คงต้องยอมรับว่าตอนนี้เรากำลังใช้ชีวิตอยู่ในยุคที่ ‘เมือง’ พัฒนาไปพร้อมกับ ‘เทคโนโลยี’ อย่างก้าวกระโดดและรวดเร็วจนหลายคนตามไม่ทัน บางค่านิยมเก่า ๆ ถูกลบล้าง ขณะที่มีแนวคิดสมัยใหม่เข้าแทนที่ นวัตกรรมต่าง ๆ ที่ดูเป็นเรื่องไกลตัว เริ่มเขยิบเข้ามาใกล้ชีวิตประจำวัน แกมบังคับให้เราต้องเรียนรู้เพื่อก้าวทันโลกและไม่ล้าหลัง จริงอยู่ที่การพัฒนาเมืองทำให้คนเมืองอย่างเราได้เปรียบ ทั้งด้านความเจริญหรือแม้แต่สาธารณูปโภคที่ช่วยให้ชีวิตสะดวกสบายยิ่งขึ้น แต่ในทางตรงกันข้ามคนเมืองก็ต้องเตรียมรับหลากหลายปัญหาที่มาพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาครั้งใหญ่นี้ด้วย การอยู่อาศัยแนวตั้งที่จะเข้ามาแทนที่การอยู่อาศัยแนวนอน ทำให้ผู้คนหันมาสนใจคอนโดมิเนียมมากกว่าบ้านแนวราบอย่างในอดีต การพัฒนาชานเมืองตามเส้นรถไฟฟ้าเริ่มแบ่งปันและกระจายความแออัดยัดเยียดไปสู่นอกเมือง ซ้ำร้ายราคาที่ดินในเมืองก็ขยับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่พ่วงมากับการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือพฤติกรรมและค่านิยมของคนเมืองที่เปลี่ยนไป จนทำให้ ‘การเช่าบ้านตลอดชีพ’ กลายเป็นความปกติใหม่ของคนยุคนี้ไปเสียแล้ว ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้น ทำให้คนอยาก ‘เช่า’ มากกว่า ‘ซื้อ’ ในช่วง 10 ปีให้หลังเห็นได้ชัดว่าราคาที่ดินใจกลางเมืองพุ่งทะยานขึ้น ขณะเดียวกันความต้องการที่จะใช้ที่ดินเพื่อการลงทุนก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยไปกว่ากัน โดยเฉพาะที่ดินในเขตเมืองชั้นในที่ถูกพัฒนาไปก่อนใครเพื่อน เรียกได้ว่าเป็นทั้งศูนย์กลางเศรษฐกิจและความเจริญของประเทศ จึงไม่แปลกถ้าราคาที่ดินในเมืองจะดีดตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ และยากที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราจะเอื้อมถึง ที่พักหายาก เป็นเจ้าของยาก สู้ราคาไม่ไหว นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวที่มาพร้อมเงินสะพัดมหาศาล อาจต้องแลกมากับความต้องการที่พักของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น เมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองมากกว่าเดิม เหล่านักลงทุนจึงพากันซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อเก็งกำไร และหันมาปล่อยเช่าห้องแบบระยะสั้นแทนระยะยาว ความหวังของคนเมืองที่จะได้จับจองเป็นเจ้าของห้องพักในเขตเมืองจึงริบหรี่ลงเรื่อย ๆ โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีรายได้น้อย แถมที่อยู่อาศัยในเมืองมีแนวโน้มจะกลายเป็นพื้นที่เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวมากขึ้นอีกด้วย ไม่ต้องลงทุน ก็ไม่ขาดทุน อีกเหตุผลที่ทำให้การเช่าตลอดชีพเป็นที่นิยมคือความคุ้มค่า ถ้านับ