“พออายุเข้าเลข 30 ทุกอย่างก็จะเร็วขึ้นมาก” เราจำไม่ได้แล้วว่าตัวละครไหนในเรื่อง Rebooting เป็นคนพูดคำนี้ แต่จำได้แม่นว่ามันเป็นบทสนทนาซึ่งเกิดขึ้นในฉากระหว่างขับรถกลับบ้านหลังร้องคาราโอเกะตอนเที่ยงคืนเสร็จแล้ว ของแก๊งเพื่อนสาวสามคนรวมนางเอก Asami พวกเธอจอดแวะที่ Family Mart แห่งหนึ่ง กินไอติม ก่อนจะโบกมือลากันโดยที่ Asami ขอเดินกลับเองเพราะบ้านอยู่อีกไม่ไกลแล้ว ไม่นานเธอก็โดนรถชน ตายตอนอายุ 33 ก่อนที่จะ … (ไว้เล่าต่อตอนบรรทัดเรื่องย่อ) ตอนที่เขียนบทความนี้เราใช้ชีวิตอายุ 30 ได้ครบอาทิตย์นึงพอดี เอาจริงไม่ได้รู้สึกเป็นผู้ใหญ่หรือโตขึ้นเลยว่ะ 555 แต่ช่วงนี้มีสิ่งหนึ่งที่แปลกดี คือเหมือนว่ามีใครบางคนคอยส่งคอนเทนต์อะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตให้คุ้มในช่วงอายุนี้มาให้เสมอ Rebooting ซีรีส์ญี่ปุ่นที่เรากด Wish List จากเพจ Tamachanja ทามะจังการซับ ก็เป็นหนึ่งในนั้น ชีวิตขวบปีที่ 33 ของ Kondo Asami ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ เธอเป็นสาวโสด อาศัยอยู่กับพ่อแม่และน้องสาวเพราะประหยัดค่าใช้จ่ายดี ทำงานเป็นพนักงานเคาเตอร์ในศาลาว่าการของจังหวัดที่มักจะมีคนคอยบ่นปัญาหาจุกจิกเรื่องระบบราชการไม่เว้นแต่ละวันให้ฟัง อาซามิฮีลใจของตัวเองผ่านการนัดกินข้าวกับเพื่อนสนิทตั้งแต่ประถม Miho กับ Natsuki ทุก ๆ หนึ่งถึงสองครั้งต่อเดือน รูทีนชีวิตที่แสนสงบนี้ดำเนินไปเรื่อย
** คิดว่าน่าจะสปอยล์ยับ ๆ ไปเลยนะ แต่เอาจริงส่วนตัวคิดว่าไปอ่านสปอยล์หนัง 100% แบบ 2 นาทีจบเลยก็ไม่พลาดอะไรหรอก ** ไม่ได้ตั้งใจจะรีวิวเกรี้ยวกราดเอายอดอ่านอะไรแบบนั้น แต่ถ้าทุกคนจะเอาเวลาเกือบ 8 ชั่วโมง นั่งตั้งใจดูซีรีส์เรื่องนี้อาจจะไม่คุ้มเท่าไหร่ (กันไว้ก่อนเผื่อมีคนดูที่ชอบซีรีส์เข้ามาอ่าน) เว้นแต่ว่าจะอยากเห็นรอยยิ้มโลกสดใสของคุณ Mei Nagano นั่นก็เป็นอีกเรื่องนึงล่ะ Burn The House Down เป็นซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากมังงะชื่อเดียวกันของอาจารย์ Moyashi Fujisawa ที่เขียนตอนปี 2021 ซึ่งเราเชื่อว่าดีกว่าฉบับซีรีส์แน่นอน ดูสิ เพียงแค่ 2 ปีก็ถูกเอามาทำเป็นซีรีส์ออริจินัลของเน็ตฟลิกซ์เลย เนื้อเรื่องของ Burn The House Down เริ่มต้นขึ้นด้วยเหตุการณ์เลวร้ายของครอบครัว Mitarai ที่บ้านหลังใหญ่ของพวกเขาถูกไฟไหม้จนไม่เหลืออะไร ท่ามกลางกลองเพลิงที่มีชาวบ้านรายล้อมอยู่นั้น Satsuki Mitarai แม่ของลูกสาวสองคนผู้เป็นเจ้าของบ้าน ได้แต่คุกเข่าขอโทษลูก ๆ และสามีตัวเอง เพราะเชื่อว่าเธอเป็นสาเหตุที่ทำให้บ้านถูกไฟไหม้จากการลืมปิดเตาแก๊สตอนทำกับข้าว … เหตุการณ์ผ่านไป 13 ปีจากเหตุการณ์ไฟไหม้ที่เปลี่ยนหลายสิ่งอย่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ อย่างแรกคือการที่
เข้าใจได้เลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้มันถึงไวรัลทันทีที่ Netflix ปล่อยภาพนิ่งเมื่อต้นเดือนก่อน เอาจริง ๆ ถ้าแค่มีคนมาเล่าเรื่องย่อให้ฟังแบบยังไม่เห็นภาพอะไรเลย ประมาณว่า ‘ทราย’ สาวอีสานบ้านทุ่งที่ไปทำงานบัญชีในกรุงเทพ กับ ‘เอิร์ล’ ผัวฝรั่งในบริษัทเดียวกัน บึ่งรถกลับมาเยี่ยมบ้านเกิดอีกครั้งในช่วงเวลาพายุใหญ่ประจำฤดูกำลังจะถล่มต่างจังหวัด แต่เหตุการณ์ไม่คาดฝันรอคอยพวกเขาอยู่ นั่นคือฆาตกรต่อเนื่อง กับศพของเกือบทุกคนในคืนนั้น จบ. อีพิคมาก ! อีสานกายะก็มีแล้ว อีสาน Hip-Hop ก็มาแล้ว มาคราวนี้บ้านเรามี ‘อีสานฆาตกรรม’ ที่หมายถึงหนังไทยชอง Mystery & Suspence แคปเจอร์ภาพวัฒนธรรมความเป็นคนอีสานเอาไว้ โดย ‘วิศิษฏ์ ศาสนเที่ยง’ ที่เซตติ้งคือทุกอย่าง “Setting is god !” อย่าเรียกว่ารีวิวเลยละกันนะ เพราะคงไม่ได้ใส่ fact อะไรมากเท่าไหร่ ยิ่งความดีงามของผู้กำกับผู้ส่งหนังเข้าเทศกาลเมืองคานส์คนแรกของไทย การวิเคราะห์หนังเรื่องล่าสุดของเขาอ้างอิงกับหนังไอคอนิกเรื่องก่อน ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง เราขอพูดถึงสิ่งที่ชอบไม่ชอบเพียว ๆ ไปเลย ให้เข้าใจง่ายดีเด้อ อีสานเซอร์เรียลสไตล์ เมอร์เด้อเหรอ คือหนังอีกเรื่องที่เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของผู้กำกับ ส่วนตัวเราชอบอารมณ์ของเรื่องนี้มาก บ้านไม้เก่า
วินาทีนี้คงจะไม่มีซีรีส์เรื่องไหนจะร้อนแรงได้เท่ากับ Beef ของ Netflix อีกแล้ว ! ซีรีส์เรื่องนี้ผลิตโดย A24 ค่ายสุดไฮป์ผู้ขยันสร้างตำนานได้ทุกวัน กับเรื่องย่อสุดมินิมอลที่สามารถเล่าไว ๆ บรรทัดเดียวจบได้แบบนี้ “นี่คือเรื่องราวระหว่าง Danny Cho กับ Amy Lau คนแปลกหน้าที่ประทะอารมณ์กันบนท้องถนน บีบแตรรถใส่กัน ด่ากัน ชูนิ้วกลางให้อีกฝ่าย จนนำไปสู่ความวายป่วงของชีวิตเกินกว่าใครจะคิดฝัน” ถึงแม้ว่าเรื่องย่อของซีรีส์จะแสนสั้น แต่ซีรีส์เรื่องนี้อุดมด้วยรายละเอียดของประเด็นที่วิพากษ์วิจารณ์สังคมอย่างเข้มข้น ทั้งฉายภาพความเหนื่อยล้าของชนชั้นกลางที่ทำงานเพื่อคนอื่นตลอดชีวิตแต่ไม่มีใครเห็นค่า ความคิดชุ่ย ๆ ของ Privillage ที่มองคนเป็นคนไม่เท่ากัน และอีกหลายประเด็นที่ดูจบครั้งเดียวคงเก็บรายละเอียดไว้ไม่หมดแน่นอน สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ อย่างแรกเกี่ยวกับ Beef คือการวางตัวของ Lee Sung Jin เดบิวต์ในฐานะ Creator และ Director เป็นครั้งแรก หลังจากที่เขาเป็นคนเขียนบทซีรีส์มาโดยตลอด ผลงานเด่น ๆ ก็จะมี Undone (2019) / Dave (2020) /
เสน่ห์ของซีรีส์ดราม่ากึ่งคอมเมดี้ของประเทศญี่ปุ่น นอกจากจะเบาสมอง ได้ยิ้มมุมปาก เรายังจะได้สัมผัสการโอเวอร์แอคติ้งที่คล้ายกับการชมอนิเมะเอามาก ๆ แถมมักจะแฝงข้อคิดดี ๆ เอาไปปรับจูนให้ชีวิตคิดบวกมากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับซีรีส์เรื่อง “วิถีเผ็ดแซ่บร้อน (The Way Of The Hot & Spicy)” ที่ออกฉายเมื่อปี 2021 ทาง Netflix ซีรีส์เรื่องนี้มีทั้งหมด 12 ตอน เป็นผลงานของ 3 ผู้กำกับ ได้แก่ Keisuke Shibata จำนวน 7 ตอน, Paul Young จำนวน 3 ตอน และ Tatsuro Nishikawa จำนวน 2 ตอน โดยในแต่ละตอนมีความยาวที่ไม่ถึงชั่วโมง ดังนั้นจึงเป็นตัวเลือกสำหรับผู้ที่ไม่ค่อยมีเวลา ในการรับชมซีรีส์ที่มีความยาวได้เป็นอย่างดี ส่วนเนื้อหาของเรื่องนี้คือการเบลนด์เอาชีวิตของเซลส์แมนมาโยงเข้ากับปรัชญการกินเผ็ด! สำหรับนักแสดงนำ ประกอบด้วย Akito Kiriyama (อดีตสมาชิกวงไอดอล “Johnny’s West”) รับบทเป็น
มวยไทยที่ใคร ๆ ก็ต่างภูมิใจในความเป็นศิลปะประจำชาติ มันได้สร้างชื่อเสียงให้กับบ้านเราอย่างมากมาย ด้วยลีลาที่สวยงาม บวกกับอาวุธโจมตีที่รุนแรง สามารถใช้ทุกส่วนของร่างกายเป็นอาวุธได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น หมัด, ศอก, เข่า หรือลูกเตะ ใครตั้งการ์ดรับไม่ทันมีหวังได้ล่วงหลับโดยไม่ทันตั้งตัว นักมวยที่ประสบความสำเร็จของประเทศไทยล้วนมีพื้นฐานมาจากมวยไทย ไม่ว่าจะเป็น เขาทราย แกเแลคซี่, สามารถ พยัคฆ์อรุณ, สมจิตร จงจอหอ หรือบัวขาว บัญชาเมฆ เป็นต้น พวกเขาต่างต้องเคยล้มลุกคลุกคลานผ่านสังเวียนใหญ่น้อยกว่าที่จะได้ก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ ทุกอย่างดูสวยงาม ดูมีหนทางการเติบโตของนักมวยไทย แต่แท้จริงแล่วอย่างที่หลายคนทราบกันว่ากีฬาชนิดนี้มีการเดิมพันหรือที่ใคร ๆ ก็เรียกกว่า “พนัน” แบบถูกกฎหมาย และก็เพราะเรื่องดังกล่าวที่มันทำให้สีดำได้สาดเข้ามาแปดเปื้อนวงการมวยไทย และมันได้ถูกตีแผ่เล่าเรื่องผ่านซีรีส์เรื่อง “HURTS LIKE HELL เจ็บเจียนตาย” ที่ออกฉายทาง Netflix ไปเป็นที่เรียบร้อย ผลงานเรื่องนี้กำกับโดย “กิตติชัย วรรณ์ประเสริฐ” เป็นซีรีส์สไตล์ Docudrama (สารคดีผสมกับดราม่าซีรีส์) มีทั้งหมด 4 ตอนด้วยกัน โดยจะแบ่งเรื่องราวออกเป็นหลายเซสชั่น แต่จะเชื่อมโยงมายังเรื่องราวน่าสลดของวงการมวยไทย โดยเริ่มจากเล่าเรื่องผ่านเรื่องราวของเซียนมวยรุ่นเล็กที่มีชื่อว่า “พัด” นำแสดงโดย
[เนื้อหามีสปอยล์] “Rowan Atkinson” นักแสดงสายคอมเมดี้ชื่อดังที่เคยสร้างปรากฏการณ์ทำให้คนทั่วโลกหัวเราะกับมุขของเขามาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นซิตคอม Mr.Bean ผลงานสร้างชื่อให้กับเจ้าตัว หรือจะเป็นภาพยนตร์ล้อเลียนเรื่อง James Bond อย่าง Johnny English ก็สนุกสนานไม่แพ้กัน และนั่นคือสาเหตุที่ทำให้ทุกคนต่างคาดหวังความฮากับทุก ๆ ผลงานของผู้ชายหน้าตาทะเล้นคนนี้เสมอ จนกระทั่งล่าสุด Rowan Atkinson ก็กลับมาคืนจออีกครั้งด้วยมินิซีรีส์เรื่องใหม่ “Man Vs Bee” ที่เพิ่งออกฉายทาง Netflix ไปเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน ที่ผ่านมา อำนวยการสร้างโดย Rowan และ William Davies (ควบหน้าที่เขียนบทด้วย) อีกทั้งยังได้ David Kerr มารับหน้าที่ผู้กำกับ ซึ่งเคยร่วมงานกับทั้งคู่ในภาพยนตร์เรื่อง “Johnny English Strikes Again” มาก่อนแล้ว ในฝั่งของนักแสดง แน่นอนว่าจะต้องนำแสดงโดย Rowan Atkinson ร่วมด้วย Claudie Blakley, Jing Lusi, Julian Rhind-Tutt และอื่น ๆ เมื่อเราดูจากทีมงานทั้งเบื้องหน้าและโดยเฉพาะเบื้องหลังที่น่าจะรู้ใจกันเป็นอย่างดี มันก็อดไม่ได้ที่จะคาดหวังความฮาแบบไม่มีเบรก แต่มันกลับไม่ใช่แบบนั้น…
ใครที่เป็นแฟนคลับซีรีส์การ์ตูน Sci-fi สุดฮาอย่าง ‘Rick and Morty’ และได้ติดตามการผจญภัยของตัวละครหลักบน Netflix ครบทุก Epiode ต้องเป็นปลื้มกับนาฬิกา DW5600 ลายใหม่จาก G-SHOCK ซึ่งเกิดขึ้นจากการคอลแลปกันระหว่าง G-SHOCK, Warner Bros., Consumer Products และ Adult Swim พร้อมส่งความเท่แบบไม่เหมือนใครมาถึงข้อมือของเราในเดือนนี้ โดย DW5600 สีใหม่จะมาพร้อมกับลวดลายและลายเส้นที่มีแรงบันดาลใจมาจากตัวละครหลักในการ์ตูน ได้แก่ Rick และ Morty และโชว์ความโดดเด่นของโลโก้ “Rick and Morty” บนหน้าปัดสีเหลืองเขียวอันเป็นลวดลายของประตูวาร์ปสีเขียว ซึ่งเป็น ICONIC ที่ปรากฎบ่อยครั้งในซีรีส์การ์ตูนเรื่องนี้จนหลายคนจดจำมันได้ ความพรีเมี่ยมของนาฬิกาเรือนนี้ยังแสดงออกมาให้เห็นผ่านฝาหลังนาฬิกา ซึ่งมีการสลักรูปตัวละครหลักเอาไว้เป็นกิมมิค พร้อมแสง EL backlight ที่โชว์ภาพหน้า Rick และ Morty บนหน้าปัด อีกทั้งยังมาในกระป๋องลวดลายสวยงามที่ได้แรงบันดาลใจมาจากประตูวาร์ปสีเขียว พร้อมกล่องเก็บนาฬิกาลวดลายพิเศษที่เหมาะแก่การสะสมอย่างมาก สำหรับ DW5600 รุ่นนี้จะมีฟีเจอร์เหมือนกับรุ่นดั่งเดิม ได้แก่
ใครที่ชื่นชอบการดูหนังสยองขวัญได้เวลาเปิด Netflix แล้ว เพราะเดือนนี้ทาง Netflix ได้ต้อนรับเทศกาลฮัลโลวีนโดยการขนสารพัดหนังและซีรีส์ชวนขนลุกมาให้เราดูกันอย่างจุใจ ซึ่งเรามีหนังและซีรีส์ทั้งหมด 10 เรื่องที่อยากแนะนำให้ไปดูกัน สำหรับใครที่ใจกล้าก็ควรดูให้ครบทุกเรื่องไปเลย There’s Someone Inside Your House หนังเรืองนี้เป็นหนังแนวเชือดสับที่สร้างโดยโปรดิวเซอร์ซีรีส์และภาพยนตร์เขย่าขวัญชื่อดังอย่าง Stranger Things และ The Conjuring ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนมัธยมในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งของรัฐเนแบรสกา เมื่อใกล้ถึงวันจบการศึกษาที่ทุกคนรอคอย ‘มาคานี่’ เด็กสาวชั้นม. 6 ก็พบกับเหตุการณ์ไม่คิดไม่ฝัน เมื่อเพื่อนร่วมชั้นของเธอถูกฆาตกรสุดโหดไล่ล่า ฆาตกรคนนี้จะใส่หน้ากากที่เป็นใบหน้าของเหยื่อทุกครั้งที่ออกล่า และเปิดโปงความลับดำมืดของเหยื่อให้ทุกคนรับรู้ มาคานี่และผองเพื่อนต้อหาตัวฆาตกรให้เจอก่อนจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป สามารถรับชมได้แล้วตั้งแต่วันนี้ No One Gets Out Alive หนังที่เล่าเรื่องราวชวนขนลุกของบ้านที่มีวิญญาณหลอน ผ่าน ‘แอมบาร์’ สาวเม็กซิโกที่ลักลอบเข้ามาในอเมริกา เพื่อตามหาความฝันแบบอเมริกันชน ด้วยเงินติดตัวเพียงเล็กน้อย เธอจึงจำใจเช่าห้องพักซอมซ่อแห่งหนึ่งในคลีฟแลนด์ ซึ่งที่บ้านหลังนั้นเอง พอถึงเวลากลางคืนเธอก็ต้องพบกับเหตุการณ์ชวนขนหัวลุก ไม่ว่าจะเป็น ได้ยินเสียงสะอื้นของผู้เช่าห้องคนอื่น ฝันร้ายสุดสะพรึง และเสียงประหลาดที่ดังจากห้องใต้ดิน ทำให้เธอนอนไม่หลับ
ไม่มีอะไรเหนือไปกว่าซีรีส์ที่ดูแล้วรู้สึกว่าต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา เพราะเจอพล็อตหักมุมแบบคาดไม่ถึงซ้ำแล้วซ้ำอีก ซีรีส์ที่เต็มไปด้วยฉากเหนือความคาดหมาย ที่ทำให้คุณประทับใจจับจิต หรืออาจจะอ้าปากค้างเมื่อนึกได้ว่าพล็อตหักมุมต่าง ๆ นั้นพาคุณมาไกลจากคำว่า “ก็เดาได้อยู่นะ” มากแค่ไหน มาดูกันว่ามีเรื่องใดบ้างที่อาจกระตุ้นต่อมความสนใจของคุณได้ กับโพย 6 ซีรีส์พล็อตหักมุมที่จะทำให้คุณต้องตั้งคำถามกับทุกสิ่ง ที่การันตีเลยว่าดีแน่นอน ปมปีศาจ (Beyond Evil) กวาดรางวัลจากเวที Baeksang Arts Awards ครั้งที่ 57 มาถึง 3 รางวัล ทั้งซีรีส์ยอดเยี่ยม (Best Drama) บทโทรทัศน์ยอดเยี่ยม (Best Screenplay) และนักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (Best Actor) เท่านี้ก็การันตีได้ว่า ปมปีศาจ (Beyond Evil) คุ้มค่าแก่การรับชมอย่างแท้จริง สิ่งที่อาจดูเหมือนปมปริศนาคดีฆาตกรรมปริศนาทั่วไป อาจกลายเป็นเรื่องที่เต็มไปด้วยเงื่อนปมสลับซับซ้อน และจุดเบี่ยงเบนความสนใจอันแสนเย้ายวน ซีรีส์เรื่องนี้เล่าถึง อีดงชิก (ชินฮาคยูน) และ ฮันจูวอน (ยอจินกู) สองตำรวจหนุ่มที่ช่วยกันไล่ล่าตามหาความจริง แต่ขณะเดียวกันต่างฝ่ายต่างก็เก็บงำความลับของตนไว้ และสงสัยในตัวอีกฝ่าย ลองตามไปชมแล้วอย่าพลาดร่วมตั้งคำถามกับความบริสุทธิ์ของแต่ละคนไปพร้อมการตามหาผู้ร้ายตัวจริง