โซเชียลเน็ตเวิร์กกลายเป็นโลกอีกใบที่เราบรรจุตัวตน ความทรงจำ ชีวิตและความรู้สึกไว้ในนั้น ใครต่อใครอาจพากันบอกว่ามันเป็นเพียง “โลกเสมือน” หากมันเป็นเพียงความเสมือน ก็ดูจะเสมือนจริงมากขึ้นทุกที ๆ ไม่แปลกที่สเตตัสเฟซบุ๊กสุดดราม่าทำให้เราเครียดหัวแทบระเบิดมาถึงชีวิตจริงได้ รูปในอินสตาแกรมรูปเดียวที่ละเมิดกฎของบริษัทที่เราสังกัดอยู่อาจทำให้เราโดนไล่ออกได้จริง ๆ ไม่เว้นแม้แต่คอมเมนต์จากสาวสวยสักคนที่ดูสนิทสนมกับเราเป็นพิเศษก็อาจทำให้เราทะเลาะกับแฟนสาวจนบ้านแตกก็เป็นได้ เป็นแฟนกันและเป็นเฟรนด์กัน สัญญานอันตรายสำหรับบางคู่ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุว่ามนุษย์เรานั้นสื่อสารกันด้วยความหมายของคำจริง ๆ น้อยกว่าภาษากายและน้ำเสียงเสียอีก ถ้าอธิบายให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ ถ้าเรายืนอยู่ตรงหน้าใครสักคนแล้วบอกเธอคนนั้นว่า “คุณสวยเหมือนนางฟ้าเลยครับ” โดยความหมายของคำในประโยคนี้คือคำชมทุกตัวอักษร แต่ถ้าเราใช้น้ำเสียงแดกดัน ประกอบกับการเบ้ปาก กลอกตาใส่เธอ ความหมายของคำดี ๆ เหล่านั้นจะพังทลายลงทันที เพราะสิ่งที่สื่อสารมากกว่าคำคือน้ำเสียงและท่าทางของเรา ที่แสดงให้เห็นว่ามันคือการประชดไม่ใช่การชมอย่างจริงใจ จึงไม่แปลกเลยที่หลายครั้งเราสื่อสารกับแฟนสาวต่อหน้าแล้วเข้าใจกันดี แต่เมื่อความสัมพันธ์ถูกย้ายลงไปบนโลกเสมือนอย่างเฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ แล้วเราจะสื่อสารผิดพลาดจนกลายเป็นการทะเลาะกันครั้งใหญ่ได้เสมอ ปัจจัยที่ทำให้สื่อสารผิดพลาดคือตัวอักษรที่ปราศจากน้ำเสียงและไม่เห็นสีหน้าที่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึก ทำให้หลายครั้งเราเข้าใจกันผิดได้ง่าย ๆ ไม่เพียงเท่านั้นในโซเชียลเน็ตเวิร์กไม่ได้มีแค่เราสองคนเหมือนเวลาเราไปเดต หรือไปเที่ยวกัน แต่มีโยงไยความสัมพันธ์จากเพื่อนของเพื่อน คนรู้จักไกล ๆ เพื่อนมหาวิทยาลัย ฯลฯ โดยในบรรดาคนรู้จักเหล่านี้ของเรา แฟนก็อาจไม่ได้รู้จักทั้งหมด และในบรรดาเฟรนด์ในเฟซบุ๊กของแฟนเราเอง เราก็ไม่ได้รู้จักทั้งหมดเช่นกัน ดังนั้นอาจจะมีสาวสักคนดันมากดเลิฟให้เรามากกว่าปกติ หรือมีเพื่อนชายสมัยมัธยมของเธอที่คอมเมนต์ด้วยคำพูดที่ดูเหมือนมีแต่เธอกับเขาคนนั้นที่เข้าใจ สิ่งเหล่านี้คือภาษาที่ไม่มีการตีความตายตัว ทำให้เข้าใจผิดกันได้ง่าย ผิดใจกันได้ง่ายและจบลงด้วยการทะเลาะกัน