สำหรับผู้ชายที่เติบโตมากับภาพยนตร์ซูเปอร์ฮีโร่คงไม่มีใครไม่รู้จักตัวละครจาก X-Men ที่ชื่อว่า Logan และมีฉายาว่า Wolverine อย่างแน่นอน เพราะเราเห็น Hugh Jackman สวมบทเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ผู้มีพลังพิเศษสามารถเยียวยาบาดแผลได้รวดเร็ว จมูกไว หูดี มีสัญชาตญาณของสัตว์ป่า รวมถึงกรงเล็บเหล็กทำจาก Adamantium ที่ได้มาจากการทดลองเถื่อน บุคลิกห่าม ๆ ของตัวละครและคาริสม่าของ Hugh Jackman ทำให้ใครหลายคนจดจำตัวละครตัวนี้ได้เป็นอย่างดี เพราะตัวละครนี้ถือเป็นฮีโร่ที่เติบโตมาพร้อมกับใครหลายคน รวมถึงแฟชั่นหลายยุคสมัยตั้งแต่หนุ่มจนถึงวาระสุดท้ายของเขาที่เต็มไปด้วยความน่าสนใจ จึงทำให้ UNLOCKMEN อยากพาทุกคนไปรู้จักกับสไตล์ของชายคนนี้ไปพร้อมกัน การปรากฏตัวของ Logan ในโลกภาพยนตร์เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2000 ในภาพยนตร์รวมทีมฮีโร่มนุษย์กลายพันธุ์ X-Men (2000) พาเราไปทำความรู้จักกับนักสู้ใต้ดินไร้ความทรงจำ แต่จับพลัดจับผลูมาเป็นคนที่มีส่วนช่วยโลกให้พ้นภัย หลายคนคาดเดาว่า Logan ฉบับหนังอาจเกิดปี 1837 เพราะภาค X-Men Origins: Wolverine (2009) เขาเป็นทหารร่วมรบอยู่ในสงครามโลกครั้งที่ 1 ราวปี 1914 ต่อมาได้ช่วยชีวิตทหารหนุ่มชาวญี่ปุ่นไว้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่เมืองนางาซากิ ในปี 1945
ช่วงเวลากว่า 20 ปี ไม่อาจนับได้เลยว่ามีภาพยนตร์ออกฉายไปแล้วทั้งหมดกี่เรื่อง แต่ท่ามกลางหนังจำนวนมากก็มักจะมีฉากจากหนังดังที่ตราตรึงผู้ชมจนทำให้ไม่อาจลืม บางคนจดจำฉากเล็ก ๆ ที่ปรากฏเพียงแค่เสี้ยววินาที ฉากสุดไร้สาระ หรือจำประโยคเด็ดที่ออกจากปากตัวละครที่เท่จนฮิตติดลมบนและกลายเป็นประโยคในตำนานที่ไม่ว่าผ่านมากี่ปี ภาพยนตร์คือการสร้างความทรงจำร่วมกันของผู้ชมทั่วทุกมุมโลก ทำให้เว็บไซต์วิจารณ์และให้คะแนนภาพยนตร์ชื่อดังอย่าง Rotten Tomatoes เกิดไอเดียสนุก ๆ ให้สมาชิกในเว็บไซต์ร่วมกันจัดอันดับ 21 ฉากประทับใจและทรงพลังจนพวกเขาจำได้ไม่ลืมจากหนังที่ออกฉายในช่วง 21 ปีที่ผ่านมาเพื่อดูว่าฉากอะไรในหนังเรื่องไหนที่ทำให้คนดูจดจำได้มากที่สุด และก็มีสมาชิกกว่า 25,000 คน ร่วมลงคะแนนโดยได้อันดับทั้งหมดดังนี้ อันดับ 21 ฉากซูเปอร์คาร์บินข้ามตึกจากเรื่อง Furious 7 (2015) อันดับ 20 ฉากร้องไห้ขณะถ่ายสารคดีจากเรื่อง The Blair Witch Project (1999) อันดับ 19 ฉากเดินข้ามสะพาน Edmund Pettus จากเรื่อง Selma (2014) อันดับ 18 ฉากจบโชว์ของ Satine จากเรื่อง Moulin
หากหนังรักไม่ใช่แนวทางของคุณ ลองมาดูหนัง ‘ไม่รัก’ กันบ้างดีกว่า เมื่อวันที่ 20 สิงหาคมที่ผ่านมา ทาง Netflix ได้ปล่อย Trailer ภาพยนตร์เรื่องใหม่ ‘Marriage Story’ ออกมาให้แฟน ๆ รับชมกันเป็นที่เรียบร้อย หนังเรื่องนี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมาก เพราะได้นักแสดงชั้นนำอย่าง Scarlett Johansson มารับบท Nicole ฝ่ายภรรยา และ Adam Driver มารับบท Charlie ฝ่ายสามี เรียกได้ว่าสลัดภาพ Black Widow แห่งทีม Avengers และ Kylo Ren จาก Star Wars ไปได้เลย เพราะบทบาทของพวกเขาในครั้งนี้ คือสองสามีภรรยาที่กำลังเผชิญปัญหาชีวิตคู่อย่างหนัก จนในที่สุดความไม่ลงรอยของพวกเขา ก็นำไปสู่จุดแตกหักนั่นก็คือ ‘การหย่าร้าง’ หนังมีตัวดำเนินเรื่องเป็นสามีและภรรยา Netflix เลยหัวใส ปล่อย Trailer ออกมาให้ชมถึง 2 ตัว โดยตัวแรกจะเป็นมุมมองที่ Nicole มีต่อ
หนุ่ม ๆ ทั้งหลายคงไม่พลาดดูซีรีส์ตีแผ่วงการหนังผู้ใหญ่ของญี่ปุ่นยุค 80 กับเรื่อง The Naked Director จากช่อง Netflix เพื่อล้วงลึกและเข้าใจถึงโลกของการทำหนัง AV ที่เหนือจินตนาการ ทว่าในวันนี้ UNLOCKMEN จะไม่ได้มาพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหนัง AV แต่จะพูดถึงแฟชั่นแสนสะดุดตาของ Muranishi Toru พร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวในช่วงเวลาดังกล่าวของญี่ปุ่นว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แฟชั่นยอดนิยมของชายหนุ่มช่วงเวลานั้นเป็นอย่างไร คนญี่ปุ่นมีแนวคิดเกี่ยวกับการแต่งตัวแบบไหน รับวัฒนธรรมการแต่งตัวมาจากใคร เพื่อเผยให้เห็นว่าอะไรบ้างที่มีส่วนทำให้สไตล์การแต่งตัวของราชาหนังเอวีโดดเด่นไม่แพ้ใครในเรื่อง ความเนี้ยบและลุคสุดทางการตั้งแต่หัวจรดเท้าคือสิ่งสำคัญของผู้ชายญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นถือเป็นชนชาติที่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวเป็นอย่างมาก เพราะพวกเขาคิดเสมอว่าการก้าวออกจากบ้านจะต้องพบเจอกับผู้คนมากมาย ดังนั้นเสื้อผ้า หน้า ผม ทุกอย่างจะต้องเนี้ยบและพร้อมเสมอสำหรับทุกสถานการณ์ จึงทำให้ผู้ชายญี่ปุ่นวัยทำงานส่วนใหญ่จะแต่งตัวเคร่งเครียดคล้ายกันไปเสียหมด หลายครั้งที่มีคนพยายามหาคำตอบเรื่องความเนี้ยบที่ทำกันจนเคยชินของคนญี่ปุ่นว่ามันมีจุดเริ่มต้นมาจากไหน คำตอบที่ได้ค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเพราะได้รับการปลูกฝังกันมานาน หรือค่านิยมของการให้เกียรติตัวเองและผู้อื่น ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่คำนึงถึงการแต่งตัวให้เหมาะสมเวลาจะออกจากบ้าน ว่ากันว่าแฟชั่นจะเติบโตพร้อมกับเศรษฐกิจ หลังจากปี 1945 ที่ประเทศญี่ปุ่นยอมแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไขในสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้สูญเสียทั้งประชากร เมือง เงิน เป็นหนี้จำนวนมหาศาล ช่วงหลังสงครามโลกญี่ปุ่นแทบไม่เหลืออะไรเหลือเลยนอกจากซากปรักหักพัง ตอนนั้นคงไม่มีใครหน้าไหนในประเทศสนใจการแต่งตัวก่อนเรื่องปากท้องอย่างแน่นอน เหล่าผู้คนที่อยู่รอดจะต้องเอาตัวรอดให้ได้พร้อมกับขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ก้าวต่อไป และกว่าญี่ปุ่นจะฟื้นตัวขึ้นมาได้อย่างทุกวันนี้ก็ปาเข้าไปช่วงปลายโชวะ ระหว่างรอยต่อของต้นยุคเฮเซ (1986-1991) กว่าหลายสิบปีญี่ปุ่นเปลี่ยนฐานะจากประเทศที่แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เขยิบขึ้นมาเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจดีอันดับต้น ๆ
สำหรับใครที่เป็นคอซีรีส์หรือชื่นชอบหนังแนวสืบสวนสอบสวนคงไม่พลาดดู Mindhunter จาก Netflix ผลงานของผู้กำกับ David Fincher ที่หลงใหลในเรื่องราวของเหล่าฆาตกร และต้องการเจาะลึกถึงความคิด ความรู้สึกในการสังหารคนว่าในช่วงเวลานั้นเขาคิดอะไร สภาพแวดล้อมหล่อหลอมให้กลายเป็นคนชั่วหรือทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ซีรีส์เรื่อง Mindhunter จำลองการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ FBI กับผู้ต้องหาคดีหนักในยุค 70 เนื้อหาของบทสนทนาจะเล่าถึงการก่อเหตุในแต่ละครั้ง เพื่อทำความเข้าใจวิธีคิดของฆาตกรโรคจิตและหาทางยับยั้งการเกิดเหตุน่าสลดในภายภาคหน้า หรือสำหรับบางคดีที่ฆาตกรยังไม่ยอมบอกว่าฝังศพของเหยื่อไว้ที่ไหนบ้าง พวกเขาจะต้องพูดคุยเพื่อไขคดีไปพร้อมกัน ด้วยเรื่องราวที่หนักหน่วงของ Mindhunter ทำให้ UNLOCKMEN สนใจหยิบเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งนาม Edmund Kemper มาเล่าสู่กันฟังว่าชายคนนี้เพี้ยนจนกู่ไม่กลับและสร้างความสะพรึงกลัวให้กับสังคมได้มากน้อยแค่ไหน เด็กหนุ่มกับพฤติกรรมวิกลจริต เด็กชายเคมเปอร์เติบโตในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ ท่ามกลางครอบครัวที่ไม่อบอุ่น พ่อแม่ของเขามีปากเสียงกันแทบจะตลอดเวลา สุดท้ายทั้งสองคนหย่าร้างและส่งลูกชายของตัวเองไปอยู่กับตายาย ความประหลาดในตัวเขาเริ่มแสดงออกผ่านพฤติกรรม เขาชอบเล่นเป็นนักโทษประหารกับน้องสาว โดยแบ่งกันเลือกว่าจะตายด้วยวิธีไหนทั้งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือโดนรมควันในห้องแก๊ส เมื่ออายุ 10 ขวบ เด็กชายฆ่าแมวและฝังไว้ในสวนข้างบ้าน เวลาผ่านไปก็ฆ่าแมวอีกหนึ่งตัวเพราะเห็นว่าน้องสาวของเขาชอบมันมากเกิน แถมยังเก็บซากแมวไว้ในตู้จนสุดท้ายแม่ก็มาเจอซากศพแมวที่ส่งกลิ่นชวนคลื่นไส้ เด็กชายเคมเปอร์มีความสุขกับการฆ่า สนใจใคร่รู้ในเรื่องพิธีกรรมลี้ลับ เขาเคยเอาตุ๊กตาของน้องสาวมาทำพิธีบางอย่างด้วยการตัดหัวตุ๊กตา รวมถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างเขากับพี่สาวอีกคนว่าทำไมไม่ลองจูบครูของตัวเองดูล่ะ และเธอก็ได้คำตอบที่ชวนตกใจจากน้องชายว่า “ถ้าผมจะจูบเธอ ผมต้องฆ่าเธอก่อน” นอกจากนี้แม่ขี้เมาของเขาอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กชายโตมาเป็นคนวิกลจริต คุณนายเคมเปอร์เลี้ยงเขามาด้วยความลำเอียง ชอบพูดถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามใส่ ไล่ให้เขาไปนอนในห้องใต้ดินเพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายน้องสาวของตัวเอง ไม่ยอมกอดลูกชายเพราะการกอดจะเปลี่ยนให้เขาเป็นเกย์ และในที่สุดเวลาที่เขาก่อคดีฆาตกรรมก็มาถึง
เราอาจจะเคยเจอภาพยนตร์ที่ดัดแปลงและสร้างจากชีวิตจริงมานับครั้งไม่ถ้วน บางเรื่องก็เป็นหนัง Feel good หรือบางเรื่องอาจจะเศร้าจนลืมไม่ลง สำหรับปีนี้ก็มีหนังชีวประวัติหลายเรื่องที่ออกฉายให้เราได้ชมกัน แต่คาดว่าคงไม่มีภาพยนตร์ชีวประวัติเรื่องไหนในปีนี้ที่เจ็บเท่ากับ Honey Boy (2019) อีกแล้ว เหตุที่เราบอกว่าหนังเรื่องนี้เจ็บ นั่นเป็นเพราะ Honey Boy เป็นภาพยนตร์กึ่งชีวประวัติที่ดัดแปลงมาจากชีวิตจริงของนักแสดงชายชื่อดัง Shia LaBeouf ที่เมื่อก่อนเราคุ้นหน้าคุ้นตาเขาเป็นอย่างดีกับหนังบู๊แฟรนไชส์เรื่อง Transformers และหลังจากนั้นเขาก็ถือว่าเป็นหนึ่งในนักแสดงที่คนวงการบันเทิงด้วยกันเบือนหน้าหนี เพราะความแปลกและความอินดี้ที่เกินจะรับไหว Shia LaBeouf ลองทำอะไรหลาย ๆ อย่างในวงการภาพยนตร์ตั้งแต่การแสดงหนังบล็อกบัสเตอร์ หนังอินดี้ ไปจนถึงเล่นหนัง Rate-R แต่ไม่ว่าความท้าทายที่เข้ามาเป็นอะไร เขาก็พร้อมกระโจนใส่เสมอเช่นเดียวกับครั้งนี้ที่เขาก็ลองอะไรใหม่ ๆ อีกหนด้วยการก้าวขึ้นมาเป็นคนเขียนบทภาพยนตร์และแสดงเองในเรื่อง Honey Boy Honey Boy เรื่องราวว่าด้วยชีวิตจริงของชายที่ชื่อว่า Shia LaBeouf ตั้งแต่วัยเด็กก่อนก้าวเข้าสู่วงการฮอลลีวูด Jeffrey LaBeouf พ่อของเขาเป็นทหารอเมริกันที่ผ่านศึกสงครามเวียดนามผู้ตกงานนับครั้งไม่ถ้วน ขี้เมาและชอบทำร้ายร่างกายลูก แถมยังเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงคุกเสี่ยงตะรางอยู่บ่อยครั้ง ชีวิตวัยเด็กของ Shia LaBeouf จะต้องดำเนินไปตามความต้องการของพ่อ เติบโตมากับการเลี้ยงดูสไตล์ฮิปปี้ สิ่งที่พ่อต้องการจากตัวเขาคือความโด่งดัง ชื่อเสียงและเงินทอง โดยที่ไม่ถามว่าเด็กหนุ่มมีความฝันหรืออยากจะทำอะไร เมื่อพ่อขี้เมาพยายามทำตัวเป็นป๋าดันให้เด็กหนุ่มเข้าสู่วงการบันเทิง การต่อต้านของเขาจึงเผชิญผลลัพธ์สุดเจ็บปวด
เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาเน็ตฟลิกซ์พาเราไปขุดคุ้ยประวัติศาสตร์รัสเซียใน THE LAST CZARS มอบประสบการณ์เขย่าขวัญกระตุกต่อมหลอนใน TYPEWRITER และสานต่อเรื่องราววุ่นวายของเด็ก ๆ เมืองฮอว์กินส์ให้จบลงในซีรีส์ยอดนิยมอย่าง STRANGER THING 3 เดือนสิงหาคมนี้ UNLOCKMEN ก็ไม่พลาดที่จะพาหนุ่ม ๆ ไปอัปเดตคอนเทนต์มันส์ ๆ บนแพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งที่กำลังดุเดือดที่สุดในตอนนี้ จะมีซีรีส์เรื่องใดที่ผู้ชายอย่างเราควรค่าแก่การเสียเวลายามค่ำคืนให้กับมัน ไปดูกันเลยครับ! WU ASSASSINS เมื่อชีวิตเรียบง่ายของเชฟหนุ่มแห่งซานฟรานซิสโกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขากลายเป็นผู้สืบทอดเจตจำนงของมือสังหารในยุคโบราณ และต้องเข้าร่วมต่อสู้เพื่อปกป้องโลกจากอำนาจมืด ความชั่วร้าย ตลอดจนกำจัดเหล่าทรชนที่ใช้พลังในทางที่ผิดให้สิ้นซาก WU ASSASSINS เป็นการผสมผสานระหว่างภาพยนตร์บันเทิงคดีวิทยาศาสตร์และศิลปะการต่อสู้แบบกังฟู ผูกโยงเรื่องด้วยความแข็งแกร่งและพลังของนักบวช 1,000 รูปที่ไหลเวียนอยู่ในร่างกายของเชฟหนุ่มคนนี้ แต่หนทางการต่อสู้ของเขานั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะศัตรูตัวฉกาจกลับเป็นคนใกล้ตัวที่คุ้นเคยอย่างดี ร่วมซึมซับศาสตร์แห่งกังฟูและการต่อสู้สุดระทึกไปพร้อมกัน 8 สิงหาคม 2019 BETTER THAN US ซีรีส์เรื่องนี้เล่าถึงอนาคตของกรุงมอสโกที่โลกเต็มไปด้วยความเจริญและมวลมนุษย์ต้องอยู่อาศัยร่วมกับหุ่นยนต์ เป็นการนำโลกปัจจุบันและโลกไซเบอร์พังก์ผนวกเข้าด้วยกัน แต่แล้วหุ่นยนต์สาวที่ขับเคลื่อนด้วยฮาร์ดแวร์ดันเข้ามามีบทบาทในครอบครัวที่กำลังร้าวฉาน ความโกลาหลและอันตรายจึงเริ่มคืบคลานเข้ามาในครอบครัวนี้โดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว เนื่องจากหุ่นยนต์ตัวดังกล่าวเป็นที่ต้องการของบริษัทยักษ์ใหญ่ หน่วยสืบสวนคดีฆาตกรรม และกลุ่มผู้ก่อการร้ายในตลาดมืด แล้วชะตากรรมของครอบครัวนี้และหุ่นยนต์สาวอัจฉริยะจะเป็นอย่างไร รอติดตามได้ 16 สิงหาคม 2019
หลังจากผ่านพ้นช่วงต้นปีและเก็บสถิติหนังช่วงต้นปี 2019 ไปเป็นที่เรียบร้อย ในตอนนี้วงการภาพยนตร์กำลังก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของปีอย่างเป็นทางการ ต้อนรับกันด้วยหนังสยองขวัญ ระทึกขวัญ ที่ต่อคิวเรียงมาให้เราได้ดูและลุ้นกันจนแทบหยุดหายใจ UNLOCKMEN ขอแนะนำหนังสุดระทึกของเดือนสิงหาคมกันว่ามีเรื่องไหนที่น่าสนใจและได้กระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากนักวิจารณ์กันบ้าง MIDSOMMAR (2019) Midsommar (2019) ดำเนินเรื่องราวผ่านคู่รักที่เดินทางมายังประเทศสวีเดนเพื่องานเทศกาลในหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่ห่างไกลไร้ผู้คน สิ่งที่น่าสนใจของเทศกาลครั้งนี้อยู่ที่งานฉลองฤดูร้อนที่จะจัดขึ้นทุก 90 ปี โดยงานจะดำเนินต่อเนื่องไปถึง 9 วันที่พระอาทิตย์ตั้งอยู่กลางฟ้า ไม่ตกดิน ความกล้าของผู้กำกับ Ari Aster ที่ตัดความมืดซึ่งเป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของหนังสยองขวัญ และบอกเล่าเรื่องราวสุดสยองท่ามกลางแสงแดดร้อนระอุ ด้วยพล็อตหนังสุดแปลกที่กล้าแหกกฎการหลอนมาหลอกกันกลางวันแสก ๆ บวกกับเรื่องราวที่หยิบยืมมาจากนิทานพื้นบ้านแต่เล่าให้ผู้ใหญ่ดูทำให้ Midsommar กลายเป็นภาพยนตร์สยองขวัญที่ถูกจับตามองและพูดถึงมากของปีนี้ไม่แพ้เรื่องไหน ๆ รวมถึงนักวิจารณ์บอกว่างานพิธีกรรมในเรื่องเป็นอะไรที่โคตรน่าขนลุก และคงต้องบอกว่าชื่อของค่ายหนังอินดี้อย่าง A24 ก็ทำให้ใครหลายคนวางใจพร้อมตีตั๋วเดินทางไปสยองขวัญพร้อมสองคู่รักที่เดินทางไปยังหมู่บ้านประหลาดแล้ว โดย Midsommar (2019) สามารถกวาดมะเขือสดจากนักวิจารณ์ในเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไปได้ 82% READY OR NOT (2019) หลังจากที่ Ready or Not (2019) ปล่อยตัวอย่างหนังสั้น
กระแสของเรื่องราวของดาราศาสตร์ อวกาศกับดวงดาว เป็นสิ่งที่ถูกพูดถึงอยู่เป็นระยะ แถมในช่วงนี้องค์การอวกาศชื่อดังอย่าง NASA ก็กลับมามีบทบาทในสื่ออีกครั้งกับการครบรอบ 50 ปี ของการขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์ครั้งแรกของมนุษยชาติ และเมื่อพูดถึงอวกาศ ก็จะต้องนึกถึงบรรยากาศไร้แรงโน้มถ่วงนอกโลกกับสีดำสุดลูกหูลูกตาที่ยิ่งทำให้เคว้งคว้างกว่าเดิม ด้วยเหตุผลหลายอย่างทำให้ UNLOCKMEN เลือกหนังเกี่ยวกับอวกาศ 5 เรื่อง ที่ทั้งเศร้า เหงา หว่อง ไปจนถึงงุนงงมาให้ทุกคนได้ดูกันว่าชีวิตของเราในตอนนี้กับตัวละครในหนังใครจะเหงากว่ากัน The Martian (2015) ในขณะที่กลุ่มนักบินอวกาศกำลังสำรวจบนดาวอังคาร แต่กลับต้องเจอกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันอย่างพายุที่อาจสร้างความเสียหายให้กับยานจึงต้องยกเลิกภารกิจ ระหว่างการอพยพ Mark ถูกชิ้นส่วนของยานกระแทกจนกระเด็นออกห่างจากคนอื่นและทางยานก็ไม่พบสัญญาณชีพของเขา จึงต้องยกเลิกการค้นหาตัวเขาพร้อมนำยานออกจากดาวอังคาร แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ Mark ยังไม่ตาย Mark พาตัวเองไปยังศูนย์อาศัยไร้คนบนดาวอังคาร เขาตรวจสอบข้อมูลและพบว่ามนุษย์จะกลับมาที่ดาวอีกครั้งในอีก 4 ปี แต่เขามีอาหารที่จะประทังชีพเพียงแค่ 300 วัน ทำให้เขาต้องดึงความรู้เรื่องของพฤกษศาสตร์มาใช้ดำรงชีพพร้อมกับความรู้ทางวิศวกรรมเพื่อดัดแปลงรถ เครื่องยนต์ต่าง ๆ เพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้นานที่สุด ในขณะที่โลกก็ทราบถึงการมีชีวิตของเขาและหาทางช่วยเหลือให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ The Martian (2015) เป็นผลงานกำกับของ Ridley Scott นำแสดงโดย Matt Damon และเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึง
นอกจากความเพลิดเพลินและอรรถรสที่ได้รับชมภาพยนตร์ อีกสิ่งหนึ่งที่ตื่นเต้นเร้าใจไม่แพ้กัน คือการคอยลุ้นว่าพล็อตของหนังเรื่องนี้จะเป็นไปตามที่เราคิดไว้หรือเปล่า แล้วฉากเริ่มเรื่อง กลวิธีการเล่า ตลอดจนฉากจบจะสร้างความประทับใจได้มากน้อยขนาดไหน? แต่เราเชื่อว่าคงมีภาพยนตร์หลายเรื่องที่ทำให้หนุ่ม ๆ รู้สึกว่าตนถูกหลอก เปลี่ยนบริบทจากเซียนหนังผู้คร่ำหวอดในแวดวงจอเงินให้กลายเป็นคนโง่ใบ้ ตามไม่ทัน สังเกตไม่เห็น และคิดไม่ถึงกับเรื่องราวและฉากจบที่ดูจะสวนทางกันอย่างสิ้นเชิง เพราะมันดันมาจบเรื่องในแบบที่คุณไม่เคยวาดฝันไว้มาก่อน คำเตือน! ภาพยนตร์ดังต่อไปนี้ไม่มีการสปอยล์ฉากจบของเรื่องแต่อย่างใด THE SIXTH SENSE “I See Dead People” ประโยคดังที่หลุดออกจากปากเด็กชายผู้มองเห็นวิญญาณ ในภาพยนตร์บิดเบี้ยวอัดแน่นซาวด์ผีอลังการ THE SIXTH SENSE ที่เคยปล่อยความหลอน เครียด และกดดันกระโจนเข้าใส่จิตใจของผู้ชมมานับล้าน เนื้อเรื่องเล่าถึงเด็กชายผู้มองเห็นผีและนักบำบัดที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเหลือเด็กคนนี้ แต่น่าแปลกที่เคสเล็ก ๆ ของเด็กคนเดียวดันกระทบกระเทือนไปยังครอบครัวของนักบำบัดรายนี้ด้วย บทบาทการแสดงของเด็กหนุ่มที่ดูน่ารักพร้อม ๆ กับน่ากลัว และนักบำบัดที่เชื่อว่าเด็กเห็นผีจริง แต่ก็มิอาจสัมผัสได้ถึงวิญญาณเหล่านั้น หนุ่ม ๆ จึงจะได้ซึมซับความสนุกสนานไปพร้อมกับการพัฒนาของตัวละคร แต่ด้วยมุมมองกล้อง การตัดต่อ และกลการเล่าอาจทำให้คุณไม่สามารถจินตนาการถึงตอนจบของมันได้เลย MEMENTO จะเป็นยังไงถ้าคุณตื่นมาแล้วต้องรับรู้ว่าตัวเองความจำเสื่อม จนไม่อาจจดจำเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นได้แม้แต่เล็กน้อย ความรู้สึกนั้นเป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่ตัวละครเอกในเรื่อง MEMENTO ต้องพบเจอ แต่ที่แย่กว่านั้นคือเขากำลังค้นหาฆาตกรที่ฆ่าข่มขืนภรรยาของเขา ทั้งที่ตนสูญเสียความทรงจำ