ถึงจะเป็นผู้ชายอกสามศอกแต่หลายครั้งเราก็มีน้ำตา เพราะน้ำตาไม่ได้แปลว่าอ่อนแอเสมอไป มันมีทั้งน้ำตาแห่งความโศกเศร้า น้ำตาแห่งความปลื้มปิติ หรือบางทีถูกแฟนสั่งให้ทำกับข้าว หั่นหัวหอมแล้วน้ำตาไหลก็มีถมไป ประเด็นมันจึงอยู่ตรงนี้นี่แหละ ในเมื่อน้ำตามันมีที่มาอันหลากหลาย แล้วมันจะมีความแตกต่างกันในรายละเอียดที่เป็นรูปธรรมไหมล่ะ? เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เราสงสัยอยู่คนเดียว แต่ Rose-Lynn Fisher ก็สงสัยเหมือนกัน จึงเกิดโปรเจกต์ส่องกล้องจุลทรรศน์ดูน้ำตา The Topography of Tears ขึ้น โดยเธอศึกษาน้ำตาที่มีที่มาแตกต่างกันมากถึง 100 แบบ จนออกมาเป็นภาพผลึกน้ำตาที่แตกต่างกันไปตามอารมณ์และที่มาอีกด้วย จะคูล จะเท่ จะมีรูปแบบเป็นแบบไหนบ้าง วันนี้ UNLOCKMEN ชวนมาดูพร้อม ๆ กัน Joseph Stromberg จาก Smithsonian’s Collage of Arts and Sciences อธิบายว่าน้ำตามีอยู่ 3 ประเภทด้วยกันคือ basal tears, reflex tears, และ psychic tears โดย basal tears เป็นน้ำตาพื้นฐานที่เกิดจากการที่ตาผลิตน้ำออกมาเพื่อหล่อเลี้ยงดวงตา
ผู้ชายอย่างเราคงคุ้นเคยกับ Johnnie Walker ดีอยู่แล้ว โดยเฉพาะโลโก้ผู้ชายก้าวเท้าไปข้างหน้าอย่างมาดมั่น แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าผู้หญิงจะก้าวขึ้นมาอยู่บนขวดวิสกี้กับเขาบ้าง แล้วมันเป็นเพราะอะไร ทำไมผู้หญิงต้องก้าวขึ้นมาบนขวดวิสกี้กันล่ะ? UNLOCKMEN เอาปริศนามาไขให้ Diageo Plc ซึ่งเป็นบริษัทแอลกอฮอล์ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิต Johnnie Walker กำลังจะเปิดตัวโลโก้ใหม่บนขวดวิสกี้ที่มีสัญลักษณ์เป็นหญิงสาว โดยการเปิดตัวครั้งนี้ถือว่าเป็นความพยายามครั้งสำคัญที่จะดึงดูดผู้หญิงให้มาสนใจเจ้าสก๊อตช์วิสกี้ที่ขายดีที่สุดระดับโลกตัวนี้มากขึ้น ที่สำคัญโลโก้ใหม่อย่าง Jane Walker ยังมีเป้าหมายพีค ๆ ที่อยากให้ผู้คนรับรู้กันอย่างกว้างขวางเรื่องความเท่าเทียมทางเพศอีกด้วย (ทั้งคูล ทั้งเท่ ทั้งได้สาระจริง ๆ ) วิสกี้ limited U.S. edition ที่จะออกมาครั้งนี้นั้นจะเป็นรูปผู้หญิงกำลังก้าวเท้าอย่างมาดมั่นแทนที่จะเป็นผู้ชายแบบเดิม และผู้หญิงคนนี้มีชื่อชิค ๆ ล้อไปกับชื่อ Johnnie Walker ว่า Jane Walker Stephanie Jacoby รองประธานของ Johnnie Walker เปิดเผยว่าเจ้าของแบรนด์ Diageo Plc หวังให้การเปิดตัวโลโก้ Jane Walker จะสามารถดึงดูดความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมถึงเป็นการเฉลิมฉลองให้กับผู้หญิงทุกคนด้วย Jacoby
ถ้าแต่ละประเทศมีกระทรวงและรัฐมนตรีดูแลสิ่งที่โคตรจะสำคัญสำหรับประเทศตัวเอง ไม่ว่าจะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รัฐมนตรีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หรือจะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ แล้วทำไมจะมี “รัฐมนตรีความเหงา” (Minister for loneliness) ด้วยไม่ได้ โดยรัฐมนตรีกำกับดูแลปัญหาความเหงาของประชาชน เป็นรัฐมนตรีของรัฐบาลอังกฤษ เชื่อว่าผู้ชายสายหว่องสายเหงาชาว UNLOCKMEN ทั้งหลายคงกึ่งดีใจกึ่งขำ ๆ ว่า WHAT THE F*** ความเหงามันต้องสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอวะ? จะสำคัญขนาดไหน UNLOCKMEN จะมาไขปริศนาให้ Tracey Crouch คือรัฐมนตรีคนแรกที่ต้องรับมือกับการแพร่ระบาดของความเหงา (อ่านแล้วรู้สึกเหมือนอยู่ในนิยายมุราคามิอย่างไรอย่างนั้น) โดยรัฐบาลอังกฤษเขาก็ไม่ได้แต่งตั้งรัฐมนตรีกำกับดูแลปัญหาความเหงาขึ้นมาเพื่อความคูล ๆ เท่ ๆ ให้เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเล่น ๆ เท่านั้น เพราะความเหงากลายเป็นปัญหาสุดจริงจังในสหราชอาณาจักรเลยทีเดียว ปัญหาความเหงาส่งผลกระทบต่อประชากรกว่า 9 ล้านคนในสหราชอาณาจักร ผู้สูงอายุราว ๆ 2 แสนคนไม่ได้คุยกับญาติหรือเพื่อนตัวเองมากกว่า 1 เดือน! และคาดว่าครึ่งหนึ่งของคนที่อายุตั้งแต่ 75 ปีขึ้นไปประมาณ 2 ล้านคนต้องอาศัยอยู่ตัวคนเดียว ปัญหาความเหงาแพร่ระบาดไม่ได้จบแค่เพียงผู้สูงอายุเท่านั้น เพราะ 85% ของวัยหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ต่างอยู่อย่างโดดเดี่ยว บางคนไม่มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเลยเป็นวัน
ประเทศญี่ปุ่นขึ้นชื่อเรื่องการเป็นเมืองหลวงแห่งวงการรถแต่ง เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหนก็สามารถเห็นรถแต่งขับอยู่บนท้องถนนได้ในชีวิตประจำวัน แถมยังมีอู่สำนักแต่งรถให้ปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมอัพเกรดหน้าตาและสมรรถนะจากรถธรรมดาบ้าน ๆ ให้กลายเป็นรถแข่งสุดเท่ได้ตามใจสั่ง แต่ท่ามกลางผู้คนในวงการแต่งรถของญี่ปุ่นนั้นยังมีชายที่แตกต่างและมีตัวตนที่ชัดเจนกว่าคนอื่น นั่นก็คือ Shinichi Morohoshi ผู้ที่เอา Lamborghini Diablo มาแต่งให้เป็นสีชมพูจี๊ดจ้าดชวนบาดใจ จากความฝันตอนวัยรุ่นที่ได้เห็นรถซุปเปอร์คาร์ยี่ห้อนี้ Shinichi Morohoshi หรือเป็นที่รู้จักกันในนาม Morohoshi-san นั้นมีจุดเริ่มต้นความฝันที่อยากจะครอบครอง Lamborghini ตั้งแต่ตอนอายุ 17 ปี ซึ่งเขายังอยู่ในกลุ่มเด็กแว๊นของญี่ปุ่นที่เรียกกันว่า Bōsōzoku หรือ Bōsō แปลว่า “ชนเผ่าที่ใช้ความรุนแรง” ในกลุ่มนี้จะใช้มอเตอร์ไซค์ที่ประกอบชิ้นส่วนจากมอเตอร์ไซค์อังกฤษ , อเมริกาและถูกตกแต่งในลักษณะแปลก ๆ เช่นติดหลอดไฟนีออน ท่อไอเสียที่ใหญ่กว่าปกติ ธงสัญลักษณ์ประจำกลุ่มที่ถูกติดไว้ตรงแฟริ่งตัวถัง แน่นอนว่ากลุ่ม Bōsō นั้นขับรถซิ่งอย่างอันตรายบนถนนในโตเกียวไม่ต่างกับกลุ่มเด็กแว๊นในบ้านเราเลย Morohoshi ใช้ชีวิตแบบนี้จนกระทั่งเขาถูกจับในคืนวันก่อนปีใหม่ และนั่นเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรถในฝันอย่าง Lamborghini “ผมได้ยินเสียงมันก่อนที่ผมจะเห็นมันซะอีก เสียงท่อไอเสียมันหนักแน่น ผมถูกสะกดด้วยรถคันนี้ทันทีและไม่รู้ว่ารถคันนี้ทำเสียงดังขนาดนั้นได้ยังไง เราหมดเงินไปเป็นแสนเยนกับท่อมอเตอร์ไซด์ แต่นี่มันดังกว่าซะอีก หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีผมถึงเห็นมัน รถ Lamborghini Countach สีดำขับลงมาจากถนน Nakasendō ผมบอกตัวเองเลยว่า
นับเป็นเรื่องขบขันอีกหนึ่งเรื่องที่เกิดขึ้นบนโลก เพราะจากสำนักข่าว NYPOST รายงานว่าล่าสุดใน South Carolina รัฐทางตอนใต้ของสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายห้ามคนใส่กางเกง saggy pants หรือกางเกงหลุดตูดอีกต่อไป มิเช่นนั้นจะโดนคาดโทษอย่างแน่นอน ซึ่งกฎหมายตัวนี้น่าจะทำให้เหล่าสาวกฮิปฮอปออกอาการเซ็งไปตาม ๆ กัน เพราะฝ่ายกฎหมายประจำรัฐกำลังพยายามผลักดันห้ามใส่กางเกงหลุดก้นไม่โหลดต่ำเกินกว่า 3 นิ้ว มิเช่นนั้นจะโดนปรับเงิน หรือบำเพ็ญประโยชน์ช่วยเหลือสังคม เพราะทางการมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร เหตุการณ์นี่ไม่ใช่ครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีการยกเรื่องนี้มาพูด เนื่องจากในหลาย ๆ เมือง อย่างเช่น Wildwood ในรัฐ New Jersey หรือจะเป็น Florida ต่างผ่านกฎหมายนี้เป็นที่เรียบร้อย เพราะมองว่าเป็นพฤติกรรมอนาจาร และนำไปสู่การอาชญกรรมอื่น ๆ ตามมา จากข่าวนี้ก็เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในสังคมถึงความเหมาะสม โดยหลายฝ่ายมองว่าเป็นการพุ่งเป้าโจมตีไปยังกลุ่มวัยรุ่น African-American ที่นิยมแต่งกายประเภทนี้ จึงมองว่าเรื่องนี้มีนัยยะการเหยียดผิวแฝงอยู่ ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่ากฎหมายห้ามกางเกงหลุดตูดจะเป็นอย่างไรต่อไปในสหรัฐอเมริกา โดยนับว่าเป็นความโชคดีของประเทศไทยอย่างมาก แม้บ้านเราจะมีเรื่องชวน งง ๆ และสงสัยอยู่หลายเรื่อง แต่อย่างน้อยผู้ใหญ่ในบ้านเมืองก็ยังมีข้อดีที่ไม่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแต่งกาย ดังนั้นไม่ว่าวัยรุ่นไทยจะแต่งตัวอย่างไรขอแค่ไม่เป็นการทำอนาจารแก้ผ้า ต่อให้กางเกงหลุดถึงราวก้น ก็ไม่ต้องกลัวพี่ ๆ ตำรวจมาซิวอย่างแน่นอน source
เรียกได้ว่า Born To Be ได้อย่างเต็มปากเต็มคำกับ Gerard Way ฟรอนต์แมนของวง My Chemical Romance ที่แม้ว่าจะไม่ได้มีผลงานแล้วในปัจจุบัน แต่ถือว่าเป็นวงที่เก๋าในวงการเพลงอยู่พอตัว เพราะเขาเองมีความสามารถในด้านอื่นนอกจากการร้องเพลงคือการเขียนการ์ตูนและมีผลงาน Comic ออกมาวางแผงแล้วด้วย! ใครที่เป็นแฟนคลับก็อาจจะพอคุ้นหูกับเรื่องนี้บ้าง วันนี้ UNLOCKMEN เลยพาไปดูเรื่องราวของฟรอนต์แมนของวงระดับโลกในอีกมุมที่เป็นตัวตนของเขาในบทบาทของ “นักเขียนการ์ตูน” เขาเป็นใครในวงการดนตรี? ถ้าจะเล่าถึงการก่อตั้งวงคงจะยาวถึงพรุ่งนี้ UNLOCKMEN เลยขอเล่าในส่วนของความสนใจในดนตรีของเขาว่ามีความเป็นมายังไง ทำไมถึงก้าวเข้าสู่ถนนสายดนตรีได้ Gerard Way ฟรอนต์แมนของวง My Chemical Romance วงร็อกขวัญใจใครหลายคน ด้วยความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเขาและภาพลักษณ์ของวงเอง เขามีเสียงสูงสุดปรอทซึ่งทำให้เขาเป็นที่จดจำ โดยเขาเริ่มฟอร์มวง My Chemical Romance ในช่วงปี 2001 และมี Mikey Way น้องชายของเขาเป็นมือเบสให้กับวงอีกด้วย ซึ่งวงประกาศยุบวงไปในปี 2013 เขามักจะใช้การแต่งเพลงเพื่อเยียวยาความรู้สึกของตัวเองเมื่อเจอเรื่องหนัก ๆ ในชีวิต อย่าง Depression และ Alcoholism เพลงที่เขาแต่งจึงมักจะมีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัว อย่าง “Helena” เป็นเพลงที่กล่าวถึงยายของเขาที่ซื้อกีต้าร์ตัวแรกให้นั่นเอง ในช่วงวัยรุ่นก่อนที่จะมีวง เขาสนใจที่จะเล่นกีต้าร์ เขาฝึกฝนแล้วทุ่มเทเวลาไปกับมันแล้วพยายามฟอร์มวงขึ้นมา
คุณมีรอยสักหรือเปล่า? ถ้ามี รอยสักก็เป็นบางสิ่งที่แสดงความเป็นตัวคุณได้แบบสุดขั้วมากพออยู่แล้ว แต่จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราบอกคนอื่นว่า เฮ้ย รอยสักเรามาจาก Tattoo Artist ที่ไม่มีแขนว่ะ! อ้าวเฮ้ย! แล้วเขาใช้อะไรสักให้เรา แล้วมันจะออกมาสวยไหม Tattoo Artist ที่ไม่มีแขนเขาจะทำงานกันอย่างไร วันนี้ไม่ต้องทนสงสัยอีกต่อไป เพราะนี่คือเรื่องของ Tattoo Artist ที่โคตรสร้างแรงบันดาลใจ เพราะจากการไม่มีแขน สู่การมีแขนเทียม ไปจนถึงการมีแขนเทียมเป็นเครื่องสักอัจฉริยะที่สรรค์สร้างศิลปะได้แม้ไร้แขนจริง JC Sheitan Tenet เป็นชายชาวฝรั่งเศสผู้ สูญเสียแขนขวาท่อนล่างไปเมื่อ 24 ปีก่อน แน่นอนว่าในขณะนั้น ความหม่นเศร้าย่อมแผ่ขยายปกคลุมรอบ ๆ ตัวเขา เพราะเขาจินตนาการไม่ออกเลยจริง ๆ ว่าชีวิตเขาจะไปในทิศทางไหนต่อ ยิ่งจินตนาการว่าเขาจะกลับมาวาดภาพ เขียนภาพอย่างที่เคยทำได้ยิ่งเป็นไปไม่ได้ใหญ่ แต่โลกใบนี้ก็สอนให้เรารู้จริง ๆ ว่า ไม่มีอะไรใหญ่หรือไกลเกินความฝันของเราเพราะเมื่อปี 2016 JC Sheitan Tenet ได้แขนเทียมเป็นของตัวเอง แต่ที่แม่งโคตรจะคูลกว่านั้นคือมันเป็นแขนเทียมพิเศษที่โมดิฟายเข้ากับเครื่องสักอีกด้วย! JC Sheitan Tenet เป็น Tattoo Artist
เป็นส่ิงที่ย้อนแย้งกันมากมาย จาก Logo Design ที่ไปลอกผลงานออกแบบต่อต้านวัตถุนิยมของศิลปินสายเฟมินิสต์ BARBARA KRUGER มาปรับเปลี่ยนกลายเป็นแบรนด์ Supreme ที่แม้แต่ก้อนอิฐราคาเป็นหมื่นยังขายได้ แถมยังเป็นตัวเชื่อมระหว่างโลก Streetwear กับสังคมไฮโซในระดับประชาชนไปจนถึงผู้ถือหุ้นก็ยังได้ โลโก้ Supreme จึงถูกประเมินมูลค่าไกลถึงระดับ Billion-Dollar ไปแล้วเรียบร้อย ด้วยความมั่นใจระดับนี้ ใน collection ใหม่ล่าสุด SS18 ของ Supreme จึงไม่ได้จำกัดอยู่แค่ Fashion Item แต่เปิดตัวมาพร้อมข้าวของเครื่องใช้ทั้ง indoor และ outdoor แม้ว่ามันจะเป็นธรรมเนียมของ Supreme อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้บางคนอาจจะงงได้ว่านี่เปิดตัวแบรนด์เสื้อผ้า หรืองาน HomePro Expo กันแน่ เพราะพี่เล่นแปะโลโก้บนทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ แน่นอนว่าครั้งนี้ต้องมีตู้ Pinball ที่แง้ม ๆ เปิดภาพไปแล้วตั้งแต่ก่อนหน้านี้ ที่เพิ่มเติมคือในโอกาสนี้ นักสะสม Supreme จะสามารถออกไปเข้าค่ายปิคนิคกลางป่าอย่างมีสไตล์ได้ด้วยขวาน Supreme จุดไฟได้ด้วยไฟแช็ค Zippo Supreme พายเรือคายัคขนาด 7
ในภาษาวงการ Advertising มีทฤษฎีคลาสสิคใน Textbook บอกไว้ว่า ‘Sex Always Sell’ การใช้ความใคร่ เสน่หา เป็นกลยุทธ์ที่ใช้หวังผลได้เสมอไม่ว่ายุคไหน ทุกวันนี้เราเห็นเทคนิคนี้ได้ในเกือบทุกวงการ เช่น Motor Show, Motor Expo งานอุตสาหกรรม งานต้อนรับผู้ใหญ่ งานแจกใบปลิวตามห้าง ล้วนมีการใช้ผู้หญิงเข้ามาดึงดูดความสนใจกันทั้งนั้น แต่ในวงการทหารที่ห่างจากประชาชนคนธรรมดาอย่างพวกเรา ก็ยังมีการใช้เทคนิคนี้อยู่เสมอเช่นกัน เรียกกันว่าเป็นกลยุทธ์ ‘Honey Trap’ ล่าสุดเหยื่อที่ตกเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก เป็นถึงระดับ Indian Air Force (IAF) Group Captain อายุ 51 ปี นามว่า ‘Arun Marwaha’ รับผิดชอบด้าน Parachute Training Instructor ซึ่งดูจากประสบการณ์และอายุ ต้องถือว่าเป็นรุ่นใหญ่พอสมควร ด้วยชั่วโมงบินระดับ 3,000 jumps และใกล้จะเกษียณอายุอยู่ปีหน้าแล้ว กลับตกเป็นผู้ต้องหาด้านความมั่นคง โดนควบคุมตัวโดย Delhi Police เข้าคุกพิเศษฐานเปิดเผยข้อมูลลับด้านการทหารของ IAF ให้กับ
ใครมีแฟนแล้วอ้วนขอให้ยกมือขึ้น? UNLOCKMEN อยากบอกให้รู้ไว้ว่าไม่ใช่คุณแค่คนเดียวที่แฮปปี้ดี๋ด๋ากับความรักมากขึ้นแล้วน้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะนอกจากเหตุผลง่าย ๆ อย่างพากันกินไม่แคร์โลกแล้ว งานวิจัยยังบ่งชี้จากการสำรวจว่านี่คือเรื่องจริง ไม่ใช่เรื่องที่เราคิดเองเล่น ๆ อีกต่อไป (เอ๊ะ หรือเลิกซะเลย? จะได้ผอมลง) แต่ไม่ต้องลงทุนเลิกกันขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยว UNLOCKMEN จะเสนอหนทางให้ว่าทำอย่างไรถึงจะแก้ปัญหานี้ได้ มา มาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน งานวิจัยจาก National Center for Biotechnology ค้นพบว่าการมีความสุขกับความรักมาก ๆ ทำให้น้ำหนักคุณเพิ่มขึ้นได้ โดยนักวิจัยติดตามกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคู่รักจำนวน 169 คู่ ตลอดระยะเวลาที่กำหนดไว้ 4 ปี โดยตลอดระยะเวลา 4 ปี พวกเขาจะต้องชั่งน้ำหนัก 2 ครั้งต่อปี พร้อม ๆ กับที่ต้องแจกแจงรายละเอียดว่าพวกเขามีความสุข ความพึงพอใจมากแค่ไหนกับชีวิตคู่ของพวกเขา ผลการสำรวจออกมาชัดเจนว่าคู่ที่เปิดเผยว่าตัวเองสุดแสนจะมีความสุขกับชีวิตคู่ พวกเขาจะน้ำหนักขึ้น ในขณะที่คู่ที่ไม่ค่อยมีความสุขกับชีวิตคู่ตัวเองเท่าไหร่จะยังรูปร่างดีเท่าเดิม (แหม่ ได้อย่างเสียอย่างจริง ๆ ) นักวิจัยก็อธิบายว่าคนที่รู้สึกมั่นคงแน่นอน รู้สึกมีความสุขกับความสัมพันธ์ รู้สึกว่าได้เจอเนื้อคู่ที่ตามหามานาน