DESIGN

DAVID CHOE ศิลปินกราฟิตี้สุดขบถ เคยติดคุกในญี่ปุ่น เป็นเศรษฐีเงินล้านจาก FACEBOOK สู่นักแสดงซีรีส์เรื่อง Beef ที่ยากจะยอมรับ ?

By: GEESUCH April 19, 2023

วินาทีนี้คงจะไม่มีซีรีส์เรื่องไหนจะร้อนแรงได้เท่ากับ Beef ของ Netflix อีกแล้ว ! ซีรีส์เรื่องนี้ผลิตโดย A24 ค่ายสุดไฮป์ผู้ขยันสร้างตำนานได้ทุกวัน กับเรื่องย่อสุดมินิมอลที่สามารถเล่าไว ๆ บรรทัดเดียวจบได้แบบนี้ 

“นี่คือเรื่องราวระหว่าง Danny Cho กับ Amy Lau คนแปลกหน้าที่ประทะอารมณ์กันบนท้องถนน บีบแตรรถใส่กัน ด่ากัน ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย จนนำไปสู่ความวายป่วงของชีวิตเกินกว่าใครจะคิดฝัน”

ถึงแม้ว่าเรื่องย่อของซีรีส์จะแสนสั้น แต่ซีรีส์เรื่องนี้อุดมด้วยรายละเอียดของประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างเข้มข้น ทั้งฉายภาพความเหนื่อยล้าของชนชั้นกลางที่ทำงานเพื่อคนอื่นตลอดชีวิตแต่ไม่มีใครเห็นค่า ความคิดชุ่ย ๆ ของ Privillage ที่มองคนเป็นคนไม่เท่ากัน และอีกหลายประเด็นที่ดูจบครั้งเดียวคงเก็บรายละเอียดไว้ไม่หมดแน่นอน

สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างแรกเกี่ยวกับ Beef คือการวางตัวของ Lee Sung Jin เดบิวต์ในฐานะ Creator และ Director เป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาเป็นคนเขียนบทซีรีส์มาโดยตลอด ผลงานเด่น ๆ ก็จะมี Undone (2019) / Dave (2020) / Girlboss (2017) / It’s Always Sunny in Philadelphia (2005) จะเห็นว่าทั้งหมวดล้วนเป็นซีรีส์ในหมวด Comedy หมดเลย เหมือน Lee Sung Jin สะสมอารมณ์ขันในด้านร้าย ๆ ของตัวเองเพื่อมาลงมือใช้กับ Beef แบบใส่เต็มแม็กซ์ไม่มียั้งมือ (ถ้า Netflix ไม่ได้ขอไว้อะนะ)

อีกสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันและเป็นเนื้อหาหลักของเราในคอลัมน์นี้ คือ Beef เป็นซีรีส์ที่วิพากษ์ศิลปะแบบเผ็ชปากไหม้ แถมนักแสดงในเรื่องยังมีคนที่เป็นศิลปินผลิตงานศิลปะตัวจริงเสียด้วย คนแรกคือ Joseph Lee ในบท George Nakai สามีสุดหล่อของนางเอกของเรา Painter ฝีมือฉกาจที่ฝึกศิลปะด้วยตัวเองล้วน ๆ และ David Choe ในบท Isaac Cho ญาติมหาภัยตัวบรรลัยในชีวิตของตัวเอก และรับบทเป็นศิลปินกราฟิตี้สุดชบถของโลกในชีวิตจริง แถมเขายังเป็นศิลปินเจ้าของภาพ Titile Card สุดเอพิคที่อยู่ในตอนเปิดอีกด้วย

A Meat Stall with the Holy Family Giving Alms (Pieter Aertsen) ภาพที่ถูกใช้เป็น Titile Card เปิดอีพีที่ 1 ของ Beef

Title Card อีพีที่ 2-10 ภาพวาดฝีมือของ David Choe

“David Choe เสนอผมว่าทำไมไม่ใช่รูปภาพของเขาล่ะ เพราะเขาไม่ได้จัดแสดงงานของตัวเองมาหลายปีแล้ว และมันมีผลงานเป็นร้อย ๆ ที่ไม่เคยมีใครได้เห็น เดฟให้ผมเลือกรูปที่ผมคิดว่าเหมาะที่สุดสำหรับในแต่ละอีพีไปได้เลย”

– Lee Sung Jin (ผู้สร้าง Beef)

หลังจากอีพีที่ 1 ที่ใช้รูปจากศัตวรรษที่ 15 ชื่อ ‘A Meat Stall with the Holy Family Giving Alms’ ของศิลปินแนวจริตนิยม (Mannerism) ชื่อ Pieter Aertsen ภาพที่เหลือก็เป็นผลงานของ David Choe หมดเลย

ย้อนกลับไปในช่วงเวลาก่อนที่ David Choe จะมารับบทนักแสดงของ Beef ชีวิตของเขาเต็มไปด้วยความรุนแรง ความเศร้าหมอง ที่มาพร้อมกับความบ้าระห่ำราวกับว่าใช้ชีวิตแบบไม่มีที่ท่าว่าจะยั้งคิดอะไรทั้งนั้นอยู่ตลอดเวลา UNLOCKMEN ขอพาทุกคนไปรู้จักชีวิตศิลปินของ David Choe เพื่อทำความรู้จักเขามากขึ้น และอัพเดทเหตุการณ์ล่าสุดในปี 2023 ถึงเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงยอมรับไม่ได้ที่เขามีส่วนในผลงานเรื่อง Beef   


ตอนที่ 1 เด็กหนุ่มชื่อ David Choe ผู้รับดีเอ็นเอศิลปินกราฟิตี้ต่อจากพ่อของตัวเอง   

 

ถ้าจะต้องเล่าประวัติของ David Choe อย่างละเอียด เราต้องเริ่มต้นกันด้วยวันเกิดของเขาคือวันที่ 21 เมษายน 1976 พ่อแม่ของเดวิดเป็นผู้อพยพชาวเกาหลีที่มาอาศัยอยู่ในอเมริกา และนั่นก็ทำให้เดวิดมีชีวิตวัยเด็กเกิดและเติบโตอยู่ใน Korea Town ของ Los Angeles       

เดวิดเริ่มต้นวาดรูปในช่วงอายุประมาณ 13 ปี ซึ่งตอนนั้นก็เป็นแค่กิจกรรมสนุก ๆ ตามประสาเด็กที่อยากเห็นการ์ตูนในดวงใจอย่าง Transformer / G.I. Joe / Robotech / Star Wars และอีกหลาย ๆ เรื่องกลายเป็นภาพวาดฝีมือของตัวเอง และชนวนการวาดรูปในตอนนั้น กำลังจะปูทางเข้าสู่ถนนสายศิลปินกราฟิตี้ (Grafity) ของเดวิดในแบบที่เขาไม่รู้ตัว ..  

ผลงานภาพวาดของ David Choe ตอนอายุ 13

ช่วงบ่ายวันหนึ่งของปี 1990 เดวิดขึ้นรถบัสมุ่งหน้าสู่ Venice Beach เพื่อออกไปเล่นกับเพื่อนตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้วันนั้นแตกต่างออกไปจากวันอื่น คือการที่เดวิดได้เจอกับชายสวมหน้ากากคนหนึ่ง ที่ถือกระป๋องสเปรย์พ่นสีชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า จากความยุ่งเหยิงในตอนแรก กลายเป็นภาพอวกาศอันกว้างใหญ่ในที่สุด สิ่งที่อยู่ต่อหน้าทำให้ความคิดของเดวิดแตกกระเจิง จนเผลออุทานออกมาว่า “เชี่ยไรวะเนี่ย” ก่อนจะใช้เวลาที่เหลือทั้งวันจนลืมนัดเพื่อนแล้วยืนดูผู้ชายคนนั้นแทน ในตอนสุดท้ายหลังจากภาพเสร็จสมบูรณ์ เดวิดก็พูดกับตัวเองในใจว่า “เราก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน” แล้ว Graffiti Life ของเดวิดก็เริ่มต้นขึ้น      

ยายของเดวิดเคยเล่าให้เขาฟังว่า พ่อของเขาเคยไปวาดรูปอะไรสักอย่างอยู่ข้างถนนในตอนที่เป็นวัยรุ่น ในช่วงเวลาที่เด็กชายเดวิดกำลังหมกมุ่นอยู่กับการทำศิลปะพ่นสีสเปรย์จากกระป๋องอยู่ เขาเข้าใจทันทีว่าสิ่งที่พ่อของเขาทำคือ ‘กราฟิตี้’ บวกกับความรักที่มีให้พ่อมากอยู่แล้ว ทำให้พ่อของเขากลายเป็นฮีโร่ในด้านศิลปะของตัวเอง และเรื่องยิ่งพีคขึ้นไปอีก เมื่อเดวิดรู้ว่าพ่อของเขาเคยคิดที่จะเดินบนเส้นทางศิลปินมาก่อน แต่ต้องออกไปรบในตอนวัยรุ่น และเมื่อกลับมา คุณปู่กับคุณยายก็ดับความฝันการเป็นศิลปินของเขา ด้วยเหตุผลที่ในช่วงเวลานั้นไม่รู้จะตอบโต้อย่างไรเลย     

“เหล่าพ่อแม่ในยุคสมัยของผม ล้วนแต่ผลักให้ลูกไปเป็นหมอหรือทนายกันเสียหมด โดยที่ไม่สนใจความคิดสร้างสรรค์หรือความฝันของพวกเราเลย ผมอยากเป็นศิลปินมาเสมอ และมันก็ไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อเดวิดต้องการจะใช้ชีวิตเป็นศิลปิน ผมเข้าใจทันทีเลยว่าสิ่งนั้นมาจากไหน และทำไมผมถึงต้องสนับสนุนเขา พร้อมกับหวังอย่างยิ่งว่าเขาจะได้แชร์ศิลปะของตัวเองให้โลกใบนี้เห็น”

– Jimmy Choe (พ่อของ David Choe)

หลังจากฝึกฝน เรียนรู้ เขย่ากระป๋องสีเป็นพัน ๆ ครั้ง ภาพแรกที่เดวิดพ่นกำแพงปักหมุดความเป็นศิลปินกราฟิตี้ของตัวเอง คือข้อความจากพระคัมภีร์ไบเบิล ยอห์นที่ 11:35 คือ “Jesus Wept” และแทนที่จะพ่นชื่อศิลปินตัวเองบนกำแพง เดวิดกลับพ่นตัวการ์ตูน ‘ปลาวาฬ’ พร้อมข้อความเชิงปรัชญาลงไปแทนอีก ซึ่งปลาวาฬตัวนี้เป็นจุดเริ่มต้นของคาแรคเตอร์ดีไซน์ชื่อ Munko Whale ตัวแทนความวุ่นวาย สับสน และสงบสุขในจิตใจของเขาเอง


ตอนที่ 2 การเติบโตเป็นศิลปินกราฟิตี้ ที่วาดภาพประกอบให้หนังสือโป๊ แสดงนิทรรศการเดี่ยวในร้านไอศครีม

ตัดภาพมาในปี 1992 ในขณะที่เดวิดอายุได้ 16 ปี เขาได้รับโทรศัพท์จากแม่พร้อมกับเสียงเศร้าที่ปลายสายจับใจความได้ว่า ธุรกิจที่ Korea Town ของที่บ้านกำลังจะเจ๊งแล้วนะลูก ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่เดวิดตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลาออกจาก High School และจะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยอย่างเด็ดขาด เดวิดมองว่าการเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อเรียนศิลปะ นั่งเรียนดรอวอิ้งเป็นอะไรที่เหมือนกับ Disney Land มันไม่ใช่โลกความจริงสำหรับเขา 

ช่วงเวลาหลังจากไม่ได้เรียนหนังสือของเดวิด เขาใช้มันไปกับการออกพ่นกราฟิตี้ทุกคืน บอมบ์ทุกกำแพง ในทุกที่ และทุกสิ่งอย่างเท่าที่จะทำได้ โดยไม่เคยขออนุญาตใครก่อน เดวิดนิยามงานของเขาในตอนนั้นว่า ‘สิ่งที่เหนือการควบคุม’ นอกจากนั้น เขาก็ออกไปปีนเขา ท่องเที่ยวข้ามอเมริกา ไปยุโรป ข้ามไปประเทศทางตะวันออกกลาง และไปจนถึงแอฟริกา  

หลังจากผ่านไป 2 ปี เดวิดในอายุ 21 กลับมาสู่ Los Angeles อีกครั้งพร้อมกับความคิดที่โตขึ้น และในครั้งนี้เขาพร้อมแล้วสำหรับการจะเป็นศิลปินที่แท้จริงสักที จึงสมัครเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะเพียงแห่งเดียวที่เขาสมัครแล้วติด (เศร้าจัด) ก็คือ The California College of Arts and Crafts ซึ่งอยู่ใน Oakland เดวิดเก็บกระเป๋ามุ่งหน้าสู่ California ทันที และที่นั่นเดวิดได้เรียนโดยตรงกับ Barron Storey นักวาดภาพประกอบและศิลปินกราฟิกโนเวลระดับตำนานของอเมริกา คนที่เดวิดยกย่องถึงขนาดให้เป็นเมนเทอร์ในชีวิตของเขาด้วย ตรงนั้นเอง ที่งานของเดวิดไปไลกมากกว่าแค่การทำกราฟิตี้ และมันจะส่งผลกับงานของเดวิดในเวลาต่อมา    

“ถ้าคุณต้องการเป็นศิลปินที่เก่งที่สุด คุณก็ต้องเรียนรู้จากคนที่เก่งที่สุด และ Barron Storey ก็เปรียบได้กับพระราชา”

ปี 1994 เป็นเวลา 2 ปี หลังจากเรียนศิลปะอย่างจริงจัง เดวิดตัดสินใจลาออกกลางคันอีกครั้ง เหตุผลครั้งนี้ เดวิดบอกว่าเขากำลังไฟแรงสุด ๆ เรียกว่าอยู่ในโหมดโคตรคนทำงานสร้างสรรค์ (Creativity Mode) จึงขอลงสนามจริงเอาเวลาไปทำงานเลยละกัน  

     

เดวิดใช้เวลายื่นใบสมัครส่งพอร์ตเป็นนักวาดภาพประกอบไปที่นิตยสารหลายหัว ไม่ว่าจะ The Rolling Stone / Time Magazine / Newsweek Magazine แต่โดนปฎิเสธทั้งหมด ในช่วงเวลาสับสนว่าจะไปยังไงต่อดีนะ งานเรายังไม่ดีพอรึเปล่า มันเป็นช่วงเวลาประจวบเหมาะที่ตอนนั้นเดวิดเสพย์นิตยสารโป๊ (Porno magazine) เยอะมาก ๆ แล้วบังเอิญ ไปเจอเข้ากับนิตยสารนึงที่แบบโอ้โห ทำไมใช้ภาพประกอบในนิตสารเยอะจัง แล้วงานดีด้วย เอาล่ะ ! พอจับทางได้เดวิดก็ใช้เวลาทั้งคืนสร้างพอร์ตในแบบที่ตัวเองยังไม่เคยมี คือรูปโป๊ในสไตล์ของ David Choe หลากหลายชิ้นเต็มไปหมด แล้ววันต่อไปก็จัดการยื่นพอร์ตไปที่นิตยสารนั้นเลย … ผลคือเดวิดได้งาน และนิตยสารที่ว่ามีชื่อว่า Hustler Magazine นิตยสารของเหล่าชายแท้ที่ไม่มีใครในอเมริกาไม่รู้จัก 

แต่ทว่า เดวิดกลับทำงานที่ Hustler Magazine ได้แบบไม่ยืนยาวนัก เพียงแค่ 2-3 เดือนเท่านั้น ถึงแม้เดวิดจะเคลมว่าตัวเองทุ่มเทแรงใจและจิตวิญญาณให้กับที่นี่มาก แต่เขาให้เหตุผลว่ามันเป็นงานที่ทำนานไม่ได้ เพราะทำให้รู้สึกแปลก ๆ กับตัวเอง      

แต่งานวาดภาพประกอบให้กับนิตยสารของเดวิดไม่ได้จบลงเพียงแค่นั้น ด้วยโปรไฟล์จากงานแรก ทำให้เดวิดได้งานกับนิตยสารเท่ ๆ อย่าง Ray Gun ของกราฟิกดีไซเนอร์ระดับตำนาน David Carson รวมถึงได้ทำงานร่วมกับนิตสารศิลปวัฒนธรรม Vice และทำวิดีโอคอนเทนต์ร่วมกันด้วย ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น นิตยสารป็อปคัลเจอร์ของคนเอเชียอย่าง Giant Robot ก็มาจีบเดวิดให้ไปทำงานด้วย

เวลาล่วงเลยมาในปี 1996 พร้อมกับประสบการณ์ในวงการสิ่งพิมพ์หลากหลายแบบที่ถูกสะสมแบบอัดแน่น ได้หล่อหลอมให้เดวิดอยากทำงานในรูปแบบนี้ออกมาในสไตล์ของตัวเองบ้าง ในคืนหนึ่ง เดวิดก็เริ่มทำงานเขียนและวาดภาพประกอบหนังสือที่เล่าเรื่องของเด็กชายที่ไปเจอกับเด็กสาวในงานปาร์ตี้ หนังสือเริ่มต้นด้วยความโรแมนติก ก่อนจะค่อย ๆ นำคนอ่านเข้าสู่ความหมกหมุ่นทางเพศอันรุนแรงและการฆ่าตัวตาย แล้ว 2-3 ปีต่อมา กราฟิกโนเวล (Graphic Novel) เล่มแรกในชีวิตชื่อ Slow Jams จำนวน 35 หน้าของเขาก็เกิดขึ้น   

‘Slow Jams’ Graphic Novel By David Choe

ในปี 1998 เดวิดจัดการถ่ายเอกสาร Slow Jams แล้วเอาไปเดินแจกในงาน Comic-Con ของปีนั้น จำนวนทั้งหมด 200 ก๊อปปี้ ด้วยความหวังว่าจะมีสำนักพิมพ์มาติดต่อมา แต่เหมือนว่าจะไม่สำเร็จ เดวิดจึงตัดสินใจส่งหนังสือของตัวเองไปที่ The Xeric Foundation องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงผลกำไร สำหรับคนทำหนังสือการ์ตูนที่ต้องการทุนเพื่อพิมพ์หนังสือของตัวเอง และผลงานที่มีคุณค่าของเดวิด ก็ทำให้เขาได้ทุนจากองค์กร 5,000 ดอลล่า เพื่อพิมพ์หนังสือของตัวเอง แล้ว Slow Jams ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 จำนวน 1,000 เล่ม ก็ถูกปล่อยออกมาจากโรงพิมพ์พร้อม ๆ กับการโปรโมทที่ดีขึ้น จนถูกขายหมดในเวลาอย่างรวดเร็ว เกิดเป็นของแรร์ที่คนเล่นรู้กัน ถึงขนาดว่าส่งผลให้ในตอนหลังมีคนเอาไปปล่อยใน E-Bay ในราคาหลายร้อยดอลล่า จากราคาขายจริงแค่ 4 ดอลล่าเท่านั้น ! (หลังจากนั้นเดวิดก็มีคอมิคออกมาอีกเรื่อย ๆ)

สิ่งที่เกิดขึ้นจากความสำเร็จของ Slow Jams คืออะไรรู้มั้ยครับ ? มันคือสิ่งที่เด็กชาย Comic Boy อย่างเดวิดเกินจินตนาการได้ 

Jim lee นักวาดการ์ตูนคอมิคระดับตำนาน (ปัจจุบันเป็นประธานฝ่ายสร้างสรรค์ของ DC) ที่ตอนนั้นเขาเป็นนักวาดการ์ตูนของ Marvel อยู่ ขอติดต่อพบกับเดวิดโดยตรง พร้อมกับวาดฝันว่าเราจะสร้างตำนานโปรเจคต์ใหม่ของค่ายอย่าง New X-Men ร่วมกัน เมื่อได้ยินอย่างนั้นแล้ว ในฐานะแฟนบอยเดนตายของค่ายมาตลอดชีวิต เดวิดหยุดทุกงานที่เขามีอยู่ในมือ มุ่งหน้าพัฒนาโปรเจกต์นี้อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ความฝันก็เป็นเพียงแค่ความฝัน เมื่อจู่ ๆ Marvel ก็พับโปรเจกต์นี้แบบที่ไม่มีการแจ้งเดวิด และนั่นก็ทำให้ความโกรธเกรี้ยวในตัวของเดวิดระเบิดออกมา เขาจัดการส่งจดหมายด่าไปชุดใหญ่ถึงประธานของ Marvel (ซึ่งมีแต่คำที่ใส่ลงในบทความนี้ไม่ได้ทั้งนั้น)     

Batman #108 คอมิคที่ในภายหลัง David Choe ได้มีส่วนร่วมกับ DC Comic ในปี 2021 ผลิตจำนวนจำกัดแค่ 3,000 ก๊อปปี้เท่านั้น

หลังจากฝันสลายครั้งนั้น ดูเหมือนว่าความคิดที่มีต่อศิลปะของเดวิดจะเปลี่ยนไปอีกครั้ง เดวิดมุ่งมั่นสร้างผลงานของตัวเองอีกครั้งเพื่อจัดนิทรรศการเดี่ยว และเมื่อได้เอางานจัดโชว์ตามแกลอรี่ในหลาย ๆ แห่ง เดวิดพบว่างานของเขาได้รับความสนใจน้อยมาก ดังนั้นเพื่อทำการต่อต้านความคิดที่ว่างานศิลปะต้องถูกจัดแสดงอยู่ในแกลอรี่เท่านั้น เลิก ! เดวิดเอางานของตัวเองไปจัดแสดงที่ Double Rainbow แบรนด์และร้านขายพรีเมี่ยมไอศครีมฮิป ๆ แทนไปเลย ผลลัพธ์ของครั้งนี้ต่างออกไป คนสนใจงานของเดวิดอย่างมาก และงานแสดงทุกงานที่จัดโชว์ถูกเหมาจนหมดในทีเดียว โดยผู้ชายชื่อ Mark ที่เดวิดมารู้ทีหลังว่าเป็นคนใหญ่คนโตจากบริษัท Nokia  


ตอนที่ 3 การติดคุกครั้งแรกในชีวิต และการมาถึงของงานพ่นกำแพงออฟฟิศให้บริษัทโนเนมชื่อ FACEBOOK

ในปี 2003 เดวิดมีจัดแสดงนิทรรศการที่ประเทศญี่ปุ่น และเพียง 24 ชั่วโมงแรกที่เขาไปถึงแดนปลาดิบ เรื่องเลวร้ายที่จะเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาลก็ได้เกิดขึ้น

เดวิดให้สัมภาษณ์ในสารคดีชีวิตของเขาเองชื่อ Dirty Hands: The Art and Crimes of David Choe (ถ่ายโดยเพื่อนสนิทของเขา Harry Kim) เอาไว้ว่า ในช่วงเวลานั้นจู่ ๆ ความรุนแรงก็ปะทุขึ้นในจิตใจของเขา ความคิดชั่วร้ายที่ว่าถ้าเราแค่เดินเข้าร้านแห่งหนึ่ง หยิบของมากมายแล้วเดินออกมา แค่ทำการขโมยมันจะเป็นอะไรไป สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ตำรวจพยายามเข้ามาล็อคตัวของเดวิดเพื่อทำการจับกุมเขา แล้วสิ่งที่เดวิดทำคือการเอาหมัดของตัวเองชกไปที่หน้าของตำรวจคนนั้นแบบเต็มแรง จนแว่นแตกกระจายไปเลย เหตุการณ์เลวร้ายที่เราบอกไว้ก่อนกน้านี้ ก็คือการถูกส่งตัวเข้าคุก 3 เดือนใน Shibuya Prison ของศิลปินที่ชื่อ David Choe 

การต้องติดคุกเพราะเรื่องไม่เป็นเรื่อง ส่งผลต่อสภาพจิตใจของเดวิดมากกว่าเหตุการณ์ไหน ๆ ที่เขาเคยเจอมา ภาวะซึมเศร้าก่อขึ้นในจิตใจของเขาอย่างเลวร้าย นอกจากทำกิจวัตรประจำวันของนักโทษแล้ว เดวิดใช้เวลาไปกับการวาดรูปและจดบันทึกถึงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นลงบนสมุดโน้ต ทั้งรูปภาพของอาหารที่กินบ้าง วัตถุดิบบ้าง ซึ่งภาพเหล่านี้ถูกวาดออกมาในลักษณะเดียวกับคนป่วยจิตเวชที่เรามักเห็นกันในคุก เต็มไปด้วยลายเส้นสะเปะสะปะ ตัวอักษรยาวเหยียดไม่เป็นระเบียบ และมีรูปนึงที่เป็นรูปของต้นเฟิร์นต้นหนึ่งที่อยู่นอกกรงขัง ซึ่งเดวิดบอกว่าด้วยความหวังอะไรบางอย่างที่ส่งออกมาจากต้นไม้ต้นนั้น มันทำให้เขาอยากจะร้องไห้ออกมา

หนึ่งในภาพที่วาดตอนอยู่ในคุกของ David Choe โดยใช้ซอสถั่วเหลืองวาด

 นอกจากบันทึกบนสมุดโน้ตแล้ว เดวิดยังได้พยายามเขียนจดหมายเพื่อส่งข่าวบอกเพื่อน ๆ ข้างนอกว่าชีวิตของเขาเป็นอย่างไรบ้าง แต่จดหมายนั้นไม่เคยถูกส่งออกไปสักฉบับ … เหล่างานศิลปะที่เกิดขึ้นในคุกอันเป็นตัวบันทึกช่วงเวลาของเดวิด หลังจากที่ผ่านพ้นไป 3 เดือนสู่อิสระ งานเหล่านั้นก็ถูกจัดแสดงเป็นนิทรรศการ พร้อมกับแผลใจของเดวิดที่จะติดตัวเขาไปตลอด 

หลังจากผ่านมรสุมชีวิตครั้งใหญ่มาได้ ในปี 2005 เดวิดกำลังจะได้งานซึ่งจะทำให้เขากลายเป็นศิลปินหนึ่งในศิลปินที่รวยที่สุดในโลกในเวลาต่อมา !

Mark Zuckerberg, Dustin Moskovitz, Sean Parker ที่ออฟฟิศแรกของ Facebook ใน Silicon Valley (2005)

งานของเดวิดบังเอิญไปเตะตา Sean Parker ประธานของบริษัททำโซเชียลมีเดียเว็บไซต์ ซึ่งในตอนนั้นยังเป็นเพียงสตาร์ทอัพโนเนมใช้งานในหมู่นักศึกษาที่ชื่อว่า Facebook ให้มาวาดผนังของออฟฟิศสาขาแรกที่ Silicon Valley ให้หน่อย ก่อนจะรับงานนี้ เดวิดบอกกับผู้ว่าจ้างของเขาว่า “Facebook คือสิ่งที่ไร้สาระและไร้ประโยชน์ อย่างที่ Napster หรือ My Space เป็น” แต่เพราะตกลงค่าจ้างกันลงตัว เดวิดจึงรับทำงานนี้ เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้ทำงานแบบที่เป็นตัวเอง

“ตอนนั้นค่าตัวของผมสูงขึ้นมากเรื่อย ๆ ผมก็เลยบอกพวกเขาไปว่า ถ้าต้องการให้ผมทาสีกำแพงออฟฟิศให้ ราคามันต้องเป็น 60,000 ดอลล่านะ”

ซึ่งงานนี้เดวิดก็ใช้วิธีการสร้างงานที่เขาถนัดเสมอมาอย่างกราฟิตี้ และบรีฟของงานนี้ ก็เหมือนกับงานก่อน ๆ ที่เขาได้รับมาเสมอตลอดชีวิตของการทำงานเป็นศิลปิน ทุกคนจ่ายเงินจ้าง David Choe เพื่อให้เป็น David Choe เพราะอย่างนั้นเอง กำแพงของออฟิศสาขาหลักของ Facebook จึงกลายเป็นงานสตรีทอาร์ตสุดดุเดือด มีสัญลักษณ์ทางเพศอันโจ่งแจ้ง สมกับที่เป็น David Choe ของจริง  

เมื่องานของเดวิดเสร็จสิ้น Sean Parker ถามเขาว่าจะรับเป็นเงินสดไปเลย หรือว่าจะเอาเป็นหุ้นบริษัท Facebook แทนดีล่ะ แต่ผมเชียร์ให้คุณเลือกหุ้นมากกว่านะ ไม่แน่ใจว่าด้วยเหตุผลอะไร แต่เดวิดก็ตัดสินใจเสี่ยงเลือกหุ้นตามที่ได้ถูกแนะนำ และเมื่อ Facebook เปิดตัวสู่สาธาณะในปี 2012 หุ้นที่เดวิดถือเอาไว้ในมือตอนนั้นก็มีมูลค่าสูงถึง 200 ล้าน USD ! เรียกว่าเป็นหนึ่งใน Fun Fact สุดทึ่งที่ติดตัวไปเสมอเวลาคนจะพูดถึงเขา


ตอนที่ 4 ด้านมืดที่ผิดพลาดที่สุดของ David Choe 

นอกจากจะทำงานศิลปะแล้ว David Choe เป็นศิลปินที่สนใจการทำงานบนสื่อบันเทิงในรูปแบบอื่น ๆ ด้วย ทั้งเป็น Youtuber ในรายการชื่อ Thumbs Up ที่เป็นการออกเดินทางไปในที่ต่าง ๆ ภายใต้คอนเซปต์ของการโบกรถ (Hitchhike) ทำกับ Harry Kim เพื่อนที่ถ่ายสารคดีชีวิตของเขา ภายใต้ช่องของ Vice และอีกสิ่งที่เขาเอ็นจอยกับมันมาก ๆ คือ Podcast ของตัวเองชื่อ DVDASA (Double Vag, Double Anal, Sensitive Artist)

DVDASA คือพอดแคสต์ที่เขาทำร่วมกับดาราหนังผู้ใหญ่ชื่อดังอย่าง Asa Akira มันคือพอดแคสต์ 90 นาที ซึ่งมี Description ของรายการว่า “นี่คือพอดแคสต์ที่ให้ความรู้แก่เยาวชนในเรื่องของความวิตกกังวลในการทำงาน ปัญหาของสังคม และบทเรียนจากยาเสพย์ติด” ผ่าน Mood & Tone สนุกสนาน ในหัวข้อว่าด้วยชีวิตระหว่างเขากับแขกรับเชิญ พอดแคสต์ออนแอร์ตอนแรกในปี 2013 

มีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นในอีพีที่ 204 ของพอดแคสต์ DVDASA ที่ออนแอร์ในปี 2014

เรื่องมีอยู่ว่า – เดวิดเริ่มเล่าประสบการณ์ส่วนตัว ที่เกิดขึ้นกับหมอนวดบำบัด (Massage Therapist) เธอมีชื่อว่า Rose และนี่คือเนื้อความสำคัญในพอดแคสต์ที่ออนแอร์ในตอนนั้น ซึ่งขณะที่คุณอ่านบทความนี้อยู่ ตัววิดีโอได้โดนลบออกจาก Twitter ไปแล้ว ด้วยตัวของ David Choe เอง เพราะว่ามันเกี่ยวกับการ Sexual Harassment แบบที่ไม่ตลกเลย ขอ Trigger Warning เอาไว้ก่อนเลยว่า เนื้อความข้างล่างอาจจะทำให้ไม่สบายใจกันได้ และเราขอคัดมาแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะเนื้อหาเต็ม ๆ มันไปไกลเกินกว่านี้จนน่ากลัวแล้ว 

Asa Akira กับ David Choe ในพอดแคสต์ DVDASA (Double Vag, Double Anal, Sensitive Artist)

David Choe : ผมตื่นเต้นที่จะได้เล่าเรื่องนี้ ผมจับมือเธอมาวางไว้บนของผม แล้วเธอก็ถือมันเอาไว้

David Choe : ความรู้สึกตื่นเต้นที่อาจจะได้ติดคุกนั้น คือสิ่งที่ทำให้ผมมีอารมณ์จริง ๆ 

Asa Akira : อิ๊ว เดฟ คุณกำลังบอกเราว่าตอนนี้คุณคือนักข่มขืน และวิธีเดียวที่จะทำให้คุณรู้สึกมีอารมณ์ก็คือการข่มขืนเหรอ ?

David Choe : ใช่ (จากนั้นเดวิดก็ตอบคำถามแขกรับเชิญที่ถามกันว่า Rose มีลักษณะรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร) 

Asa Akira : พวกคุณเป็นอะไรกันอะ ใครเขาจะสนใจกันว่า Rose จะหน้าตาเป็นอย่างไร เดฟกำลังบอกเราว่าเขาเป็นนักข่มขืนอยู่นะ 

แล้วเดวิดก็พูดอย่างติดตลกว่า “นักข่มขืนที่ประสบความสำเร็จ”

หลังจากที่พอดแคสต์ตอนนี้ออนแอร์ออกไปไม่นาน กระแสสื่อโจมตีก็ถาโถมมาที่เดวิดอย่างหนักหน่วง และสิ่งนั้นก็ทำให้เขาแถลงการณ์ในเชิงขอโทษที่ทำให้ทุกคนเข้าใจผิด เพราะทุกอย่างที่เล่ามาไม่ใช่เรื่องจริง แต่ทำเพื่อความบันเทิงสำหรับพอดแคสต์ DVDASA เท่านั้น  ซึ่งเราขอคัดย่อ ๆ ส่วนหนึ่งมาให้อ่าน เพราะเนื่องจากว่าฉบับเต็มมีความยาวพอสมควร

“ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะตื่นขึ้นมาในบ่ายวันหนึ่งพร้อมกับถูกเรียกว่านักข่มขืน มันแย่มาก เพราะนั่นไม่ใช่ผมเลย ผมคือคนที่เกลียดการข่มขืน และคิดว่านักข่มขืนควรโดนข่มขืนและฆ่าทิ้งซะ”

“ถ้าผมจะรู้สึกผิดกับอะไรสักอย่าง มันก็คือการเล่าเรื่องแบบแย่ ๆ ของตัวเองนั่นแหละ”

“เช่นเดียวกับผลงานศิลปะของผมในหลาย ๆ ชิ้นที่ถูกตีความหมายไปผิด ๆ พอดแคสต์อีพีนี้ก็เหมือนกัน วัตถุประสงค์ของมันคือการท้าทาย พร้อมกับกระตุ้นความรู้สึกของคนที่อยู่ในรายการ เราหยอกล้อกัน สร้างความบันเทิงให้ตัวเอง และหัวเราะไปกับมัน” 

“เราสร้างเรื่องราวและเล่ามันออกมา มันไม่ใช่รายการข่าว ที่เป็นตัวแทนชีวิตจริงของผม  ไม่ใช่แหล่งข้อมูลสำหรับเรื่องราวชีวิตจริงของผม มันคือความจริงในรูปแบบของผมเอง”


ในปี 2017 หลังจากเรื่องราวผ่านไป 3 ปี เดวิดก็ออกมาขอโทษอีกครั้งผ่านการโพสต์บน Instagram ส่วนตัวของเขาเองอย่างยาวเหยียด (โพสต์นี้ยังอยู่ สามารถอ่านได้ตรงนี้ David Choe) แต่ในขณะนี้ ณ วันที่ 19/04/2023 สื่อใหญ่ของประเทศทั้ง BBC / NBC / The Hollywood Reporter และกระแสโซเชียลมิเดียกลับมาตั้งคำถามต่อ David Choe อีกครั้ง ในวันที่เขาได้เป็นนักแสดงซัพพอร์ตตัวหลัก (เป็นครั้งแรกในชีวิตการแสดง) ของค่ายที่ไฮป์ที่สุดอย่าง A24 ว่าทำไม คนที่เคยบอกว่าตัวเองเป็น ‘นักข่มขืนที่สมบูรณ์แบบ’ ถึงควรได้รับโอกาสแก้ตัวอย่างง่ายดายขนาดนี้ และคำถามนี้ก็ถูกส่งถึงตัวค่ายผู้ผลิตกับ Lee Sung Jin ผู้สร้างซีรีส์เรื่องนี้ด้วย เหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป คงต้องรอแถลงการณ์จากปากของพวกเขาอย่างเดียว

Source : 1 / 2 / 3 / 4 / 5 / 6 / 7 / 8

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line