ในปี 2022 วันที่วงการดนตรีไทยอุดมไปด้วย Young Blood & New Face ที่เก่งกาจเกิดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน ด้วยวัฒนธรรม Home Studio ซึ่งมีมากขึ้น เรียกว่าเทคโนโลยีดนตรีสมัยใหม่สามารถทำให้ใครก็สามารถเริ่มขึ้นเดโม่ จนถึงจบมาสเตอร์ที่คุณภาพประมาณนึงได้ในห้องนอนของตัวเอง ที่น่าชื่นใจของวงการดนตรีไทยในทุกวันนี้ คือการที่คำว่า MASS กับ INDY ไม่ได้มีกำแพงต่อกันสูงเท่าสมัยก่อนอีกแล้ว แต่คนฟังให้ค่ากับคำว่า MUSIC จริง ๆ มากกว่า โดยที่ถึงแม้ว่าการเดินทางของวงจากทั้ง 2 ฝั่งก็ยังเป็นแบบที่วงในค่ายใหญ่ (ซึ่งอาจจะสามารถใช้เรียก Main Stream ได้) ต้องทำเพลงออกมาขายผู้บริโภค รันธุรกิจของค่ายไปพร้อม ๆ กับความฝันของพวกเขาต่อไป ทางฟากตรงกันข้าม ในส่วนของวงอิสระ (ไม่ได้สังกัดค่าย และอาจจะเรียกด้วยคำว่า INDY ได้เช่นกัน) ก็ยังคงมุ่งมั่นทำเพลงในทุกวันเพื่อจะขยับเข้าใกล้คนฟังหมู่มาก ไปจนถึงการได้สำเร็จความฝันที่จะมี ‘แฟนเพลง’ เป็นของตัวเองได้ในที่สุด จากประเด็นเรื่องของ MASS กับ INDY มันทำให้คนฟังเพลงวัยผู้ใหญ่อย่างเรา (พยายามหลีกเลี่ยงคำว่าแก่ล่ะ) คิดถึงวงการดนตรีของประเทศไทยเมื่อ 8
ถ้าคุณโตมากับดนตรีร็อคยุคหลังปี 2000 เป็นต้นมา คงไม่มีใครไม่รู้จักเว็บ myspace.com เว็บที่เหล่าวงดนตรีทั้งหลายใช้เป็นพื้นที่สำหรับโชว์ผลงานเพลงตัวเองลงบนหน้า profile การได้มีเพลงอยู่บนหน้าเว็บ myspace ของวงเป็นอะไรที่โคตรเท่ ถือเป็นยุคแรก ๆ ของโซเซียลมีเดียแห่งวงการดนตรีเลยก็ว่าได้ มีวงร็อคมากมายที่โด่งดังในกลุ่มอันเดอร์กราวด์ฝั่งอเมริกาตอนนั้น ไม่ว่าจะเป็น SAOSIN, UNDEROATH, THE USED, BLESSTHEFALL, FROM FIRST TO LAST, และ STORY OF THE YEAR ฯลฯ และนั่นก็เป็นยุคเดียวกันกับที่วงร็อคอันเดอร์กราวด์ในไทยกำลังบูม มีกลุ่มแฟน ๆ ติดตามอย่างเหนียวแน่น เรียกได้ว่าเกือบทุกอาทิตย์จะมีคอนเสิร์ต ให้ชาวร็อค ได้ออกไปเสพการแสดงสดอย่างเต็มเหนี่ยว ซึ่งเป็นงานอันเดอร์กราวด์จัดในสถานที่เล็กบ้างใหญ่บ้าง มีทั้งงานโคฟเวอร์เพลงวงต่างประเทศ หรือจะเป็นเพลงออริจินัลจากศิลปินไทยเองก็มีให้ตามชม ตามฟังกันไม่หวาดไม่ไหว ไม่ว่าจะเป็นงาน อ๊าก ว๊าก จ๊าก, Yos Fest ที่ขนเอาศิลปินในเส้นทางร็อคผลัดกันขึ้นไประเบิดความมันส์บนเวที ส่วนคนดูก็มีวัฒนธรรมการชมคอนเสิร์ตที่ภาพอาจจะดูรุนแรง เช่นการ mosh pit (การเหวี่ยงหมัดไปรอบ ๆ) circle
สำหรับปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่วงการดนตรีมีความคึกคักมากกว่าปกติ ทั้งศิลปินที่ห่างหายไปนานได้กลับเข้าสตูดิโอเข็นอัลบั้มใหม่แกะกล่องออกมาให้แฟน ๆ ได้หายคิดถึง หรือแม้แต่ศิลปินที่มีผลงานในขณะนั้นก็ไม่ยอมแพ้ ปล่อยเพลงใหม่ ๆ ออกมาเรียกเสียงฮือฮาเช่นกัน แต่อะไรจะเรียกเสียงฮือฮาได้เท่าการกลับมาของเทศกาลดนตรีเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งแต่เป็นที่จดจำตลอดไปอย่าง Woodstock 1969 เมื่อ The Bird Of Peace กลับมาโบยบินอีกครั้งหลังจากห่างหายไปถึง 50 ปี มาดูความยิ่งใหญ่ของเทศกาลดนตรีครั้งนี้เมื่อในอดีต The Bird Of Peace เมื่อปี 1969 ช่วงกลางเดือนสิงหาคม Woodstock Music & Art Fair ได้ถือกำเนิดขึ้น ด้วยความตั้งใจของสี่หัวหอกอย่าง Artie Kornfeld, Michael Lang, John Roberts และ Joel Rosenman ผืนแผ่นดินเขียวชอุ่มกว่า 600 เอเคอร์ในฟาร์มของนาย Max Yasgur ณ เมือง Bethel, NY ถูกใช้เป็นพื้นที่ตั้งเวทีและรองรับคนดูที่ต้องตั้งแคมป์สำหรับการกินนอนที่นี่ถึงสามวันสามคืน พื้นที่สำหรับการดื่มด่ำเสียงดนตรีแบบใกล้ชิด
“นักดนตรีใช้สารเสพติดในเพื่อเพิ่มความคิดสร้างสรรค์ ส่วนผู้รักในเสียงเพลงพบว่ามันช่วยให้เข้าถึงได้มากขึ้น” ประโยคครหานี้ทางเราไม่ข้อตัดสินว่าจริงหรือไม่จริงน่าจะดีกว่า ขอให้ทีมงาน UNLOCKMEN ได้เดินสะดวกหน่อย(ฮา) แต่ก็อย่างว่า เราต่างอยู่ในโลกให้ความจริงที่ไม่ได้สวยเสมอไป ก็เลยเถียงประโยคข้างต้นไม่ขึ้นเพราะว่ามันมีมูลความจริงอยู่ โดยความสัมพันธ์ระหว่างสารเสพติด, แอลกอฮอล์ และดนตรีมักจะสะท้อนออกมาทางเนื้อร้อง ซึ่งบางครั้งเนื้อหาที่เกิดขึ้นทางศิลปินก็ได้รับอิทธิพลมาจากใช้ยาเสพติดบางประเภท บางเพลงก็อ้อม ๆ บางเพลงก็ตรง ๆ แถมดังด้วย ถ้าศึกษาประวัติศาสตร์ทางดนตรีจะพบว่าแนวเพลงแบบ Acid Rock ก็ถือกำเนิดมาจากการใช้ LSD (แอลกอฮอล์แห้ง) ขณะที่เพลงแนว House ที่วน loop ก็คงจะไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร ถ้ากลุ่มนักปาร์ตี้ตัวยงที่ใช้ยาเสพติดประเภทยาอีไม่ค้นพบว่ามันเข้าทางกันกับแนวทางดนตรีที่พวกเขาชอบ ขณะที่ดนตรีแนว Country ก็มักจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับยาเสพติด และยังอ้างอิงถึงมันมากกว่าแนวอื่นแม้กระทั่ง Hip Hop ด้านคนเสพดนตรีในปัจจุบันเองก็มีผลสำรวจล่าสุดที่น่าสนใจออกมา เจาะเข้าถึงกลุ่มผู้ที่ชอบไปร่วมเทศกาลดนตรีแนว EDM (Electronic dance music) โดยเฉพาะ Music Festival ชื่อดังระดับโลกหลายงานในต่างประเทศที่เราขอสงวนชื่อไว้ ซึ่งทาง TickPick ตลาดขายตั๋วรายใหญ่ได้ทำการสำรวจคนที่ไปร่วมงานเทศกาลดนตรีชื่อดังจำนวน 1,000 คน ตั้งแต่อายุ 18-74 ปี (ค่าเฉลี่ย 32.4 ปี)
Music Festival เป็นแหล่งรวมหนุ่มสาวผู้รักการฟังเพลงแบบจำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเพื่อนที่ขนกันมาเมามายไปกับเสียงเพลงและแอลกอฮอล์แบบมัน ๆ ถึงเช้า หรือจะเป็นคู่รักที่ถือโอกาสมาฮันนีมูนท่ามกลางดนตรีสดที่ขับกล่อมให้ความรักหวานฟุ้งขึ้นมาแบบไม่มีเหตุผล เมื่อหนุ่มสาวมารวมตัวกันกินนอน ใช้ชีวิต บวกกับเสียงเพลง มีหรือที่จะข้ามเรื่องอโคจรอย่างของมึนเมาและ SEX ไปได้ วันนี้ UNLOCKMEN จะพามาดูผลสำรวจกันเล่น ๆ ว่า Music Festival งานไหนที่ผู้คนนิยมมี SEX กันมากที่สุด เผื่องานหน้าใครกระเป๋าหนักอยากไปฟังเพลงแถมได้สาวมากุ๊กกิ๊กแบบ One Night Stand สักคนก็ถือว่า Not Bad ดนตรีคงทำให้เราอยู่ใน Mood ที่ล่องลอยไปกับมันได้มากพอ ๆ กับการดื่มน้ำเมา ไม่ว่าจะเป็นคู่รักหรือคนที่เพิ่งสบตากันในงาน ก็คงไม่พ้น Mood นี้เช่นกัน ดนตรีดี ๆ บรรยากาศดี ๆ การหันไปแล้วเจอใครสักคนที่ถูกใจ คงจะดีไม่น้อยถ้าได้พากันไปประกอบกิจกรรมเข้าจังหวะท่ามกลางบรรยากาศที่ยอดเยี่ยมอย่าง Music Festival ที่ได้เสพดนตรีที่ตัวเองชื่นชอบไปด้วย แม้ฟังดูอาจไม่น่าเชื่อ แต่จากผลสำรวจพบว่าเพลงหนัก ๆ ถึงใจชาวร็อกอย่าง Red Hot Chili Peppers ทำให้หนุ่มสาวอยู่ใน Mood