เตรียมโบกมือลาสาวกกระทิงดุอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับเครื่องยนต์ V12 แบบไร้ระบบอัดอากาศ ผลงานการผลิตขุมพลังเบนซินอันยอดเยี่ยมที่ขับเคลื่อน Lamborghini (ลัมโบร์กินี) มายาวนานกว่า 60 ปี ก่อนได้เวลาเดินทางเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่านอย่างเต็มตัวกับการเปิดตัวรถสปอร์ตซูเปอร์คาร์ไฮบริดในช่วงไตรมาสแรกของปี 2023 ซึ่งก่อนที่เราจะไปเปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่ร่วมกัน จึงถือโอกาสนี้รวบรวมทุกเรื่องราวน่าจดจำเพื่อเป็นเกียรติส่งท้ายให้กับตำนานเครื่องยนต์สุดยิ่งใหญ่แห่งยนตรกรรมโลก เครื่องยนต์ V12 ถือเป็นหัวใจสำคัญของลัมโบร์กินีมาตั้งแต่ปี 1963 ซึ่งจวบจนปัจจุบันมีการผลิตเครื่องยนต์ V12 เพียงแค่ 2 รุ่นที่ถูกวางอยู่ในรถซูเปอร์สปอร์ตคาร์ โดยรุ่นแรกเป็นเครื่องยนต์พื้นฐานสำหรับรถแข่งที่ “ถูกปรับแต่ง” สำหรับใช้วิ่งบนท้องถนนซึ่งเป็นผลงานการออกแบบของจิอ็อตโต้ บิซซารินี เปิดตัวครั้งแรกในรถยนต์ลัมโบร์กินีรุ่นแรกอย่าง 350 GT ส่วนเครื่องรุ่นที่สองถูกออกแบบใหม่ทั้งหมดแต่ยังคงยึดแนวคิดเชิงเทคนิคแบบเดิม ติดตั้งครั้งแรกในรถยนต์ตระกูล Aventador เปิดตัวในปี 2011 ซึ่งครั้งนี้ถือเป็นความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีครั้งสำคัญของบริษัท ตลอดจนการสร้างมาตรฐานใหม่ทั้งในด้านกำลังเครื่องและประสิทธิภาพที่มั่นใจได้ เดิมทีบิซซารินีรังสรรค์เครื่องยนต์ V12 เพียงเพื่อสร้างโอกาสให้บริษัทสามารถก้าวเข้าสู่โลกของการแข่งขันมอเตอร์สปอร์ต ทว่า เฟอร์รุชโช ลัมโบร์กินี กลับนำมาทำเป็นเครื่องยนต์สำหรับการผลิตรถยนต์รุ่นใหม่ จนกลายเป็นเรื่องราวแห่งยนตรกรรมอันน่าหลงใหลที่สืบเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้ โดยหลังจากใช้ในรถยนต์ 350 GT และรุ่นต่อยอดอื่นๆ เครื่องยนต์ V12 ได้ถูกนำมาวางไว้ในรถยนต์ Miura ในปี 1966,
Officine Fioravanti ผู้เชี่ยวชาญด้านการ Restomod รถคลาสสิคที่พวกเราอาจคุ้นตากันจากผลงานฟื้นฟูและอัพเกรด Ferrari Testarossa restomod สีขาว ที่ปรับทั้งดีไซน์และแรงม้าเพิ่มรวมเกือบ 500 ตัว ทำให้ car enthusiasts ทั่วโลกยอมรับฝีมือและความประณีตของสำนักแต่งจาก Switerzerland แห่งนี้ คิวจองยังไม่ทันระบาย ล่าสุด Officine Fioravanti ได้เปิดตัวผลงานโบว์แดงชิ้นใหม่ในสีดำด้านสุดขรึม “TR Alte Prestazioni Ferrari Testarossa” ภาษาอิตาเลี่ยนมีความหมายว่า “High Performance” เป็นรถระดับ hyperclassic แบบ one-of-one project นำชิ้นส่วนของ Testarossa มา reengineered ให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นรอบคัน เป็นการรักษา DNA ของรถต้นแบบให้มีทั้งความคลาสสิคและสมรรถนะระดับ Hypercar-level performance ได้อย่างยอดเยี่ยม เครื่องยนต์เดิม Flat-12 engine ของ Ferrari Testarossa ถูกนำมาอัพเกรดขึ้นใหม่ทั้งระบบ ไส้ในทุกชิ้นรวมถึง
“Mini G-Class” โมเดลที่หลายคนเคยใฝ่ฝันถึงมาแสนนานอาจจะเป็นความจริงเร็ว ๆ นี้ หลังมีรายงานว่า Mercedes-Benz กำลังวางแผนที่จะสร้าง G-Class รุ่นเล็กออกมาเสริมทัพตลาด Premium off-roader ภายในปี 2026 ซึ่งถือเป็นช่องว่างที่มีโอกาสสำเร็จสูง หากดูจากยอดขายถล่มทลายของ G-Class ซึ่งเป็น off-roader เพียงรุ่นเดียวของ Mercedes-Benz ในปัจจุบัน โดยรถรุ่นใหม่จะมีขนาดเล็กกว่า G-Class ในทุกมิติ อย่างไรก็ตาม แม้ข้อมูลจะยังมีไม่มากนัก แต่จากการวิเคราะห์ของเรา คาดว่ารถ off-roader ไซส์เล็กรุ่นใหม่นี้น่าจะเป็น standalone model แยกออกมาจาก G-Class อย่างสิ้นเชิง เพราะ Mercedes-Benz ไม่น่าจะอยากเอารถรุ่นใหม่ไปแตะรหัส G ที่กำลังไปได้ดีอยู่แล้ว และหากนี่เป็นรถพัฒนาเพื่อจับตลาดคนรักความหรูหรา สะดวกสบาย เพื่อใช้งานในชีวิตประจำวัน มีโอกาสสูงที่มันจะถูกให้รหัสว่า “GLG-Class” ซึ่งจะไม่ดิบและพร้อมลุยได้โหดเท่า G-Class ด้านขุมพลังคาดว่าจะมีให้เลือกทั้ง ICE และ Electirc เพราะ EQG หรือ
การเลือกซื้อรถแต่ละคันถือเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเราต้องผูกพันใช้งานกันนานหลายปี มีแฟนเพจปรึกษาเข้ามากันเยอะว่า จะซื้อรถรุ่นไหนดีในงบประมาณ 3 ล้านบวกลบ มองหารถคันหลักของบ้านที่มีความหรูหรา นุ่มนวล ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบาย และให้ความภูมิใจในภาพลักษณ์ที่ดี สำหรับโจทย์นี้ เราขอแนะนำ 2022 Mercedes-Benz E 220 d AMG Sport เป็นรถที่เหมาะสมและตอบโจทย์นี้มากที่สุด ด้วยเหตุผลเหล่านี้ครับ ห้องโดยสารกว้างขวางนั่งสบาย และขับง่ายกว่าที่คิด พื้นที่ในห้องโดยสารของ 2022 Mercedes-Benz E 220 d AMG Sport ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งทั้งผู้โดยสารตอนหน้าและหลัง แม้รถจะดูคันใหญ่จากภายนอก แต่ตำแหน่งการนั่งขับออกแบบได้ดีมาก ช่วยให้กะระยะรถยนต์รอบคันได้ง่าย ตัวแอดมินสูง 178 cm. นั่งตำแหน่งคนขับยังมี headroom เหลือเฟือ แผงคอนโซลหน้าออกแบบให้มีความโค้ง ช่วยให้รู้สึกปลอดโปร่งมากขึ้น เบาะนั่งที่ให้มาโอบกระชับและนุ่มสบาย ส่วนด้านหลังผู้โดยสารมี legroom และ headroom เยอะมาก ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวแม้จะมีผู้โดยสารนั่งหลัง ลองให้ลูกกับภรรยาขึ้นไปนั่งสักที รับรองว่าทุกคนต้องติดใจจนสนับสนุนให้ควักเงินจ่ายค่ามัดจำแน่นอน Cruise in
อีกขั้นของตำนานความแรงจาก Alpina ที่ได้กลายเป็นผ้าผืนเดียวกับ BMW ไปแล้วเรียบร้อย นี่คือ B5 BT โมเดลที่แรงที่สุดเท่าที่สำนัก Alpina เคยมีมา ปรับแต่งเครื่องยนต์ BMW 4-liter bi-turbo V8 ให้แรงถึง 624 horsepower 850 Nm of torque ทำความเร็วถึง 100 km/h ใน 3.4 seconds ความเร็วสูงสุด 328 km/h ภายนอกต้องมีล้อ Alpina Classic แบบ 20-spoke ขนาด 20 นิ้ว ประจำการเพิ่มความหล่อแบบคลาสสิกโชว์ Brembo calipers สีเดียวกับตัวรถ ชุดท่อไอเสียของใหม่ที่สร้างแบบ custom made สำหรับรถคันนี้โดยเฉพาะ ปลายท่อสีดำเคลือบ titanium เสริมความดุดันให้สมกับสมรรถนะอย่างสมน้ำสมเนื้อ BMW Alpina B5 BT
Mercedes-Benz SLR Stirling Moss หนึ่งในจำนวนการผลิตทั้งหมด 75 คันทั่วโลก นี่คือ Mercedes-Benz SLR Stirling Moss ที่คาดว่าจะมีไมล์น้อยที่สุด ตัวเลขโชว์ว่าแตะสัมผัสพื้นถนนมาเพียง 150 กิโลเมตรเท่านั้น ถือเป็นรถที่ Rarest หายากสุด ๆ อยู่แล้ว แถมคันนี้ยังเป็น Final version ของ Mercedes-Benz/McLaren SLR อีกด้วย คาดว่ามูลค่าตอนนี้อยู่ที่ราว 145 ล้านบาท แพงยิ่งกว่า 2014 Ferrari LaFerrari ในสี Blu Elettrico ที่พึ่งประมูลไปล่าสุดในราคา $4,075,000 SLR McLaren Stirling Moss เผยโฉมครั้งแรกในงาน 2009 North American International Auto Show เวอร์ชันสุดท้ายเพื่อฉลองให้กับ 300 SLR ในอดีต
“อาพริเลีย” แบรนด์ซูเปอร์ไบค์ระดับตำนานสัญชาติอิตาเลียน กลับมาสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ จัดใหญ่ จัดเต็ม ตอกย้ำดีเอ็นเอความเป็น “BE A RACER” แห่งวงการซูเปอร์ไบค์ของเมืองไทย ระเบิดความมันส์สนั่นเวทีมวยราชดำเนินในงาน “Aprilia SR GT The Ultimate Night” คอมมูนิตี้ที่รวบรวมเหล่าเซเลบริตี้ ดารา คนดังสายสปอร์ตระดับแนวหน้าของเมืองไทย นำทีมโดย ลีซอ – ธีรเทพ วิโนทัย / ภาค – บุญเกียรติ วงค์ษาแจ่ม / อองตวน ปินโต / บีม – ศรัณยู ประชากริช / พีท ทองเจือ / เชา – ชวลิต ชิตตนันท์ / จิต เชี่ยวสกุล / ท็อปแท็ป – จิรกิตติ์ คูอาริยะกุล /
ได้ข่าวว่า Tesla ชุดแรกเตรียมส่งจากจีนมาไทยแล้ว ใครจองไปเป็นกลุ่มแรก ๆ น่าจะกำลังรอลุ้น email กันอย่างตื่นเต้น ระหว่างนี้เรามีชุดแต่ง Model Y แบบโหด ๆ ล่าสุดสำหรับเสริมอารมณ์สปอร์ตจาก Novitec มาแนะนำ ก็ขับรถหล่อทั้งที จะขับเดิม ๆ ได้ไง Novitec’s Tesla Model Y Carbon Aero upgrades ดีไซน์ชุดแต่ง naked carbon fiber รอบคัน ตั้งแต่ front lip spoiler ที่ออกแบบให้ดักอากาศเพื่อกดรถให้นิ่งเมื่อใช้ความเร็วสูง ด้านหลังมี spoiler และ rear diffuser ใหม่ช่วยเพิ่ม downforce พร้อมเสริมลุคที่ดุดันมากขึ้น ลากยาวไปถึง side skirts และปิดท้ายด้วยไฮไลท์ Novitec 22-inch forged wheels ขนาด 255/30
รังสรรค์ขึ้นในปี ค.ศ. 2021 นาฬิกา แอร์เมส เอช08 คือตัวแทนของการผสมผสานระหว่างหลักการอันเข้มแข็งเข้ากับมาตรฐานระดับสูงที่หลอมรวมไว้ด้วยความหนักแน่นและลื่นไหล โดยสัญลักษณ์งานออกแบบอันร่วมสมัยซึ่งสะท้อนถึงสไตล์อันทรงพลังนี้ได้สร้างรูปเป็นวัตถุที่ถ่ายทอดไว้ทั้งหมดด้วยความสมดุลและความตรงข้ามกัน ธรรมชาติอันมีมิติที่หลากหลายจึงได้ถูกแสดงออกผ่านการเล่นกับรูปทรงและวัสดุ ด้วยความเอาใจใส่อย่างพิถีพิถันในรายละเอียดและกระบวนการสร้างสรรค์อันแม่นยำ ที่ได้สร้างรูปเป็นภาพลักษณ์ที่มีทั้งความสปอร์ตและสง่างาม ด้วยพลังอันมีชีวิตชีวาและสัมผัสแห่งอารมณ์ความรู้สึกของเส้นสายซึ่งเผยให้เห็นถึงสุนทรียะความสวยงามเฉพาะหนึ่งเดียว โดยถ่ายทอดบนหน้าปัดวงกลมพร้อมทั้งฟอนต์สไตล์ดั้งเดิม และหลอมรวมไว้ภายในตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมกับขอบมนอันแสนนุ่มนวล ออกแบบขึ้นโดย ฟิลิปป์ เดโลตัล (Philippe Delhotal) ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์แห่ง แอร์เมส ออร์โลเฌอร์ (Hermès Horloger) นาฬิกา แอร์เมส เอช08 คือผลลัพธ์ของการผสมผสานระหว่างพื้นผิวและแร่กับเหลือบสีเข้มและสัมผัสที่เต็มไปด้วยสีสันผสานโดยเส้นสายที่ไม่อัดแน่นจนเกินไปและโดดเด่นด้วยรูปทรงเรขาคณิตอันสง่างามร่วมไปกับรูปลักษณ์ของทั้งสไตล์แบบด้านหรือเงาวาว โดยเอกลักษณ์อันโดดเด่นของนาฬิการุ่นล่าสุดนี้ในวันนี้ยังได้เสริมความรุ่มรวยแห่งเสน่ห์ด้วยการผสมผสานระหว่างทองและไทเทเนียม รังสรรค์ขึ้นภายใต้โลหะผสมอันแข็งแรงและน้ำหนักเบา กับตัวเรือนทรงสี่เหลี่ยมมนหรือคุชชัน (cushion-shaped) ของนาฬิกา แอร์เมส เอช08 ที่ประกอบด้วยฝาหลังตัวเรือนทำจากไทเทเนียม เคลือบดีแอลซี (DLC) สีดำ ส่วนด้านบนของตัวเรือนชิ้นกลางทำจากโรสโกลด์ การเล่นบนความแตกต่างกันนี้ยังเสริมเสน่ห์ยิ่งขึ้นด้วยขอบตัวเรือนและเม็ดมะยมเซรามิกสีดำซึ่งสลับระหว่างการตกแต่งแบบขัดด้านซาตินและขัดเงา ขณะที่ตัวเรือนแบบทูโทนได้ฉายความโดดเด่นให้กับมิติอันลุ่มลึกของหน้าปัดตกแต่งแบบเกรนอย่างประณีตในเฉดสีดำ ซึ่งตัดกับเข็มชี้ทองเรืองแสงและตัวเลขอารบิกทอง มอบเป็นความชัดเจนอันสมบูรณ์แบบ ขณะที่ดิสก์นาทีกลางและเข็มวินาทีเคลือบด้วยนิกเกิลสีดำ พร้อมทั้งการแสดงวันที่ภายใต้ช่องหน้าต่างทรงคุชชัน ณ ตำแหน่งระหว่าง 4 และ 5 นาฬิกา ถ่ายทอดซึ่งการแสดงอันสมดุล สวยงาม และอ่านค่าได้อย่างชัดเจน
ถึงเวลาเปิดตัว Facelifted Honda Jazz e:HEV ใหม่ ซึ่ง generation ที่ 4 นี้จะทำตลาดเฉพาะในญี่ปุ่น (Honda Fit) และยุโรปเท่านั้น ส่วนประเทศไทยถูกแทนที่ด้วย City hatchback ไปแล้วเรียบร้อย แต่ก็น่าเสียดาย เพราะสาวก Honda หลายคนยังคงหลงรักน้อง Jazz อยู่เต็มหัวใจ Facelifted Honda Jazz แบ่งเป็นสองรุ่นย่อย คือ Honda Jazz e:HEV Advance Sport ได้กันชนหน้าและหลังใหม่ กระจังหน้ารังผึ้ง side skirts และล้อ five doube spokes ขนาด 16 นิ้ว อีกรุ่นย่อยคือ Honda Jazz e:HEV Crosstar ที่พร้อมลุยทางสมบุกสมบันมากขึ้น สังเกตได้ง่ายจากชุดแต่งที่แตกต่างหลายจุด กระจังหน้า กันชนหน้าหลัง รวมถึงขอบพลาสติกกันกระแทนที่ทำให้ซุ้มล้อดูบึกบึนมากขึ้น