“ประเทศไทยก็ดัดจริตในระดับหนึ่ง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องเอาไฟแช็กไปแขวนไว้กับบุหรี่ตลอด” มันคงจะจริงอย่างที่ว่า เพราะสำหรับในประเทศไทยไฟแช็กถูกจับคู่อยู่กับบุหรี่มาตลอดทุกยุคทุกสมัย แต่ในช่วงวัยเด็กเราเห็นคนรุ่นพ่อจำนวนไม่น้อยที่ไม่สูบบุหรี่แต่ก็พกไฟแช็ก Zippo ติดกระเป๋าไปไหนมาไหนด้วยเสมอ ถือเป็นหนึ่งในตัวแทนความเท่ของผู้ชายที่อยู่มาทุกยุคทุกสมัย เพราะ Zippo เป็นไฟแช็กที่เท่ด้วยตัวของมันเอง UNLOCKMEN เคยเขียนเกี่ยวกับไฟแช็ก Zippo อยู่บ่อยครั้งแต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้พูดคุยกับคนวงในที่คลุกคลีกับ Zippo อย่างจริงจัง จนเราได้มีโอกาสได้นั่งสนทนากับคุณ “รังสรรค์ จันทร์วรวิทย์” หรือคุณแต๋น ประธานและผู้ก่อตั้งชมรม Zippo Club Thailand สิ่งที่ UNLOCKMEN อยากรู้เกี่ยวกับ Zippo มีมากมายหลายหัวข้อนับไม่ถ้วนรวมถึงเรื่องราวของคุณแต๋นที่ทำให้ความชอบกลายเป็นธุรกิจแถมพอเมื่อทำแล้วก็ประสบความสำเร็จอีก เพราะไม่ใช่ทุกคนทำได้ และไม่ใช่ทุกคนมีความสุขกับการนำความชอบมาเป็นธุรกิจ เราจึงเริ่มต้นบทสนทนาด้วยการถามว่า อะไรที่ทำให้คุณแต๋นสนใจไฟแช็ก Zippo ? ผมเริ่มสนใจ Zippo มาตั้งแต่สมัยเรียนอยู่ชั้นประถมเพราะเห็นลุงใช้แล้วมันเท่มาก แถมสิ่งที่ทำให้เริ่มสนใจจริงจังเป็นเพราะไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปีก็จะเห็นลุงใช้ไฟแช็กอันเดิมเสมอ มันทนมาก มีเอกลักษณ์มากโดยเฉพาะเสียงเวลาเปิด-ปิด แต่กว่าจะมาสะสมจริง ๆ ก็ตอนทำงานมีเงินเป็นของตัวเองครับ เสน่ห์ที่แตกต่างระหว่างไฟแช็กอื่นกับ Zippo ในมุมของคุณแต๋นมีอะไรบ้าง ? อย่างแรกเลยคือเสียงคลิกที่เป็นเอกลักษณ์ เป็นไฟแช็กที่กันลมได้ จุดแล้วไม่ดับง่าย ๆ แถมเล่นทริคได้อีกด้วย แต่สิ่งที่เป็นจุดแข็งทำให้
ตอนเด็ก ๆ เวลาดูหนังฮอลลีวูดกับครอบครัว ถ้าพระเอกจะสูบบุหรี่หรือเจ้าพ่อมาเฟียอิตาลีมาดเท่อยากสูบซิการ์ ก็มักจะหยิบไฟแช็คทรงเหลี่ยมเปิดฝาแล้วมีเสียงดังกริ๊งขึ้นมาจุดไฟเสมอ เพราะเห็นในภาพยนตร์บ่อยจนชินตาจึงสงสัยและตั้งคำถามว่ามันคือไฟแช็คอะไร จนได้คำตอบว่ามันคือ Zippo ตัวแทนความเท่ในวัยเด็กที่ตรึงใจมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ UNLOCKMEN จึงสงสัยว่าอะไรที่ทำให้ไฟ Zippo กลายเป็นไอเทมสุดโปรดของใครหลายคน จนถูกเรียกว่า “A legendary and distinct symbol of America” หรือตำนานที่เป็นสัญลักษณ์ของอเมริกา แล้วจุดเริ่มต้นของตำนานนี้เริ่มมาจากอะไร และทำอย่างไรถึงรับได้ความนิยมมายาวนานไม่เสื่อมคลาย เรื่องราวของของไฟแช็คทรงเหลี่ยม เกิดขึ้นโดยชายชาวอเมริกันชื่อว่า George Grant Blasisdell เขาเป็นชายที่อยากทำงานมากกว่าเรียนหนังสือ เมื่อเขาบอกความต้องการของเขาให้ครอบครัวฟัง พ่อกลับส่งเขาไปยังโรงเรียนเตรียมทหารแทน แต่สุดท้ายจอร์จ เบรสเบล เรียนได้แค่ 2 ปีก็ลาออกกลับมาทำงานที่บ้าน อย่างไรก็ตาม เขาคือเด็กชายที่ไม่มีวุฒิการศึกษา ไม่มีประสบการณ์ทำงาน แม้จะเป็นธุรกิจของครอบครัวตัวเอง แต่เขาต้องเริ่มตั้งแต่การทำงานในโรงงาน รับค่าจ้างชั่วโมงละ 10 เซ็นต์เท่ากับคนอื่น ๆ ถึงจะได้เงินน้อยแต่จอร์จกลับรู้สึกสนุกกว่าการต้องไปนั่งเรียนหนังสือ เขาเก็บเกี่ยวประสบการณ์กับเครื่องจักรและระบบการทำงานอย่างเต็มที่ จนได้ขึ้นมาดูแลกิจการแทนพ่อในปี 1920 ซึ่งเป็นสองปีหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง จอร์จได้ขึ้นมากุมบังเหียนธุรกิจครอบครัวในช่วงเศรษฐกิจทั่วโลกซบเซาจากผลของสงคราม ทำให้เขาเริ่มมองหาธุรกิจใหม่ ๆ เพื่อสร้างรายได้มากขึ้น