ความมั่นใจในตัวเองถือเป็นคุณสมบัติที่ผู้ขายควรมีติดตัว เพราะมีหลายสถานการณ์เหมือนกันที่ต้องการการติดสินใจของผู้ชาย รวมถึง ความเป็นผู้นำด้วย แต่บางครั้งความมั่นใจที่มากเกินไปอาจก่อให้เกิดความเห็นแก่ตัวได้ เราไม่รับฟังความคิดเห็นคนอื่น คิดว่าตัวเองสามารถแก้ได้ทุกปัญหา หรือ แก้ปัญหาโดยใช้ความเคยชินของตัวเองมากกว่าที่จะใช้วิธีใหม่ ๆ ที่ได้มาจากคนอื่น สุดท้ายเราก็อาจมานั่งกลุ้มใจทีหลังว่า งานที่ออกมาทำไมมีข้อผิดพลาดมากมายขนาดนี้ ทำไมตอนทำอยู่เราถึงไม่สังเกตเห็นมันกันนะ นี่เป็นตัวอย่างของคนที่มีวิสัยทัศน์อุโมงค์ (Tunnel Vision) ซึ่งเป็นมายเซ็ทที่ส่งผลเสียต่อการทำงานของเราอย่างมาก มันอาจทำให้เราผิดพลาดมากขึ้น ได้ประโยชน์จากงานน้อยลง และส่งผลเสียต่อทีมเวิร์กอีกต่างหาก เราเห็นคนทำงานหลายคนเป็นแบบนี้กัน เลยอยากมาอธิบายซะหน่อยว่ามีวิธีอะไรบ้างที่จะช่วยให้เราสามารถออกมาจากอุโมงค์ได้ WHAT IS TUNNEL VISION ? ลองจินตนาการดูว่า เรากำลังขับรถ หรือ นั่งอยู่บนรถสักคันหนึ่ง เมื่อมันเคลื่อนที่เข้าสู่อุโมงค์ที่อยู่เบื้องหน้า แน่นอนว่า การมองเห็นของเราก็คงจะเริ่มแคบลง จากเดิมที่เรามองเห็นถนนกว้าง ๆ บ้านเรือน สิ่งก่อสร้าง หรือ ธรรมชาติ ที่อยู่ริมถนน การเข้าอุโมงค์ก็ทำให้เราเห็นเพียงกำแพง ทางเดินรถแคบ ๆ และรถคันอื่นที่ร่วมทางกับเราเท่านั้น ส่วนสิ่งที่อยู่ภายนอกนั้น เรามองไม่เห็นมันเลยจนกว่าจะออกมาจากอุโมงค์ วิสัยทัศน์อุโมงค์ (Tunnel Vision) จึงเปรียบได้กับการที่เราโฟกัสไปที่ส่วนหนึ่งของปัญหาหรืองานอย่างหนัก จนเราไม่ได้โฟกัสไปที่ปัญหาอื่น ซึ่งสุดท้ายเราอาจจะแก้ไขปัญหานั่นไม่ได้ หรือ
วันไหนเศร้า เราฟังเพลง Feeling Blue จนจมดิ่งไปกับมัน วันไหนอารมณ์ดี เราฟังเพลง Pop ที่สดใสไม่แพ้กับอารมณ์ของเรา หรือวันไหนอยากพักผ่อน เพลง Acoustic, Folk ที่ให้อารมณ์ Chill จนเหมือนได้เอนกายลงบนที่นอนนุ่ม ๆ ในบ่ายวันหยุด จนเราคุ้นเคยกันดีว่าเพลงที่เราฟังมันเชื่อมต่อกับอารมณ์ในตอนนั้นอยู่แล้ว UNLOCKMEN จะพามาดูว่าเพลงมันไม่ได้ส่งผลแค่อารมณ์เท่านั้น แต่ยังส่งผลถึงมุมมองของคุณต่อโลกใบนี้อีกด้วย ดนตรีเปลี่ยนมุมมองของเราได้ยังไง ? จากการศึกษาของ University of Groningen ใน Netherlands พบว่าดนตรีไม่ได้ส่งผลกับแค่อารมณ์ของเราเท่านั้นแต่ส่งผลถึงมุมมอง ความคิด ของเราอีกด้วย เพลงที่คุณฟังนั่นแหละสามารถส่งผลกับมุมมองและความเข้าใจโลกใบนี้อีกด้วย ผู้ค้นคว้ารีเสิร์ชเรื่องนี้อย่าง Jacob Jolij และ Maaike Meurs จาก Psychology Department พบว่าเวลาคนเราฟังเพลงที่ให้มู้ดความสุขเนี่ย มันไม่ได้ทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเท่านั้น แต่ทำให้มองสิ่งรอบ ๆ ตัวดูมีความสุขไปด้วย และในทางตรงกันข้ามกันก็เป็นแบบนั้น หากเราฟังเพลงที่ทำให้อารมณ์เราอึมครึม มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสิ่งรอบตัวของเราแม่งเศร้าตามไปด้วย เหมือนอยู่ดี ๆ ก็โดนเมฆหมอกของความเศร้าปกคลุมซะอย่างงั้น พูดให้ชัด
ในช่วงที่ผ่านมา เชื่อว่าเราคงเคยได้ยินใครหลายคนแนะนำวิธีการที่จะทำให้ชีวิตก้าวหน้า ด้วยการพัฒนาตัวเองในการทำงานโดยใช้เทคนิคต่าง ๆ ซึ่งหลาย ๆ ครั้งพอเอามาใช้ก็พบว่า เอ๊ะ มันก็ดีขึ้นนะ แต่มันไม่สุดซักที มันมีอะไรผิดพลาดตรงไหนหรือเปล่า วันนี้เราเลยอยากเอาหัวข้อการพัฒนาตัวเองในการทำงานยอดฮิต 6 ข้อ มาตีแผ่ให้ฟังแบบลงลึกมากขึ้น ทุกคนจะได้เข้าใจ และนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับตัวเองได้ถูกต้องและเห็นผลมากขึ้นนั่นเอง 1. การตั้งเป้าหมายใหญ่ คนสำเร็จในชีวิต คนที่สร้างผลลัพธ์ยิ่งใหญ่ได้ ร้อยทั้งร้อยเป็นคนคิดใหญ่ครับ เพราะฉะนั้นถ้าคุณอยากมีชีวิตที่ก้าวหน้า คุณต้องตั้งเป้าหมายให้ใหญ่นั่นถูกต้องแล้ว คำถามคือแล้วจุดตายของการตั้งเป้าหมายใหญ่มันอยู่ตรงไหน? คำตอบคือเป้าหมายใหญ่เกินไปคุณเลยไม่เห็นทางข้างหน้า และรู้สึกท้อทุกที ดังนั้นถ้าให้ดี คุณควรเลือกตั้งเป้าหมายที่ขยายขีดความสามารถของตัวเองในระดับที่ “challengeable, not fantasy” หมายความว่าพอเป็นไปได้เมื่อเทียบกับระดับความสามารถในปัจจุบัน และไม่เพ้อเจ้อเพ้อฝันจนเกินไป ยังครับ ยังไม่หมด จุดตายอีกจุดอยู่ตรงที่ “คุณไม่รู้จักซอยย่อยเป้าหมายออกมาเป็นชิ้นเล็ก ๆ ” การซอยให้เล็กจะทำให้คุณเห็นว่ามันมีงานง่ายเยอะแยะมากมาย มันไม่ได้ใหญ่อย่างที่คุณคิด! และนี่แค่ข้อแรกเท่านั้นครับ 2. การวางแผนล่วงหน้า อยากบริหารงาน บริหารชีวิตได้ คุณต้องรู้จักการวางแผน การวางแผนจะช่วยลดงานไม่เร่งด่วนของคุณได้อีกมากซึ่งเป็นเรื่องที่ยอดเยี่ยมมากๆครับ แล้วความเข้าใจผิด ๆ ในการวางแผนอยู่ตรงไหน คำตอบคือ การวางแผนน้อยเกินไปในเรื่องที่ควรวางแผนให้มาก และวางแผนมากเกินไปในเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องอาศัยความลึกในการวางแผนขนาดนั้น
ความผิดพลาด ความผิดหวังไม่ต่างอะไรจากหนทางหนึ่งของชีวิต โดยเฉพาะการประสบความสำเร็จที่ต้องอาศัยการลองทำอะไรใหม่ ๆ อาศัยการลงมือทำสิ่งที่ไม่เคยทำมาก่อน จึงไม่แปลกอะไรที่เราจะเจอความผิดพลาด หรือความผิดหวังที่โผล่หน้ามาทักทายเราบ้าง แต่เราจะจมอยู่กับความผิดพลาดนั้น แล้วนั่งหงอกลัวการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งไปตลอดกาล หรือเราจะลองเปลี่ยนวิธีคิดเพื่อเผชิญหน้ากับความผิดพลาดที่เกิดขึ้น แล้วกระโจนลงไปเริ่มใหม่อย่างฮึกเหิมลองดูใหม่อีกสักตั้งดู! 1.ความผิดพลาดไม่ใช่ปัญหา แต่ถ้าไม่ใช้โอกาสในการเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั่นแหละปัญหา ใคร ๆ ก็ทำพลาดกันได้ เราเลือกได้ว่าจะแค่จมจ่อมอยู่กับปัญหานั้นไปตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ของเรา หรือจะให้มานเป็นโอกาสอันดีที่จะเรียนรู้จากข้อผิดพลาดนั้นเพื่อไม่ให้ทำมันซ้ำอีก หรือต้องพลาดในจุดเดิม จงจำไว้ว่าในทุก ๆ ข้อผิดพลาดมันมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้เราเรียนรู้และเติบโตขึ้น 2.ระวังความคิดที่มีต่อตัวเราเอง บอกตัวเองว่าเราไม่ได้ไร้ค่าแค่เพราะความผิดครั้งเดียว ความคิดต่อตัวเองมีส่วนสำคัญต่อทัศนคติ และสิ่งที่เราจะทำในอนาคตเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังข้อผิดพลาดเกิดขึ้นจงยอมรับว่าเราผิดและเรียนรู้จากมัน แต่อย่าใช้ความรู้สึกในการทิ่มแทงตัวเอง ซ้ำเติมตัวเองซ้ำ ๆ ว่าเราโง่ เราแย่ เราไม่ดี ให้คิดว่านี่คือส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ ไม่ใช่ความผิดพลาดที่คงอยู่ตลอดไป 3.รู้จักลองทำสิ่งใหม่ ๆ แล้วผิดพลาด ดีกว่านั่งสมบูรณ์แบบเพราะการอยู่เฉย ๆ การอยู่เฉย ๆ อาจทำให้คุณสะอาดปราศจากมลทินแห่งความผิดพลาดไปตลอดชีวิต แต่การประสบความสำเร็จไม่ได้งอกเงยออกมาจากการนั่งอยู่เฉย ๆ ได้ เราจึงต้องลงมือทำอะไรใหม่ ๆ เพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาไม่ซ้ำเดิม และแน่นอนว่าการลงมือทำอะไรที่ไม่เคยทำต้องเจอกับข้อผิดพลาด เจอกับความผิดหวังบ้างเป็นธรรมดา เพราะฉะนั้นคุณมาถูกทางแล้ว! 4.เราคือผลผลิตของผิดพลาดในอดีต แต่อย่าให้ข้อผิดพลาดมานิยามสิ่งที่เราเป็น แน่นอนว่าข้อผิดพลาด
เป็นเวลา 25 ปีหลังจากที่คำว่า “ความฉลาดทางอารมณ์ (Emotional Intelligence, EI)” หรือบางท่านอาจคุ้นเคยในชื่ออื่นเช่น “วุฒิภาวะทางอารมณ์ (Emotional Quotient, EQ)” ได้ถูกพูดถึงเป็นครั้งแรก ผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จำนวนมากได้เน้นความสำคัญของการจัดการอารมณ์ของตัวเองและของผู้อื่น ล้วนส่งผลต่อความสำเร็จในอาชีพการงาน การเป็นผู้ประกอบการ รวมถึงความเป็นผู้นำ งานวิจัยได้แสดงให้เห็นว่าคนที่มี EQ ต่ำเป็นคนที่ไม่รู้ตัวว่าตนเองขาดทักษะสำคัญด้านใด นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าเราทุกคนมักเก่งที่จะประเมิน EQ คนอื่นแต่ไม่ค่อยได้ประเมิน EQ ของตนเองอย่างตรงไปตรงมา ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเป็นคนที่มี EQ ต่ำ เนื่องจาก EQ นั้นจะมีหมวดที่พูดถึงการประเมินความรู้ตัวของตัวเองด้วย (Self- awareness) แม้ว่าคนที่มี EQ ต่ำกว่าคนอื่นมักจะไม่ค่อยมีใครชื่นชมเท่าไรนัก เพราะพวกเขาจะคิดสร้างสรรค์ได้น้อย มองโลกเชิงลบ (more negative) และเป็นคนที่เอาแน่เอานอนไม่ได้ ไม่ค่อยมีจุดหมาย แต่ก็ยังมีหนทางมากมายที่เราจะสามารถทำงานร่วมกับคนกลุ่มนี้ได้ จากผลการศึกษาที่เชื่อถือได้จำนวนมากได้ให้คำแนะนำที่จะช่วยให้เราบริหารจัดการสถานการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับคนที่มี EQ ไม่ดีนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยหลัก 4 ประการคือ “สุภาพอ่อนหวาน สื่อสารชัดเจน มุ่งเน้นเหตุผล ไม่โกรธโทษเคือง” 1.
เวลาผ่านไปเร็วมาก พูดถึงเรื่องการ “เปลี่ยนแปลง” ใคร ๆ ก็ส่ายหัว เพราะกลัวว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับเรานั้น มันจะดีขึ้น หรือว่าแย่ลง หลาย ๆ ครั้งเราก็ตัดสินใจว่าไม่เปลี่ยนดีกว่า เพราะกลัวว่าผลลัพธ์จะไปในทางลบ ทั้ง ๆ ที่เรายังไม่ได้ลองทำมันอย่างจริงจัง ลองนึกดูง่าย ๆ เวลาที่คุณทำงานบริษัท แล้วเจ้านายเกิดมีการตั้งกฏอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมา หลายครั้งคุณจะรู้สึกต่อต้านทันที ถึงแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นจะส่งผลดีให้คุณต่อไปในอนาคต หรือหลายคนบอกตัวเองว่าอยากมีธุรกิจของตัวเอง แต่ก็ไม่กล้าลาออกจากการเป็นพนักงานเงินเดือนสักที เพราะว่ากลัว และไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จในการสร้างธุรกิจหรือไม่ ปีใหม่นี้ ถ้าอยากประสบความสำเร็จ “เราต้องกล้าเผชิญการเปลี่ยนแปลง” ลองคิดง่าย ๆ ในฐานะพนักงานบริษัท ต้องมีการประเมินผลงานของพนักงานทุก ๆ ปี หากคุณทำงานของคุณเหมือนเดิม รับผิดชอบอะไรเท่าเดิม ไม่ได้มี special assignment หรือ skill อะไรใหม่ ๆ แล้วทำไมคุณถึงต้องได้เงินเดือนเพิ่ม? อีกมุมหนึ่ง ในฐานะเจ้าของบริษัท ทุก ๆ ปี คุณต้องการที่จะได้ยอดขายเพิ่ม แต่คุณยังทำทุกอย่างเท่าเดิม ไม่ได้มีการพัฒนาสินค้า การบริการใหม่
ความสุข ความสำเร็จในชีวิต เริ่มต้นด้วยการมี MINDSET ที่ดี