แม้แต่แฟนพันธุ์แท้ Nissan GT-R ยังอาจไม่รู้จักตัวละครลับคันนี้ นี่คือ R32 GT-R ที่ HKS บอกว่า ‘ถ้า Nissan ไม่ทำ เราทำเอง’ ในยุคที่ GT-R R32 ครองตำแหน่ง “Godzilla” แห่งสนาม Group A ทั่วโลก สำนักแต่งระดับบิดาแห่งวงการซิ่งญี่ปุ่นอย่าง HKS กลับมองว่ายังไม่พอ พวกเขาไม่แค่โมเครื่อง หรือใส่บูสต์เพิ่ม… พวกเขาคิดใหญ่กว่านั้น — “ถ้า Nissan ไม่กล้าสร้าง GT-R ที่สมบูรณ์แบบ…งั้นเราจะทำเอง” และมันคือจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรารู้จักกันในชื่อ HKS ZERO-R Zero-R ไม่ใช่โปรเจกต์ธรรมดา แต่มันคือ การ Re-engineering รถทั้งคันจากศูนย์ ไม่ใช่การแต่ง, ไม่ใช่ชุดบอดี้คิท, ไม่ใช่เวอร์ชันลิมิเต็ดของ Nissan แต่มันคือรถที่ HKS “สร้างใหม่” โดยใช้โครงของ GT-R R32 เท่านั้น
วันก่อนเราพูดถึงรุ่นพี่อย่าง Toyota Supra A80 “TRD 3000GT” Complete Car ไปแล้ว ยังมีอีกหนึ่งรุ่นที่มีต้นกำเนิดเดียวกัน จิตวิญญาณจากรถแข่งที่ถูกแปลงเป็นรถบ้าน นั่นก็คือ Toyota MR2 “TRD 2000GT” แรร์ไม่ต่างกัน แต่มีความพิเศษที่ทำให้ครอบครองได้ยากยิ่งกว่าจากการเป็น Complete Car Conversion ที่ลูกค้าต้องนำรถตัวเอง (ในที่นี้คือ MR2 SW20) ส่งไปให้ TRD ทำการ “แปลงร่าง” ให้แบบจัดเต็มทุกมุม ตั้งแต่บอดี้ ช่วงล่าง ไปจนถึงภายในเครื่องยนต์ โดยที่ spec รถแต่ละคันจะแตกต่างกันไปตามความต้องการของลูกค้า ไม่มี TRD 2000GT ที่เหมือนกันเลยทั้ง 35 คัน Toyota MR2 TRD 2000GT พี่น้องร่วมตระกูลของ Supra TRD 3000GT มีจุดเริ่มต้นจากสนามแข่งรายการ Japanese GT-C เหมือนกัน แต่ด้านโครงสร้างนั้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้าจะพูดถึงยุคทองของรถสปอร์ตญี่ปุ่น ไม่มีชื่อไหนโดดเด่นเท่า Toyota Supra โดยเฉพาะ gen 4 หรือรหัส A80 รถที่สามารถพัฒนาได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่ามี Supra รุ่นนึงที่ไม่ใช่แค่หายาก แต่มันคือตำนานที่แทบไม่มีใครได้สัมผัสของจริง นั่นคือ “Toyota Supra TRD 3000GT” มันเกิดขึ้นในปี 1994 — ปีที่ Toyota หวังชัยชนะในรายการ Japan Grand Touring Car Championship (JGTC) ด้วยรถแข่งที่ใช้ Supra A80 เป็นพื้นฐาน แล้วสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งคันเพื่อลงแข่งในคลาส GT500 TRD ในฐานะฝ่ายพัฒนาแข่งของ Toyota เห็นโอกาสบางอย่างที่คนทั่วไปอาจมองไม่เห็น พวกเขาคิดว่า จะเป็นยังไงถ้านำสิ่งที่พัฒนา GT500 มาถ่ายทอดในรถ Supra ที่คนธรรมดาใช้ได้จริง ไม่ใช่แค่แต่งหล่อให้ดูคล้ายรถแข่ง แต่เปลี่ยนมันทั้งคันให้กลายเป็นรถแข่งที่ขับบนถนนได้ และนั่นคือจุดเริ่มต้นของ TRD 3000GT รถที่ไม่ใช่แค่ติดชุดแต่ง TRD แต่มันถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างแท้จริง
ถ้าคุณคิดว่า McLaren F1 คือผู้เปลี่ยนเกมของ Le Mans ปี 1995 คุณคิดถูกครึ่งเดียว—อีกครึ่งคือผลสะเทือนที่กระตุ้น Porsche ให้ตื่นจากการหลับไหล พอ McLaren ขึ้นโพเดียม 1-2-3 ทั้งในคลาสและอันดับรวม Porsche ก็ประกาศลั่นว่า “พอแล้วกับการฝากรถแข่งไว้กับ Dauer ถึงเวลาสร้างรถของตัวเองอีกครั้ง” พวกเขาจึงสั่งให้ Norbert Singer วิศวกรตำนานของแบรนด์ สร้างรถใหม่จากศูนย์ โดยตั้งเงื่อนไขเดียวว่า ต้องยังเป็น 911 อยู่ในทางเทคนิค เขาจึงใช้ด้านหน้าของ 993 ผสมกับด้านท้ายของ 962 สร้างเฟรมใหม่แบบ mid-engine และวางเครื่องยนต์ flat-six twin-turbo 3.2 ลิตร 600 แรงม้า ไว้กลางลำใต้ฝา carbon fiber ที่โคตรล้ำ นี่คือกำเนิดของ 911 GT1 ตัวแข่ง GT1 เปิดตัว Le Mans
ในโลกของ Panerai ทุกครั้งที่แบรนด์นี้ขยับ มักไม่ใช่แค่เรื่อง “เวลา” แต่มันคือการเล่าเรื่องของตัวตนที่ไม่เหมือนใคร — และที่ Watches & Wonders ปีนี้ PAM01575 ก็เดินเข้ามาอย่างเงียบ ๆ แต่เปล่งรัศมีบางอย่างที่ทำให้คนรักกลไกหยุดมอง นี่คือ Panerai Luminor Perpetual Calendar GMT Platinumtech PAM01575 ภาคต่อของ PAM01269 รุ่น Goldtech สุดเอ็กซ์คลูซีฟเมื่อปี 2022 ที่ออกมาเพียง 33 เรือนทั่วโลก — ครั้งนั้นมันเปิดเกมด้วยหน้าปัด smoked sapphire ที่โปร่งใสจนเผยให้เห็นจักรกลใต้ผิวเรือนเวลาได้อย่างเร้าใจ ขณะเดียวกันก็ยังคง DNA ของ Panerai ไว้อย่างครบถ้วน PAM01575 หยิบแนวคิดเดียวกันกลับมาอีกครั้ง แต่แทนที่จะแต่งทอง ก็เปลี่ยนวัสดุหลักมาเป็น Platinumtech — โลหะผสมเฉพาะของ Panerai ที่ถูกพัฒนาให้แข็งแกร่งกว่าแพลตตินั่มปกติถึง 40% ด้วยกระบวนการบ่มพิเศษภายในแบรนด์เอง ส่งผลให้ตัวเรือนขนาด
ถ้า Porsche 911 คือรากฐานของความสปอร์ตเยอรมันที่คลาสสิกไม่เปลี่ยนแปลง RUF CTR3 ก็คือรถที่ฉีกทุกกรอบนั้นทิ้ง แล้วสร้างคำตอบใหม่ขึ้นมาด้วยความเชื่อว่า “ของแท้ไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร” CTR3 คือรถรุ่นแรกของ RUF ที่ไม่ได้ใช้โครงสร้างของ Porsche แบบเดิมอีกต่อไป แต่วางพื้นฐานใหม่ร่วมกับบริษัท Multimatic จากแคนาดา ทีมเดียวกับที่ผลิต Ford GT รุ่นใหม่ผู้ชนะ Le Mans เส้นสายของ CTR3 ยังคงกลิ่น Porsche แต่กล้ามชัดขึ้น ฐานล้อยาวขึ้น 11 นิ้ว กว้างขึ้นอีก 5 นิ้วเพื่อรองรับเครื่องยนต์วางกลางลำ มันดูใกล้เคียงกับ Carrera GT และ 918 Spyder มากกว่า 911 ที่เราคุ้นตา และมันก็ไม่ได้พยายามจะเป็นอะไรที่คุ้นเคยด้วย เครื่องยนต์ที่อยู่กลางลำคือบล็อก 3.8 ลิตร flat-six พื้นฐาน Porsche แต่ผ่านการอัปเกรดแบบจัดเต็มด้วยเทอร์โบคู่จาก KKK ให้แรงม้าสูงสุด 682
หากโลกนี้ความบางคือความสง่างาม ความแม่นยำคือบทกวี และ Tourbillon คือบทสุดท้ายของตำนาน… Bulgari ได้เขียนบทนี้ใหม่อีกครั้ง ด้วย Bulgari Octo Finissimo Ultra Tourbillon – ผู้สร้างสถิตินาฬิกาบางที่สุดในโลกถึง 10 ครั้งในทศวรรษเดียว ย้ำสถานะราชาแห่งความบางของวงการ haute horlogerie อย่างแท้จริง Octo Finissimo Ultra Tourbillon มาพร้อมตัวเรือนไทเทเนียมขนาด 40mm x 1.85mm ที่หล่อขึ้นพร้อมกับฐานกลไกเป็นเนื้อเดียวกับฝาหลัง ด้วยวัสดุ ultra-hard tungsten carbide mainplate/caseback แข็งแรงและบางในเวลาเดียวกัน กลไก BVF 900 ที่จาก BVL 180 ของ Octo Finissimo Ultra COSC 2024 พัฒนาร่วมกับ movement specialist Concepto ทำลายขีดจำกัดของคำว่า ultra-thin ทุกฟังก์ชันต้องอยู่บนระนาบเดียวกัน
ย้อนกลับไปแค่สองปีก่อน Rolex เคยทำให้โลกต้องตั้งคำถามกับ “Destro” หรือ GMT-Master II ที่ถูกออกแบบให้คนถนัดซ้ายใช้ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ด้วยการย้ายเม็ดมะยม วันที่ และ Cyclops ไปอยู่ฝั่งซ้ายทั้งหมด ในตอนนั้นหลายคนว่าแปลก บางคนว่าท้าทาย วันนี้ Rolex กลับมาเล่าเรื่องนั้นอีกครั้ง — แต่ในโทนที่หรูหรากว่า หนักแน่นกว่า และเขียวขึ้นอย่างเหนือความคาดหมาย นี่คือ GMT-Master II Ref. 126729VTNR ในเวอร์ชั่น ทองคำขาว พร้อมหน้าปัด “เซรามิกเขียว” Cerachrom รุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของแบรนด์ ถ้าคุณเป็นคนที่คุ้นชินกับ Rolex แบบเดิม คุณอาจคิดว่ามันแค่เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุ แล้วขายใหม่ในราคาที่แพงขึ้น แต่ในความจริง มันมีอะไรมากกว่านั้น โดยเฉพาะ “เนื้อของหน้าปัด” ที่ไม่ได้ใช้การพ่นสีแบบ lacquer เหมือนที่ผ่านมา แต่ใช้วัสดุ Cerachrom (เซรามิกชนิดพิเศษที่แบรนด์พัฒนาขึ้นเอง) ที่ต้องใช้ฝีมือและการควบคุมเฉดสีอย่างแม่นยำ และในรุ่นนี้ Rolex จงใจเลือกสีเขียวให้แมตช์กับขอบหน้าปัดครึ่งล่างได้อย่างแนบเนียน ซึ่งถือว่า rare
ลองจินตนาการดูว่า Yamaha แบรนด์ที่คุณน่าจะคุ้นจากมอเตอร์ไซค์ R-Series หรือเปียโนข้างบ้าน จู่ ๆ ประกาศว่าจะสร้าง ซูเปอร์คาร์กลางเครื่อง วางเครื่อง V12 แบบเดียวกับใน F1 ที่วิ่งได้บนถนนจริง ๆ — ใช่ครับ มันเกิดขึ้นจริง ในช่วงปี 1992 และชื่อของมันคือ OX99-11 ก่อนจะพูดถึง OX99-11 เราต้องเล่าก่อนว่า Yamaha คือ “เบื้องหลังความแรง” ของรถดังหลายรุ่น เช่น Toyota 2000GT (1967) รวมถึงสุดยอดแห่งความภาคภูมิใจ Lexus LFA กับเครื่อง V10 1LR-GUE – ผลงานที่ Yamaha มีส่วนร่วมทั้งเสียงและความบ้าคลั่ง พร้อมซาวด์ระดับเทพที่ใครได้ยินจะไม่มีวันลืม – คราวนี้ลองนึกภาพดูว่า ถ้าพวกเขาไม่แค่ “ช่วยออกแบบ” แต่ “สร้างทั้งคัน” จะเกิดอะไรขึ้น? ในช่วงปี 89’s Yamaha กระโจนเข้าสู่สนาม
ย้อนกลับไปปี 1967 โลกทั้งใบหันมามองรถญี่ปุ่นคันนี้ เพราะมันเป็นรถญี่ปุ่นคันแรกและคันเดียวที่ได้รับเลือกให้เป็น “Bond Car” ในภาพยนตร์เรื่อง You Only Live Twice ซึ่งถ่ายทำในประเทศญี่ปุ่น เดิมที ผู้กำกับ Lewis Gilbert มีแผนจะใช้ Chevrolet Camaro ในฉากไล่ล่า แต่ Sachio Fukuzawa นักแข่งรถของ Toyota ได้แนะนำให้ใช้รถยนต์ญี่ปุ่นเพื่อให้สอดคล้องกับสถานที่ถ่ายทำ ทำให้ Toyota 2000GT เครื่องยนต์ 2.0L inline-6 DOHC 150 แรงม้า เกียร์ธรรมดา 5 สปีด ขับหลัง 0-100 km/h ภายใน 8.6 วินาที ความเร็วสูงสุด 220 km/h ได้รับบทบาทนี้ไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม ห้องโดยสารของ 2000GT ค่อนข้างเตี้ยและแคบ Sean Connery ซึ่งมีรูปร่างสูงใหญ่ไม่สามารถนั่งได้อย่างสบาย