ยิ่งบ้านน่าอยู่มากเท่าไหร่ เรายิ่งอยากใช้เวลาอยู่บ้านนานขึ้นเท่านั้น และมากกว่าการเป็นที่อยู่อาศัย บ้านยังสะท้อนถึงตัวตนและไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้านอีกด้วย เพื่อเติมเต็มรายละเอียดในชีวิตให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น Unlockmen เลยอยากแนะนำ 6 บริษัทอินทีเรียชื่อดัง เพื่อเป็นตัวเลือกให้ทุกคนที่อยากเปลี่ยนโฉมบ้านใหม่ให้พื้นที่ในฝันกลายเป็นจริง PIA Interior อยู่บ้านยาว ๆ ทั้งทีขอมุมพักผ่อนที่อลังการสักหน่อย ใครอยากมีโซนในฝันและอยากใช้เวลาอยู่กับตัวเองหรือชวนเพื่อน ๆ มาสังสรรค์ ดูหนัง หรือปาร์ตี้ใช้ทุกซอกทุกมุมแบบนี้ เราขอแนะนำบริการของ PIA Interior เพราะผลงานของที่นี่ทรงพลัง หรูหรา และกล้าหาญ เก๋าด้วยประสบการณ์กว่า 25 ปี ให้บริการออกแบบมาครบทั้งที่อยู่อาศัยส่วนตัว โรงแรมและรีสอร์ทระดับไฮเอนด์ สำนักงาน ฯลฯ PIA Interior เน้นการตกแต่งที่สร้างสรรค์ ดึงเอกลักษณ์ความแตกต่างสร้างดีไซน์ไม่จำเจจากคอนเซ็ปต์ที่ผู้อยู่อาศัยต้องการถ่ายทอดลงรายละเอียดออกมาได้ครบทุกอณู หนุ่ม ๆ คนไหนที่ต้องการความเท่แบบยูนีคต้องปักหมุดไว้ Facebook: @PIAinterior Website: www.piainterior.com Hyper-Haus ถอดตัวตนของเจ้าของบ้านออกมาในทุกมุม ทำให้บ้านเต็มไปด้วยเรื่องราวที่มีเสน่ห์ตลอดกาล นี่คือคอนเซ็ปต์การทำงานของ Hyper-Haus ที่พร้อมดีไซน์บ้านให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคุณ Hyper-Haus ให้บริการระดับ Ultra-Luxury แบบ One
แม้จะไม่เป็นที่พูดถึงมากเท่าโคโรนาไวรัสหรือโควิด-19 ที่กำลังระบาดอยู่ตอนนี้ แต่ผู้ชายหลายคนคงยังไม่ลืมว่าภาวะโลกร้อนนั้นเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่เราเผชิญอยู่เช่นกัน อากาศร้อนอบอ้าวในช่วง 10 ปีให้หลัง ไม่เพียงสร้างความหงุดหงิดรำคาญใจ หากยังก่อให้เกิดน้ำท่วม หิมะตกช้ากว่าฤดูกาล รวมทั้งเหตุการณ์ที่น้ำแข็งขั้วโลกหลอมเหลวอย่างรวดเร็ว ในยุคที่ธรรมชาติและสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด วงการสถาปัตยกรรมเองก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด ต่างคิดหาสารพัดวิธีออกแบบเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งอีกเทรนด์สถาปัตยกรรมที่กำลังมาแรงในตอนนี้ คือการเลือกใช้วัสดุหรือกระบวนการก่อสร้างที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันเป็นสาเหตุหนึ่งของภาวะโลกร้อน Generate สตูดิโอออกแบบได้เผยแผนการสร้าง ‘Model-C’ อพาร์ตเมนต์ปลอดคาร์บอน ในย่าน Lower Roxbury ของเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา อพาร์ตเมนต์แห่งนี้ถอดแบบการพัฒนาอาคารสไตล์ Passive House ของโลกอนาคตมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ สร้างอาคารที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral) เพื่อทุเลาผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่มนุษย์ต้องเผชิญ Passive House เป็นแนวคิดที่มีมาตั้งแต่ปี 1988 เน้นหนักเรื่องการสร้างสิ่งปลูกสร้างเพื่อประหยัดพลังงานและลดการปล่อยมลพิษไปทำลายสิ่งแวดล้อม ทีมสถาปนิกของ Generate คาดว่าเมื่อสร้างอพาร์ตเมนต์จนเสร็จสมบูรณ์ ที่นี่จะกลายเป็น Passive House บนพื้นไม้ลามิเนตเต็มรูปแบบแห่งแรกและเป็นหนึ่งในอาคารที่ยั่งยืนที่สุดของสหรัฐฯ นอกจากการใช้ไม้ลามิเนตแปรรูป Cross-laminated Timber (CLT) แทนคอนกรีตหรือเหล็กจะช่วยสร้างเอกลักษณ์งานดีไซน์ให้กับอพาร์ตเมนต์แห่งนี้แล้ว ไม้ CLT ยังเป็นวัสดุที่ปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่าคอนกรีตและเหล็กอีกด้วย แม้ไม้ CLT
‘Whidbey Farm’ เป็นผลงานการออกแบบบ้านของ MW Works สตูดิโอออกแบบในซีแอตเทิล ที่เนรมิตฟาร์มเก่าแก่อายุร่วม 100 ปี ให้กลายเป็นบ้านแสนสงบบนเนินเขา มองเห็นทัศนียภาพของทุ่งหญ้า บ่อน้ำ และป่าไม้ได้เต็มสองตา บ้านหลังนี้ตั้งอยู่ที่ Whidbey Island ทางตอนเหนือของ Seattle ในรัฐ Washington เดิมทีเป็นฟาร์มที่มีต้นไม้ บ่อตกปลา และโรงนาอายุเก่าแก่หลายช่วงอายุคน ก่อนที่สตูดิโอ MW Works จะเข้ามาสร้างสถานที่พักผ่อนสุดพิเศษ เปลี่ยนฟาร์มเป็นบ้านที่ยืดหยุ่น ทนทาน และรองรับผู้พักอาศัยได้สูงสุด 20 คน (ตามโจทย์ของเจ้าของบ้าน) พื้นที่ 4,420 ตารางฟุต ถูกตอกเสาเข็มสร้างเป็นบ้านพักตากอากาศที่รองรับครอบครัวขนาดใหญ่ นอกจากต้องมีพื้นที่ให้คนทุกช่วงวัยทำกิจกรรมร่วมกันได้แล้ว ยังต้องเชื่อมความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวให้เป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย ทีมสถาปนิกจึงสร้างบ้านบริเวณใจกลางลานที่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้หลากชนิด ตั้งแต่ต้นซีดาร์และต้นเฟอร์สูงใหญ่ ไปจนถึงต้นหญ้าและเฟิร์นที่มีขนาดเล็กลงมา ซึ่งลานกลางบ้านนี้จะกลายเป็นพื้นที่ที่เชื่อมโยงคนในครอบครัวเข้าด้วยกัน ผ่านทางเดินไม้ที่เชื่อมต่อไปยังส่วนอื่น ๆ ของบ้าน นอกจากผนังกระจกทรงสูงที่เปิดรับภูมิทัศน์ด้านนอก ตัวบ้านยังใช้ผนังไม้ซีดาร์สีแดงแบบตะวันตกช่วยสร้างความรู้สึกมิดชิดและเป็นส่วนตัวให้คนในบ้าน แถมผนังบางส่วนก็สร้างจากกำแพงหินที่วางเรียงซ้อนกัน ทำให้บ้านดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบมากยิ่งขึ้น บริเวณลานมีกำแพงเตี้ย ๆ ที่ทำจากหินบะซอลต์ในท้องถิ่น ช่วยแบ่งขอบเขต และทำหน้าที่เหมือนรั้วบ้านขนาดย่อมที่ไม่ทำให้บ้านดูอึดอัดทึบตัน
ถ้าพูดถึงประเทศสกอตแลนด์ ผู้ชายหลายคนคงจินตนาการถึงเมืองเก่าแก่อย่างเอดินบะระ (Edinburgh) อันเป็นเมืองหลวงของประเทศแห่งนี้ แต่เชื่อว่าน้อยคนที่จะรู้จักสกอตติช ไฮแลนด์ส (Scottish Highlands) ดินแดนทางตอนเหนือและตะวันตกของเกาะอังกฤษ สกอตติช ไฮแลนด์ส ไม่เพียงเป็นบ้านเกิดของสายลับเจมส์ บอนด์ จากภาพยนตร์เรื่อง Skyfall ปี 2012 เท่านั้น แต่ที่นี่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติเอาไว้ เป็นดินแดนที่ถูกปกคลุมด้วยเทือกเขา ทุ่งหญ้า ทะเลสาบ และธรรมชาติเต็มพื้นที่โดยไม่เหลือที่ว่างให้ตึกระฟ้าผุดขึ้นมา Mary Arnold-Forster Architects สตูดิโอผู้คร่ำหวอดด้านการสร้างสถาปัตยกรรมแบบยั่งยืน จึงนำหลักสถาปัตยกรรมมาผสมผสานกับความงดงามของธรรมชาติ เพื่อดึงสุนทรียภาพของทั้งสองสิ่งนี้ออกมา จนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมบ้านไม้รูปทรงเรขาคณิตในหมู่บ้าน “Nedd” ของเมืองซูเธอร์แลนด์ (Sutherland) ประเทศสกอตแลนด์ เนื่องจากทีมสถาปนิกตั้งใจจะสร้างบ้านโดยไม่ทำลายก้อนหินรอบข้าง พวกเขาจึงต้องสำรวจพื้นที่เพื่อกำหนดตำแหน่งที่แน่นอนก่อนตอกเสาเข็ม แม้การเข้าถึงไซต์ก่อสร้างจะค่อนข้างทุลักทุเล เพราะต้องวิ่งผ่านถนนเส้นเล็กเพียงเส้นเดียว แต่ทีมสถาปนิกก็สามารถสร้างบ้านขึ้นมาได้และเลือกพื้นที่ที่อยู่ระหว่างหินสองก้อนเป็นทำเลที่ตั้งของบ้านหลังนี้ วัสดุหลักที่ห่อหุ้มเปลือกนอกของบ้านใช้ไม้กระดานจากต้นสนที่เคยถูกไฟไหม้ นอกจากจะนำวัสดุเหลือทิ้งมาใช้ให้เกิดประโยชน์แล้ว พื้นผิวผนังด้านนอกของไม้ยังมอบความงดงามที่ต่างจากวัสดุไม้ทั่วไปอีกด้วย แม้โครงสร้างของบ้านจะถูกยึดด้วยเสาคอนกรีต แต่กลับไม่ได้ปูด้วยพื้นคอนกรีต เพราะกลัวว่าผิวดินจะรองรับน้ำหนักของบ้านมากเกินไป จึงเลือกใช้เป็นพื้นไม้ลามิเนตแทน พื้นที่ใช้สอยในบ้านถูกแบ่งเป็นสามส่วนคือ ห้องนั่งเล่น ห้องนอนหลัก และห้องนอนสำหรับแขก ซึ่งโถงทางเดินของบ้านก็สามารถเชื่อมโยงทุกส่วนเข้าด้วยกัน มีหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดให้เห็นวิวทุ่งหญ้า เทือกเขา และทะเลสาบ Loch
ถ้าพูดถึงสไตล์มินิมัลแบบญี่ปุ่นไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น ข้าวของเครื่องใช้ คาเฟ่ ไปจนถึงโรงแรมและอาร์ตแกลเลอรี ชื่อแรกที่ใคร ๆ นึกถึงคงหนีไม่พ้นแบรนด์ Muji จากจุดเริ่มต้นปี 1980 ที่ Muji ออกแบบสินค้าและผลิตภัณฑ์สไตล์มินิมัลให้เป็นมิตรกับผู้คนและสิ่งแวดล้อม แถมเร็ว ๆ นี้ยังขยายไลน์จากแค่การขายสินค้าไปเปิดโรงแรมตามประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก อีกทั้งเติบโตไม่หยุดด้วยการหันมาผลิตบ้านสำเร็จรูปเพื่อแฟนคลับผู้ชื่นชอบที่พักอาศัยขนาดกำลังดีสุดมินิมัล Muji เริ่มหันมาสร้างบ้านสำเร็จรูปเมื่อปี 2004 ระหว่างนั้นก็ยังกระโดดเข้าสู่ธุรกิจซ่อมแซมและรีโนเวตอพาร์ตเมนต์อีกด้วย แถมเมื่อช่วงปี 2017 ยังได้สถาปนิกชื่อดังหลายท่าน เช่น Nao Fukasawa, Jasper Morrison และ Konstantin Grcic มาร่วมออกแบบพื้นที่ใช้สอยขนาดกะทัดรัดตรงตามความต้องการของชาวญี่ปุ่น ใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าที่ดินในประเทศญี่ปุ่นมีราคาสูงมาก การซื้อที่ดินและจ้างสถาปนิกมาออกแบบสร้างสิ่งปลูกสร้างเองถือเป็นค่าใช้จ่ายที่หนักเอาการ บ้านสำเร็จรูปจึงถือเป็นตัวเลือกสำหรับคนรุ่นใหม่ที่อยากจ่ายเงินทีเดียว แต่ได้ทุกอย่างเพียบพร้อมตามต้องการ ทั้งสิ่งปลูกสร้าง สไตล์ที่ตอบโจทย์ และเฟอร์นิเจอร์ครบครัน “YOU NO IE” HOUSE OF MUJI แต่เมื่อ Muji ก้าวเข้าสู่ตลาดบ้านสำเร็จรูป กลับทิ้งช่วงการออกแบบบ้านใหม่
การมีบ้านพักตากอากาศสักหลังคงเป็นอีกหนึ่งความฝันของผู้ชายหลายคน เพราะคอนโดกลางใจเมืองอาจไม่ได้ตอบโจทย์ความสงบและเป็นส่วนตัวมากเท่าไรนัก บวกกับวิถีชีวิตรีบเร่งและความวุ่นวายที่หนุ่มคนเมืองต้องเจอ ทำให้บางครั้งก็อดโหยหาความสงบและส่วนตัวจากบ้านพักตากอากาศไม่ได้ UNLOCKMEN เลยอยากชวนหนุ่ม ๆ ทิ้งห่างจากป่าคอนกรีตที่ว้าวุ่นชั่วขณะ มาชมบ้านพักตากอากาศแสนสงบริมชายหาดเม็กซิกัน ที่เราเชื่อว่าคงเป็นบ้านในฝันอีกหลังของผู้ชายอย่างคุณ บ้านโทนสีอบอุ่นหลังนี้ออกแบบโดย Colectivo Lateral de Arquitectura สตูดิโอสถาปัตยกรรมสัญชาติเม็กซิกัน ที่ใช้ทำเลริมชายหาดปลายาบลองกา (Playa Blanca) ในเมืองซิฮัวตันเนโจ (Zihuatanejo) ของเม็กซิโก สร้างสถาปัตยกรรมโครงสร้างเรขาคณิตที่ดูกลมกลืนกับธรรมชาติโดยรอบ เนื่องจากชายหาดปลายาบลองกาตั้งอยู่เหนือมหาสมุทรแปซิฟิกเล็กน้อย จึงมีสภาพอากาศอบอุ่นกำลังดีบวกกับทัศนียภาพของชายหาดที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ทำให้ที่นี่กลายเป็นสถานที่พักผ่อนยอดนิยมของคนเม็กซิกัน บ้านพักตากอากาศหลังนี้ออกแบบผนังและหลังคาด้วยคอนกรีตผสมกับ Tepetate หรือดินเหนียวสีแดง อันเป็นวัสดุท้องถิ่นของเม็กซิโกที่ช่วยให้บ้านมีโทนสีน้ำตาลอ่อนดูอบอุ่น แม้โครงสร้างคอนกรีตจะดูทึบตัน แต่ก็เพิ่มสเปซโปร่งโล่งให้บ้านด้วยประตูกระจกบานเลื่อน และหน้าต่างกระจกทรงสูงหุ้มกรอบไม้ แถมลานรอบบ้านยังสอดแทรกพื้นที่สีเขียวเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้พักอาศัยกับธรรมชาติ บริเวณกึ่งกลางของบ้านขนาด 750 ตารางเมตร ถูกจัดสรรให้เป็นสองห้องนอนขนาดใหญ่ ทั้งยังมีห้องนั่งเล่นและห้องรับประทานอาหารแบบเปิดโล่งที่เชื่อมต่อกับห้องครัวได้ แม้บ้านหลังนี้จะเป็นบ้านชั้นเดียว แต่ก็มีบันไดมุ่งหน้าไปยังลานดาดฟ้าเพื่อให้ผู้อาศัยได้กินลมชมวิวและผ่อนคลายกับธรรมชาติ บางส่วนของบ้านดีไซน์ให้เป็นห้องทำสมาธิที่ตัดเพดานเป็นช่องวงกลม เพื่อให้องค์ประกอบทางธรรมชาติลอดผ่านเข้ามาในบ้านได้ ทั้งเม็ดฝน สายลม หรือแสงแดด แต่ก็มีช่องพื้นดินที่อุดด้วยก้อนหินช่วยระบายน้ำฝนอีกแรง บริเวณนอกบ้านสร้างบ่อน้ำขนาดเล็กช่วยเปลี่ยนลมร้อนที่พัดเข้าบ้านให้เย็นสบายยิ่งขึ้น มีพื้นที่สระว่ายน้ำรูปตัวแอล (L) ที่สร้างจากใต้ชายคายืดออกไปยังชายหาด ครอบคลุมทั้งการว่ายน้ำในร่มและกลางแจ้ง แถมยังมองเห็นทิวทัศน์ของทะเลได้เป็นอย่างดีอีกด้วย นี่เป็นบ้านอีกหลังที่ถ่ายทอดกลิ่นอายของธรรมชาติและสะท้อนอิทธิพลของสไตล์โมเดิร์นทรอปิคัล ที่เน้นใช้วัสดุท้องถิ่น
มินิมัลเป็นอีกหนึ่งสไตล์การออกแบบที่ผู้ชายหลาย ๆ คนหลงใหล เพราะนอกจากจะใช้วัสดุน้อยชิ้นแล้ว บ้านที่ออกแบบด้วยสไตล์มินิมัลยังดูเรียบง่าย ไม่หวือหวา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ธรรมดาของผู้ชายเราเป็นอย่างดี Think Architecture สตูดิโอสถาปัตยกรรมรายนี้ก็เชื่อว่ามินิมัลสไตล์ยังคงมีเสน่ห์และเอกลักษณ์เฉพาะตัวเสมอ ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ยุคกี่สมัยก็ตาม พวกเขาจึงนำสไตล์มินิมัลอันโด่งดังของแดนปลาดิบมาสร้างสรรค์บ้านกลางเนินเขา ที่เข้ากับสภาพแวดล้อมโดยรอบอย่างสมบูรณ์ ‘House in a Park’ เป็นบ้านสไตล์มินิมัลในเมืองซูริคของประเทศสวิสเซอร์แลนด์ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ โดยออกแบบบ้านให้กลมกลืนไปกับสภาพแวดล้อมภายนอก ดีไซน์ตัวบ้านเป็นรูปทรงเรขาคณิตโดยมีหลังคาสีขาวยึดตัวโครงสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกัน ผนังหน้าบ้านเป็นปูนปลาสเตอร์และหินธรรมชาติสีอ่อน พร้อมจัดวางกระจกทรงสูงแซมไปกับผนังเพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติและทำให้บ้านดูปลอดโปร่งยิ่งขึ้น จุดนำสายตาของบ้านคือหินทรงสี่เหลี่ยมที่วางซ้อนกันเป็นขั้นบันได เหมือนกำลังหลอกตาว่าบ้านหลังนี้เป็นส่วนหนึ่งของพื้นดินและส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ส่วนภายในบ้านจะดีไซน์ผนังด้วยสีขาวเป็นหลัก ซอยย่อยเป็นโซนห้องนอน ห้องดนตรี และห้องโถง ซึ่งทุกห้องพักภายในบ้านจะเชื่อมต่อกับธรรมชาติภายนอกผ่านกระจกใสที่มีความสูงตั้งแต่พื้นดินจรดเพดาน ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันงดงามของภูเขาและทะเลสาบซูริคด้านนอกได้ ตัวบ้านแบ่งเป็น 2 ชั้น แต่ชั้นล่างจะสร้างลงไปในชั้นใต้ดิน เพื่อให้ตัวอาคารไม่กินพื้นที่และกลมกลืนไปเนินเขาอันเป็นที่ตั้งของบ้าน ชั้นล่างของบ้านยังมีมุมพักผ่อน มุมออกกำลังกาย รวมทั้งสระว่ายน้ำในร่มที่ใช้กระเบื้องโมเสคสีดำและแผงอะคูสติกซีดาร์สีแดงตกแต่งด้านบน สร้างบรรยากาศสงบ สบาย และช่วยให้ผู้พักอาศัยได้พักผ่อนอย่างแท้จริง ‘House in a Park’ เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของบ้านสไตล์มินิมัลที่ปลูกสร้างบนเนินเขาลาดชันได้อย่างงดงาม ทั้งยังเป็นสถาปัตยกรรมที่สัมพันธ์กับพื้นที่ธรรมชาติอย่างแน่นแฟ้น แต่ก็ไม่หลงลืมทฤษฎีโครงสร้าง พื้นที่ใช้สอย และความสุขของผู้อาศัยที่เป็นหัวใจของงานสถาปัตยกรรม Photography is by Simone
Farnsworth House เป็นบ้านพักตากอากาศอันโด่งดังของ Edith Farnsworth ที่ตั้งอยู่ทางใต้ของเมืองพลาโน ในรัฐอิลลินอยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา บ้านรูปทรงเรขาคณิตหลังนี้สร้างขึ้นระหว่างปี 1945-1951 ออกแบบโดย Ludwig Mies van der Rohe สถาปนิกลูกครึ่งเยอรมัน-อเมริกัน ผู้บุกเบิกแนวคิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ บนพื้นที่ขนาด 10 เอเคอร์ ห้อมล้อมด้วยต้นไม้นานาชนิดและอยู่ห่างจากแม่น้ำฟ็อกซ์เพียง 100 ฟุต การออกแบบบ้านใช้โครงสร้างสถาปัตยกรรมเป็นเรขาคณิต นำเสาเหล็กรูปตัวไอ (I) แปดเสามารองรับโครงหลังคา และยกพื้นบ้านขึ้นจากพื้นดิน 5 ฟุต 3 นิ้ว เพื่อให้มองเห็นสเปซตั้งแต่พื้นจรดเพดานได้อย่างแจ่มชัด ด้วยแนวคิดที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ บวกกับรูปทรงเรขาคณิตที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้ Farnsworth House ถูกขนานนามว่าเป็นสุดยอดสถาปัตยกรรมสไตล์นานาชาติแห่งศตวรรษที่ 20 และเป็นแรงบันดาลใจให้กับผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นอื่น ๆ ทั่วโลก แถม National Trust ยังจัดให้ที่นี่เป็นโบราณสถานเพื่ออนุรักษ์ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม โดยผู้เข้าชมทุกคนจะต้องเช็กอินที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวและเข้าชมบ้านหลังนี้ได้ต่อเมื่อมีไกด์นำเที่ยวเท่านั้น แต่เมื่อมีสถาปัตยกรรมใหม่ ๆ ผุดขึ้นทั่วโลก บ้านเรขาคณิตหลังนี้ก็กลายเป็นสถาปัตยกรรมที่ถูกลืม ซ้ำร้ายคือที่ตั้งที่อยู่ไม่ไกลจากแม่น้ำมากนัก ทำให้
สไตล์มินิมัล (Minimal Style) เป็นอีกหนึ่งผลผลิตของศาสนาพุทธนิกายเซนที่หยั่งรากลึกลงในวิถีชีวิตของคนญี่ปุ่น โดยมีคำสอนหลักคือเน้นความเรียบง่ายแต่ซ่อนความหมายสุดลึกซึ้งเอาไว้ แล้วแนวคิดทางศาสนาอันแรงกล้านี้ก็เป็นปัจจัยที่ทำให้สไตล์มินิมัลเป็นที่ยอมรับและครองความนิยมอย่างล้นหลามในประเทศแดนปลาดิบ ด้วยพฤติกรรมการถอยห่างจากลัทธิบริโภคนิยมของวัยรุ่นชาวญี่ปุ่น ทำให้คอนเซ็ปต์ ‘Less is more’ เริ่มคืบคลานเข้ามาในสังคมและผสมผสานกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นอย่างลงตัว แล้วในปัจจุบันนี้คงต้องบอกว่าการออกแบบตกแต่งสไตล์มินิมัลนั้นขยายตัวอย่างรวดเร็วและมีอิทธิพลต่องานดีไซน์ทั่วโลก เริ่มตั้งแต่แฟชั่น ของตกแต่ง การใช้ชีวิต หรือแม้แต่การออกแบบบ้าน ที่ลดทอนสิ่งไม่จำเป็นออกไป เหลือไว้เพียงความพอดี เป็นธรรมชาติ และกลิ่นอายความเรียบง่ายที่เป็นไปในทิศทางเดียวกับตัวบ้าน วันนี้ UNLOCKMEN เลยจะพาหนุ่ม ๆ มาชมงานดีไซน์มินิมัลเท่ ๆ ของบ้านขาวดำในบราซิลที่ผนวกความเรียบง่ายเข้ากับอิทธิพลของศิลปะ Bauhaus โดยสมบูรณ์ ‘RP HOUSE’ บ้านสีดำสุดเท่หลังนี้เป็นผลงานการออกแบบของ Estúdio BG สตูดิโอสถาปนิกชื่อดังแห่ง São Paulo ที่ตัดสินใจตอกเสาเข็มใจกลางเมือง Ribeirão Preto ของ Brazil จนเกิดเป็นตัวบ้านเรียบง่ายสองชั้น ที่สร้างพื้นผิวเรียบเนี้ยบจากสีขาวโพลน ก่อนจะชูความโดดเด่นของโครงเหล็กสีดำทึบที่เป็นพระเอกหลักของบ้านหลังนี้ จุดนำสายตาที่ขโมยความสนใจเราไปตั้งแต่แรกเห็น คือทฤษฎีการทำซ้ำที่จัดวางเค้าโครงให้เป็นแพตเทิร์นเดียวกัน ทั้งยังนำมาตรฐานของโรงเรียนสอนศิลปะและการออกแบบที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประวัติศาสตร์อย่าง Bauhaus ช่วงศตวรรษที่ 20 เข้ามาสอดแทรกในผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นนี้ด้วย ตัวโครงสร้างหลักเป็นการจัดองค์ประกอบบ้านด้วยรูปทรงเรขาคณิต ใช้หลังคาคอนกรีตเสริมเหล็กกล้า
LAYAN สตูดิโอสถาปนิกชื่อดังได้ดีไซน์บ้าน ‘LIGHT HOUSE’ แก่ผู้อำนวยการของ The Flaming Beacon ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบไฟระดับนานาชาติในเมืองเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย จากกระท่อมคนงานเก่าคร่ำคร่าถูกขยายและปรับปรุงให้เป็นบ้านสไตล์โมเดิร์นที่คงเอกลักษณ์เฉพาะตัว สร้างสเปซบริเวณลานกลางบ้าน พร้อมต่อเติมด้านบนของโครงสร้างเก่าเพื่อหยอกเย้ากับแสงอาทิตย์ จนเกิดเป็นเงาตกกระทบและช่องว่างที่เอื้อประโยชน์ต่อการระบายอากาศด้วยลมธรรมชาติ บริเวณส่วนบนของบ้านที่ถูกต่อเติมผ่านการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนและพิถีพิถัน เลือกใช้วัสดุโพลีคาร์บอเนต 907 แผ่น มาเชื่อมติดกับท่อเหล็กที่ปรับหมุนได้ 67 ตัว สร้างกลไกขนาดย่อมที่มีแสงและลมเป็นฟันเฟืองหลักในการทำงาน ระนาบโพลีคาร์บอเนตที่รังสรรค์ขึ้นเป็นเหมือนพื้นที่ปิดล้อมกึ่งสมบูรณ์ ที่สร้างช่องว่างมากพอให้สายลมและแสงแดดลอดผ่านไปยังตัวบ้าน แต่ก็ควบคุมแสงจากภายนอกได้อย่างดีเยี่ยม เพราะมีเสถียรภาพในการป้องกันรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) และไม่ได้เปิดโล่งโจ้งจนทำให้ผู้พักอาศัยขาดความเป็นส่วนตัว ในตอนกลางวันเมื่อแสงแดดสาดส่องมายัง LIGHT HOUSE สภาพของแสงที่ตกกระทบก็จะเปลี่ยนไปตามองศาของพระอาทิตย์ แถมรูปแบบงานดีไซน์ที่ราวกับกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลาก็ดูเป็นมิตรไม่น้อยต่อแขกผู้มาเยือน ส่วนตอนกลางคืนลูกบ้านก็สามารถเปิดไฟ LED สีเหลืองอำพันที่ติดตั้งในแผ่นโพลีคาร์บอเนตได้ โดยตัวไฟจะใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย 60 วัตต์ และเพิ่มความโดดเด่นให้บ้านหลังนี้ในยามค่ำคืนได้อย่างเป็นอย่างดี ด้านนอกของตัวบ้านไม่ว่าจะมองจากมุมไหนก็รับรู้ได้ถึงดีไซน์ทรงเรขาคณิต ที่ไม่เพียงช่วยให้บ้านดูทันสมัยและทรงเสน่ห์ หากยังทำให้สเปซโดยรอบดูกว้างขวางยิ่งขึ้น แถมยังใช้ประตูบานเลื่อนทรงสูงสร้างความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย ไม่ทึบตัน และช่วยให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก ชั้นล่างของบ้านมีโซนห้องนั่งเล่น ห้องอาหาร ห้องส่วนตัว และสตูดิโอหลังบ้านที่รับกับวิวกังหันลมขนาดเล็กด้านบน วัสดุส่วนใหญ่ที่ใช้ตกแต่งจะเป็นไม้และเฟอร์นิเจอร์สีเอิร์ธโทน ทำให้บ้านดูเรียบง่ายแต่ไม่ล้าหลัง ทั้งยังสร้างลูกเล่นให้ผนังด้วยอิฐเคลือบสีขาวบางสลับกับไม้โอ๊คสไตล์อเมริกัน เพื่อเว้นระยะให้งานดีไซน์เกิดความแตกต่างหลากมิติ LIGHT