** คิดว่าน่าจะสปอยล์ยับ ๆ ไปเลยนะ แต่เอาจริงส่วนตัวคิดว่าไปอ่านสปอยล์หนัง 100% แบบ 2 นาทีจบเลยก็ไม่พลาดอะไรหรอก ** ไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวเกรี้ยวกราดเอายอดอ่านอะไรแบบนั้น แต่ถ้าทุกคนจะเอาเวลาเกือบ 8 ชั่วโมง นั่งตั้งใจดูซีรีส์เรื่องนี้อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ (กันไว้ก่อนเผื่อมีคนดูที่ชอบซีรีส์เข้ามาอ่าน) เว้นแต่ว่าจะอยากเห็นรอยยิ้มโลกสดใสของคุณ Mei Nagano นั่นก็เป็นอีกเรื่องนึงล่ะ Burn The House Down เป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกันของอาจารย์ Moyashi Fujisawa ที่เขียนตอนปี 2021 ซึ่งเราเชื่อว่าดีกว่าฉบับซีรีส์แน่นอน ดูสิ เพียงแค่ 2 ปีก็ถูกเอามาทำเป็นซีรีส์ออริจินัลของเน็ตฟลิกซ์เลย เนื้อเรื่องของ Burn The House Down เริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุการณ์เลวร้ายของครอบครัว Mitarai ที่บ้านหลังใหญ่ของพวกเขาถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไร ท่ามกลางกลองเพลิงที่มีชาวบ้านรายล้อมอยู่นั้น Satsuki Mitarai แม่ของลูกสาวสองคนผู้เป็นเจ้าของบ้าน ได้แต่คุกเข่าขอโทษลูก ๆ และสามีตัวเอง เพราะเชื่อว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านถูกไฟไหม้จากการลืมปิดเตาแก๊สตอนทำกับข้าว … เหตุการณ์ผ่านไป 13 ปีจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เปลี่ยนหลายสิ่งอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ อย่างแรกคือการที่
วินาทีนี้คงจะไม่มีซีรีส์เรื่องไหนจะร้อนแรงได้เท่ากับ Beef ของ Netflix อีกแล้ว ! ซีรีส์เรื่องนี้ผลิตโดย A24 ค่ายสุดไฮป์ผู้ขยันสร้างตำนานได้ทุกวัน กับเรื่องย่อสุดมินิมอลที่สามารถเล่าไว ๆ บรรทัดเดียวจบได้แบบนี้ “นี่คือเรื่องราวระหว่าง Danny Cho กับ Amy Lau คนแปลกหน้าที่ประทะอารมณ์กันบนท้องถนน บีบแตรรถใส่กัน ด่ากัน ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย จนนำไปสู่ความวายป่วงของชีวิตเกินกว่าใครจะคิดฝัน” ถึงแม้ว่าเรื่องย่อของซีรีส์จะแสนสั้น แต่ซีรีส์เรื่องนี้อุดมด้วยรายละเอียดของประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างเข้มข้น ทั้งฉายภาพความเหนื่อยล้าของชนชั้นกลางที่ทำงานเพื่อคนอื่นตลอดชีวิตแต่ไม่มีใครเห็นค่า ความคิดชุ่ย ๆ ของ Privillage ที่มองคนเป็นคนไม่เท่ากัน และอีกหลายประเด็นที่ดูจบครั้งเดียวคงเก็บรายละเอียดไว้ไม่หมดแน่นอน สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างแรกเกี่ยวกับ Beef คือการวางตัวของ Lee Sung Jin เดบิวต์ในฐานะ Creator และ Director เป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาเป็นคนเขียนบทซีรีส์มาโดยตลอด ผลงานเด่น ๆ ก็จะมี Undone (2019) / Dave (2020) /
มวยไทยที่ใคร ๆ ก็ต่างภูมิใจในความเป็นศิลปะประจำชาติ มันได้สร้างชื่อเสียงให้กับบ้านเราอย่างมากมาย ด้วยลีลาที่สวยงาม บวกกับอาวุธโจมตีที่รุนแรง สามารถใช้ทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หมัด, ศอก, เข่า หรือลูกเตะ ใครตั้งการ์ดรับไม่ทันมีหวังได้ล่วงหลับโดยไม่ทันตั้งตัว นักมวยที่ประสบความสำเร็จของประเทศไทยล้วนมีพื้นฐานมาจากมวยไทย ไม่ว่าจะเป็น เขาทราย แกเแลคซี่, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, สมจิตร จงจอหอ หรือบัวขาว บัญชาเมฆ เป็นต้น พวกเขาต่างต้องเคยล้มลุกคลุกคลานผ่านสังเวียนใหญ่น้อยกว่าที่จะได้ก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ ทุกอย่างดูสวยงาม ดูมีหนทางการเติบโตของนักมวยไทย แต่แท้จริงแล่วอย่างที่หลายคนทราบกันว่ากีฬาชนิดนี้มีการเดิมพันหรือที่ใคร ๆ ก็เรียกกว่า “พนัน” แบบถูกกฎหมาย และก็เพราะเรื่องดังกล่าวที่มันทำให้สีดำได้สาดเข้ามาแปดเปื้อนวงการมวยไทย และมันได้ถูกตีแผ่เล่าเรื่องผ่านซีรีส์เรื่อง “HURTS LIKE HELL เจ็บเจียนตาย” ที่ออกฉายทาง Netflix ไปเป็นที่เรียบร้อย ผลงานเรื่องนี้กำกับโดย “กิตติชัย วรรณ์ประเสริฐ” เป็นซีรีส์สไตล์ Docudrama (สารคดีผสมกับดราม่าซีรีส์) มีทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน โดยจะแบ่งเรื่องราวออกเป็นหลายเซสชั่น แต่จะเชื่อมโยงมายังเรื่องราวน่าสลดของวงการมวยไทย โดยเริ่มจากเล่าเรื่องผ่านเรื่องราวของเซียนมวยรุ่นเล็กที่มีชื่อว่า “พัด” นำแสดงโดย