางคนอาจได้รับผลกระทบจากความกลัวมากเกินไป จนไม่สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ซึ่งเดี๋ยวเราจะอธิบายในช่วงท้ายของบทความว่าจะมีวิธีอะไรบ้างในการรับมือกับ ‘อาการกลัวความตาย’ มากเกินไปเพื่อให้เรากลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้ดั่งเดิม ที่มาที่ไปของอาการกลัวตาย อาการกลัวตาย (หรือ thanatophobia) เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงตั้งแต่สมัย ซิกมันด์ ฟรอยด์ แล้ว และมีความชัดเจนมากขึ้น เมื่อ เอิร์นเนส เบกเกอร์ มนุษยวิทยา ได้เสนอว่า มนุษย์ทุกคนกลัวตาย เพราะไม่สามารถยอมรับความคิดเกี่ยวกับการตายหรือความตายได้ จนเป็นที่มาของทฤษฎี Terror Management Theory (TMT) ซึ่งอธิบายว่า มนุษย์ต้องต่อสู้กับความขัดแย้งภายในตัวเองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความขัดแย้งว่านี้ คือ ความขัดแย้งระหว่างความปราถนาที่จะมีชีวิตอยู่ และการรับรู้ว่าความตายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การรับรู้ว่าสักวันหนึ่งเราต้องตาย กระตุ้นให้มนุษย์พยายามรักษาความเชื่อหรืออุดมการณ์ของตัวเองไว้อย่างหนาแน่น เพราะสิ่งเหล่านี้ทำให้พวกเรารู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีความหมาย เลยจำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมัน นอกจาก TMT แล้วยังมีทฤษฎีอื่น ๆ ที่พยายามอธิบายอาการกลัวตายเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น Separation Theory ที่พยายามชี้ว่า ประสบการณ์ในวัยเด็กส่งผลต่ออาการกลัวความตายในวัยผู้ใหญ่
“รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง” แทบไม่อยากจะเชื่อว่าประโยคข้อคิดของ “ซุนวู” นักปราชญ์ผู้เขียนตำราพิชัยสงครามซุนจื่อ อันเป็นตำรายุทธศาสตร์ทางทหารที่มีอิทธิพลมากของจีน จะสามารถนำมาปรับใช้ในเชิงธุรกิจหรือแม้แต่ในชีวิตจริงของใครหลายคนได้ ยิ่งเราเรียนรู้ข้อมูลของคู่แข่งมากเท่าไร ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสในการเอาชนะพวกเขาได้มากขึ้นเท่านั้น เช่นเดียวกับในชีวิตจริงที่ต่อให้คุณจะเจอกับความล้มเหลวและผิดพลาดมากสักแค่ไหนก็ตาม มันกลับแปลว่าคุณเริ่มเข้าใกล้ความสำเร็จและเป้าหมายที่ตั้งไว้เบื้องหน้ามากขึ้นทุกที ถึงจะทราบดีว่าหนทางแห่งความสำเร็จนั้นมีอุปสรรคและความล้มเหลวมาคอยขัดขวาง แต่ต้องยอมรับว่าความล้มเหลวที่เกิดขึ้นแต่ละครั้งบั่นทอนกำลังใจของผู้ชายเราไปไม่น้อยเลย วันนี้ UNLOCKMEN เลยมาบอก 3 กลยุทธ์ที่จะทำให้คุณ ‘เลิกกลัวความล้มเหลวในชีวิต’ และมุ่งหน้าสู่ความสำเร็จที่ตั้งไว้โดยไร้กังวล เปลี่ยนความคิด กลยุทธ์แรกในการเอาชนะความล้มเหลวคือต้องเปลี่ยนแปลงความคิด จากที่จดจ่ออยู่กับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น ให้คิดเสียว่ามันเป็นการเรียนรู้แบบต่อเนื่องและเปลี่ยนความพ่ายแพ้ให้กลายเป็นโอกาสใหม่ของการเรียนรู้ ความผิดพลาดและความล้มเหลวในอดีตจะช่วยให้คุณมีประสบการณ์ และสร้างภูมิคุ้มกันที่ช่วยให้คุณแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้ดีกว่าคนที่ไม่เคยพลาดกับเรื่องอะไรสักครั้งในชีวิต ตั้งค่าความกลัว อีกกลยุทธ์ที่จะเอาชนะความล้มเหลวคือการตั้งค่าความกลัว โดยจินตนาการถึงความล้มเหลวที่คุณกลัวที่สุดในชีวิตหรือสถานการณ์เลวร้ายที่ยากจะรับมือ จากนั้นให้ลองคิดวิธีการป้องกันสิ่งที่คุณไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริงนั้น กลยุทธ์นี้จะช่วยให้คุณเลิกกลัวความล้มเหลวและพร้อมรับมือสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน เพราะคุณได้คิดขั้นตอนการแก้ไขปัญหาเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว เข้าใจความล้มเหลว ความล้มเหลวถือเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตหรือหนึ่งส่วนของความสำเร็จเลยก็ว่าได้ แม้แต่ชายที่ประสบความสำเร็จระดับโลก ก็เคยพลาดพลั้งและล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น แต่พวกเขายอมที่จะล้มเหลวเพื่อเรียนรู้และเข้าใจดีว่ามันเป็นเรื่องปกติของชีวิต บางครั้งทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามแผนที่เราวางไว้เสมอ แต่เมื่อคุณเข้าใจสัจธรรมแห่งความล้มเหลว คุณจะมองเห็นความล้มเหลวเบื้องหน้าเป็นอีกเส้นทางที่จะพาคุณไปเหยียบเส้นชัยที่เรียกว่าความสำเร็จ แม้แต่ Steve Jobs พ่อของสถาบัน Apple ยังเคยล้มเหลวกับการลงทุนธุรกิจคอมพิวเตอร์ Lisa ในปี 1983 เขาผิดหวัง ท้อแท้ และล้มลุกคลุกคลานไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไป แต่เขากลับลุกยืนอีกครั้งอย่างกล้าหาญ เดินต่อ และเอาชนะความล้มเหลวในอดีต
ชีวิตที่ราบเรียบไร้อุปสรรคคงเป็นชีวิตในอุดมคติที่ใคร ๆ ต่างก็อยากมี แต่เพราะชีวิตจริงเราไม่สามารถมีชีวิตแบบนั้นได้ เรามีทั้งอุปสรรค ทั้งความกล้า ความกลัว สารพัดความรู้สึกที่เราต้องงัดออกมาสู้เมื่อต้องเผชิญกับความกลัวที่มีต่ออุปสรรคของชีวิตหรือความกลัวอะไรก็ตามที่เข้ามากระทบกับความรู้สึกของเรา UNLOCKMEN จะพามาชำแหละความกลัวและแนะแนวทางว่าจะสู้หรือจะหนีตามสไตล์ของแต่ละคน เมื่อคุณรู้สึกกลัวขึ้นมา ต่อมทอนซิลของคุณจะตอบสนองกับอาการกลัว และการตัดสินใจว่าจะสู้หรือจะหนี มันจะส่งสัญญาณไปที่ต่อม hypothalamus ที่ตอบสนองกับข้อมูลที่เรารับมาจากสมอง มันทำงานร่วมกับระบบประสาท มันเลยทำให้เรารู้สึกกลัวเวลาเราตกอยู่ในอันตราย เรามักจะตอบสนองสัญญาณของความกลัวในสองรูปแบบคือ “สู้หรือถอย” เมื่อคุณถือไพ่เหนือกว่า คุณตัดสินใจได้แบบทันที แทบไม่ต้องหยุดคิดด้วยซ้ำ สมองจะบอกให้คุณอยู่ต่อและสู้กับสิ่งที่อยู่ข้างหน้า หลุมพลางของการหลีกหนี เมื่อร่างกายตกอยู่ในอันตราย สมองจะสั่งให้คุณหนีโดยอัตโนมัติเพื่อรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้ การหนีไม่ใช่เรื่องแย่เสมอไป เพราะมันคือการรักษาชีวิตของเราโดยสัญชาตญาณ คนที่เลือกหนีเขามักจะยอมแพ้ได้ง่ายตั้งแต่ช่วงแรก ๆ ของปัญหา และข้ามไปแก้ปัญหาอื่น ๆ แทน (เพราะรู้ว่าอันนี้ตัวเองแก้ไม่ได้) เหมือนคนที่วิ่งหนีปัญหายาก ๆ เพราะคิดว่าตัวเองจะจัดการกับมันไม่ได้ เราอาจจะกลัวจนอยากจะหนีกับสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้ หรือบอกตัวเองว่าไม่สามารถข้ามผ่านเรื่องราวยาก ๆ เหล่านั้นได้ เมื่อคิดแบบนี้ความเฟลนอนรอเราอยู่ข้างหน้าแน่นอน เพราะเมื่อคุณไม่เชื่อว่าตัวเองสามารถทำได้ คุณก็ไม่อยากสู้ ไม่รู้จะเอาพลังที่ไหนมาผลักดันศักยภาพตัวเองให้ออกมาเต็มที่ อย่าให้การเผชิญหน้าเป็นแค่ทางเลือก คุณอาจมีแรงกระตุ้นให้วิ่งหนีบางสิ่งเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างที่บอกไปข้างต้น แต่เราสามารถเปลี่ยนความคิดตัวเองได้ ถ้าหากต้องเผชิญกับเรื่องยาก ๆ อีกในครั้งต่อไป ลองบอกตัวเองให้สู้ ปลุกตัวเองด้วยพลังบวกแทนที่ความคิดลบ ๆจากข้างในว่าตัวเองทำไม่ได้
ความกลัว ความวิตกกังวล และสารพัดอารมณ์ด้านลบในชีวิตเป็นสิ่งท้าย ๆ ที่มนุษย์อย่างเราอยากเผชิญ คงจะดีไม่น้อยถ้าเรามีวิธีจัดการกับอารมณ์แย่ ๆ ของตัวเองที่อัดแน่นจวนระเบิดได้อย่างอยู่หมัด ไม่ต้องฝันถึงวิธีการที่ว่าอีกต่อไป เมื่อนักวิจัยค้นพบว่ามันมีวิธีจัดการอารมณ์แย่ ๆ ที่วนเวียนอยู่ในตัวเราได้จริง แค่ขอกระดาษ ปากกา และเวลาอยู่กับตัวเองแบบโฟกัส ๆ เพียง 30 วินาทีเท่านั้น เมื่อศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาอย่าง Matthew Lieberman ได้เป็นผู้นำในการทำงานวิจัยที่ชื่อว่า Putting Feelings Into Words: Affect Labeling Disrupts Amygdala Activity in Response to Affective Stimuli. โดยการทำการทดลองดูภาพในสมองของมนุษย์เมื่อมนุษย์เกิดความกลัว วิธีการก็คือ เขาให้กลุ่มตัวอย่างเผชิญหน้ากับความรู้สึกกลัวของตัวเอง จากนั้นก็บอกให้พวกเขาค่อย ๆ หยิบกระดาษกับปากกา มาค่อย ๆ คิดว่าความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองนั้นคือความรู้สึกอะไร แล้วก็เขียนลงไป ระหว่างการทดลอง ผู้เข้าร่วมอาจต้องเจอภาพที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัว 10 ภาพ แต่ละภาพพวกเขาก็ต้องเขียนลงไปให้ชัดเจนว่ารู้สึกอะไรกับมันกันแน่ ถ้านึกภาพไม่ออก UNLOCKMEN อยากให้ลองคิดว่า