Entertainment

IndieWire เผย 20 หนังสยองยอดเยี่ยมตลอดกาล ที่ครองความกลัวมายาวนานข้ามกาลเวลา

By: unlockmen April 16, 2021

IndieWire สื่อทรงอิทธิพลของกลุ่มคนที่สนใจหนังสุดเดิร์น เผยรายชื่อ 120 หนังสยองขวัญยอดเยี่ยมตลอดกาล ซึ่งนอกจากจะสร้างความกลัวขนลุกชวนผวาแล้ว ยังเป็นหมุดหมายสำคัญของประวัติศาสตร์แห่งยุคสมัยอีกด้วย แม้ในอดีตหนังสยองขวัญมักจะถูกตีค่าที่ต่ำกว่ามาตรฐาน (ลองเมียงมองไปที่เวทีการแจกรางวัลอย่างออสการ์ที่ชาติหนึ่งจะมีหนังสยองขวัญเล็ดรอดเข้าชิง) แต่ปัจจุบันหนังสยองขวัญคือสนามลองฝีมือของคนทำหนังมากมายเพราะความกลัวในแต่ละยุคสมัยนั้นเปลี่ยนไปตามกาลเวลา มันจึงเต็มไปด้วยการทดลองอันหลากหลายที่เหล่านักสร้างหนังจะนำเสนอ

และนี่คือ 20 อันดับสูงสุดที่ได้รับการโหวตในกองบรรณาธิการ IndieWire ที่บางเรื่องชาว Unlockmen สามารถหาดูได้ตามสตรีมมิ่งไม่ยาก มาดูกันว่า 20 หนังเด็ดสุดสยองเหล่านี้น่ากลัวตรงใจคุณหรือไม่

20. The Fly (David Cronenberg, 1986)

David Cronenberg ผสมผสานความสนุกและความสยองเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน โดย Jeff Goldblum ก่อนหน้าที่เขาจะเป็นนักวิทยาศาสตร์สุดเท่ใน Jurassic Park เขาเคยเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการทดลองผิดพลาด จากความตั้งใจจะสร้างเครื่องย้ายมวลสาร กลับกลายเป็นการรวมร่างเข้ากับแมลงวันจนเกิดเป็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ที่แรกเริ่มปลุกพลังเหนือมนุษย์จนเขากลายเป็นซูเปอร์ฮีโร่ แต่เวลาต่อมากลับเผยร่างที่เต็มไปด้วยความขยะแขยง หนังโดดเด่นด้วยการเสนอเมคอัพเอฟเฟคส์ที่ชวนแหวะ แต่สนุก จนกลายเป็นหนังฮิตที่มีภาคต่อตามมา

รับชมได้ทาง Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


19. Get Out (Jordan Peele, 2017)

Jordan Peele สามารถพิสูจน์ว่าเขาสามารถไปได้ไกลกว่าการเป็นดาวตลก ด้วยการเขียนบทและกำกับหนังครั้งแรกที่เขย่าความรู้สึกของคนผิวสีที่พบเจอความเขย่าขวัญจากการถูกล้างสมองด้วยจากคนผิวขาว มันจึงกลายเป็นหนังระทึกขวัญจิตวิทยาที่เล่นกับความหวาดกลัวได้อย่างทรงพลัง จนสามารถเข้ารอบลึกและได้เข้าชิงรางวัลออสการ์สาขาหนังยอดเยี่ยมก่อนจะคว้ารางวัลทางด้านการเขียนบทไป Get Out นับเป็นหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่สะท้อนภาพความต่างของสีผิวที่ไม่ว่าจะผ่านไปกี่สิบปีพวกเขายังคงเป็นพลเมืองที่อยู่ด้วยความหวาดกลัวไปตลอดกาล

รับชมได้ทาง Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


18. The Silence of the Lambs (Jonathan Demme, 1991)

Hannibal Lecter กลายเป็นต้นแบบแห่งความหวาดผวาแห่งยุค 90s ได้อย่างมหัศจรรย์ จากการปลุกชีพของผู้กำกับ Jonathan Demme ที่จับ 2 นักแสดงอย่าง Anthony Hopkins ในบทบาทฆาตกรต่อเนื่องที่ฉลาดเป็นกรด มาพบกับเจ้าหน้าที่ FBI ฝึกหัดที่นำแสดงโดย Jodie Foster ที่ร่วมมือกันไขคดีไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่องอย่าง Buffalo Bill ผ่านห้องขังพิเศษ Demme สร้างองค์ประกอบอันแปลกใหม่ของความเขย่าขวัญในยุคนั้นพร้อมพลังการแสดงรับส่งที่ทำให้ทั้งสองคว้ารางวัลทางการแสดง รวมไปถึงตัวหนังในไม่กี่เรื่องที่สามารถคว้ารางวัลออสการ์หนังยอดเยี่ยมไปครองได้สำเร็จ

รับชมได้ทาง HBO GO / True ID+ / Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


17. Nosferatu (F. W. Murnau, 1922)

หนึ่งในหนัง Dracula ที่เจ้าของบทประพันธ์อย่าง Bram Stoker พยายามสาปส่งเนื่องจากนำเรื่องราวของแวมไพร์ไปดัดแปลงโดยไม่ได้รับอนุญาต แต่ในแง่ของศิลปะภาพยนตร์แล้ว หนังที่กำลังจะมีอายุครบ 100 ปีเรื่องนี้ เต็มไปด้วยแง่มุมที่แปลก แหวก และแตกต่างไปจากภาพความสยองที่เคยจินตนาการถึงบุรุษที่ดื่มเลือดเป็นอาหาร อย่างน้อยที่สุดภาพลักษณ์ของแวมไพร์ที่นำแสดงโดย Max Schreck ก็ชวนหวาดผวาโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาความสยองจากด้านอื่นเลย และนอกจากความสยองในบรรยากาศสุดโกธิคแล้ว มันยังเต็มเปี่ยมไปด้วยแง่มุมทางศิลปะจนถูกขนานนามว่า เป็น “Citizen Kane”แห่งหนังสยองขวัญที่นักดูหนังทุกคนต้องดูก่อนตาย

รับชมได้ทาง https://youtu.be/dCT1YUtNOA8


16. Jaws (Steven Spielberg, 1975)

ท้องทะเลสีครามกลับกลายเป็นสีเลือดทันที เมื่อเจ้าแห่งท้องทะเลที่มีฟันแหลมคมและขากรรไกรที่พร้อมกระชากร่างมนุษย์ให้แหลกในชั่วพริบตา หนังแจ้งเกิดผู้กำกับหน้าใหม่ในยุคนั้นอย่าง Steven Spielberg ที่เขย่าประสาทให้คนไม่กล้าที่จะเล่นน้ำทะเลไปช่วงเวลาหนึ่งเลย ขณะเดียวกันความหวาดกลัวนี้ก็กลายเป็นความฮิตแห่งยุคสมัย และมันกลายเป็นหนังทำเงินตลอดกาลอันดับ 1 ในช่วงนั้นจากหนังทุนจำกัดแต่สร้างจินตนาการความกลัวให้ผู้ชมอย่างเต็มร้อยแบบที่ไม่เคยมีหนังเรื่องไหนทำได้มาก่อน

รับชมได้ทาง Amazon Prime / Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


15. Cat People (Jacques Tourneur, 1942)

แม้จะเป็นหนังทุนต่ำที่สร้างสำหรับโรงหนังเกรดบี แต่ผู้กำกับ Jacques Tourneur ก็สามารถซ่อนเชิงชั้นทางด้านการสรรค์สร้างจนสามารถกลายเป็นหนังคัลท์ที่ผู้ชมในยุคนั้นให้การต้อนรับอย่างคึกโครม เรื่องราวของภาพวาดแมวดำที่หลอนจิตกรสาวจนนำไปสู่คำสาปเรื่องนี้กลายเป็นหลักไมล์สำคัญของการผสมผสานความสยองขวัญเข้ากันกับความหลอนที่เล่นกับจินตนาการของคนดูภายใต้ทุนสร้างที่น้อยนิดได้อย่างมีประสิทธิภาพและน่าทึ่งอย่างมาก จนได้รับเกียรติให้เป็นหนังที่อยู่ในห้องสมุดแห่งชาติในเวลาต่อมา


14. 28 Days Later (Danny Boyle, 2002)

วิสัยทัศน์อันน่าทึ่งของ Danny Boyle ที่นำเสนอภาพเมืองร้างกลางกรุงลอนดอนได้ชวนผวา เรื่องราวของ 28 วันหลังเชื้อร้ายที่คร่าชีวิตคนให้กลายเป็นซอมบี้และทำลายล้างมนุษยชาติให้กลายเป็นซอมบี้ที่ออกอาละวาดได้ชวนขนหัวลุก และยิ่งนำเสนอผ่านภาพหนังผ่านกล้องวีดีโอดิจิตัลที่ภาพแตก ยิ่งให้ความรู้สึกที่สมจริงและชวนหดหู่ขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ ยิ่งมาดูในยุค Covid Era ยิ่งมีความรู้สึกร่วมกับหนังอย่างไม่รู้ตัว

รับชมได้ทาง Netflix / Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


13. Audition (Takashi Miike, 1999)

Takashi Miike อาจจะเพิ่งกำกับหนังผ่านจำนวน 100 เรื่องไปไม่นาน แต่จะมีเรื่องไหนที่สร้างบรรยากาศความน่ากลัวได้เท่าเรื่องนี้เป็นไม่มี เรื่องราวของพ่อม่ายที่ใช้หน้าที่การงานในทางที่ผิด ทำการออดิชั่นหาสาวเพื่อที่จะสานสัมพันธ์ แต่กลับกลายเป็นเจอสาวโรคจิตที่มอบความทรมานให้กับแบบที่แม้กระทั่งคนดูต้องปิดตา หนังครึ่งแรกเนิบนาบชวนง่วง แต่ครึ่งหลังเหมือนเราถูกติดกับไปร่วมรับชมความทรมานสุดขีดคลั่งแบบไม่ทันตั้งตัว แน่นอนว่าหลังจากที่คุณได้ดูหนังเรื่องนี้ คำว่า “คีรีคีรีคีรี” จะหลอนหัวคุณไปตลอดกาล


12. Dawn of the Dead (George A. Romero, 1978)

George A. Romero สามารถทำหนังซอมบี้ที่เกลื่อนกราดในยุคนั้นให้กลายเป็นหนังที่วิพากษ์ระบบทุนนิยมได้อย่างยอดเยี่ยม เรื่องราวของเหล่ามนุษย์ที่เหลือรอดต้องรับมือกับเหล่าซอมบี้ในห้างสรรพสินค้า ที่แม้ตัวจะกลายเป็นผีดิบ แต่ความคุ้นเคยและสัญชาติญาณที่ชอบเดินห้างยังคงอยู่ มันจึงเป็นหนังซอมบี้รูปแบบใหม่ที่แซะสังคมในขณะเดียวกันความสยองและความตื่นเต้นยังคงมีอยู่ไม่ยิ่งหย่อนลงไปเลย จนกลายเป็นผลงานคลาสสิคที่คนมักจะนึกถึงเป็นเรื่องแรก ๆ เมื่อกล่าวถึงหนังซอมบี้


11. Deep Red (Dario Argento, 1975)

หนึ่งในผลงานหลอนขึ้นหิ้งคลาสสิคของเจ้าพ่อหนัง Giallo (หนังเขย่าขวัญเหนือธรรมชาติสัญชาติอิตาลี) ซึ่ง Deep Red มักถูกกล่าวถึงเสมอเมื่อเอ่ยถึงหนังตระกูลนี้ เรื่องราวของครูสอนดนตรีและนักข่าวสาวที่ตามสืบไล่ล่าฆาตกรต่อเนื่องที่จัดการเหยื่อด้วยความโหดแบบไม่ทันตั้งตัว นอกจากการสร้างบรรยากาศชวนหวาดผวาในแต่ละครั้งก่อนที่ฆาตกรลึกลับจะจัดการเหยื่อได้ชวนขนลุกแล้ว การสาดความรุนแรงแบบไม่ยั้งและไม่เลือกที่จะจัดการเรียกได้ว่าไม่ต้องวางแผนอะไรมากก็พร้อมมอบความตายให้เหยื่อโดยทันที ทำให้หนังเรื่องนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึงในการจู่โจมความหวาดกลัวของคนดูได้อย่างชะงักงัน และเสริมสร้างความมั่นใจให้ Dario Argento มอบความสยองผ่านหนังอีกหลายเรื่องนับแต่นั้นเป็นต้นมา


10. Night of the Living Dead (George A. Romero, 1968)

กล่าวถึง Dawn of the Dead แล้วไม่กล่าวถึง Night of the Living Dead ก็คงจะเป็นเรื่องที่ผิดบาปไม่ใช่น้อย เนื่องจากมันคือต้นขั้วของหนังจากผู้สร้างคนเดียวกัน ที่ปลุกกระแสหนังซอมบี้ให้เป็นหนึ่งในตระกูลของหนังที่เราได้รับชมกันอยู่จนถึงทุกวันนี้ George A. Romero กำหนดไวยกรณ์ของตัวซอมบี้ที่ในยุคนั้นยังเดินเชื่องช้าแต่ทว่าน่ากลัวและน่าขนลุกภายใต้หนังทุนต่ำจำกัดจำเขี่ย แต่ไม่ละทิ้งที่จะวิพากษ์วิจารณ์สังคม โดยเฉพาะสังคมที่คนผิวสีไม่ได้รับความยุติธรรมและความเท่าเทียม นำไปสู่ตอนจบอันชวนหดหู่ที่ทำให้รู้ว่าสิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าซอมบี้ก็คือมนุษย์เราดี ๆ นี่เอง

รับชมได้ทาง https://www.youtube.com/watch?v=MQ8ZKw7YIfQ


9. Alien (Ridley Scott, 1979)

ห้วงอวกาศอันเคว้งคว้าง กลายร่างเป็นนรกที่ไร้แรงโน้มถ่วงทันที และอวกาศยานกลายร่างเป็นสุสานของเหล่านักบินอวกาศที่บังอาจไปรุกล้ำอาณาจักรของสิ่งมีชีวิตสุดสยองจากนอกโลก นี่คือพิมพ์เขียวสำคัญของหนังไซไฟสุดสยองที่นอกจากสร้างบรรยากาศความน่ากลัวในพื้นที่ปิดตาย การเอาชีวิตรอดของหญิงสาวที่ต้องสู้เพียงลำพัง ไปจนถึงการดีไซน์สัตว์ประหลาดจากนอกโลกที่ทรงอิทธิพลมาจนถึงทุกวันนี้ และนอกจากครองความสยองไว้ยาวนานกว่า 40 ปีแล้ว จักรวาลแห่งเอเลี่ยนนี้ก็ยังไม่สูญพันธุ์ยังพร้อมเขย่าขวัญผ่านหนังภาคต่อและหนังรีบู๊ทไม่มีวันจบวันสิ้นอีกด้วย

รับชมได้ทาง Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


8. The Thing (John Carpenter, 1982)

John Carpenter รังสรรค์ความกลัว ความหวาดระแวง และความโดดเดี่ยวในหนังเย็นยะเยือกบนขั้วโลก ผ่านสิ่งมีชีวิตจากต่างดาวที่พร้อมยึดร่างนักวิจัยให้ทั้งไล่ล่าและหนีตาย ท่ามกลางความหนาวเหน็บและการดีไซน์สัตว์ประหลาดที่เกินกว่าจะจินตนาการได้ถึงความน่ากลัว มันทำให้คุณลุ้นระทึกพร้อมทั้งเผยให้เห็นเบื้องลึกของมนุษย์ยามคับขันได้ชวนหวาดผวาไม่แพ้กันเลย

รับชมได้ทาง Amazon Prime / Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


7. Eyes Without a Face (Georges Franju, 1960)

การปลูกถ่ายผิวหนังบนใบหน้าในปัจจุบันอาจเป็นเรื่องไม่ยากเย็นเท่าไหร่ แต่ในยุค 60s ที่วิทยาการทางการแพทย์ยังไมพัฒนา มันหมายถึงความคลั่งที่มาพร้อมความสยองอย่างที่คุณไม่สมารถจะจินตนาการได้เลย แต่หนังสัญชาติฝรั่งเศสเรื่องนี้กลับเลือกที่จำลองภาพการปลูกถ่ายใบหน้าของหมอที่อยากให้ลูกสาวที่เสียโฉมจากการประสบอุบัติเหตุให้กลับมามีใบหน้าเหมือนเดิมแม้จะผิดจรรยาบรรณด้วยการไล่จับหญิงสาวหน้าสวยมาและดึงหนังหน้ากันสด ๆ สร้างซีนอันชวนสยองซึ่งเข้ากันดีกับความคุ้มคลั่งของหมอผู้มุ่งมั่นอยากให้ลูกสาวกลับมาสวยเหมือนเดิมได้อย่างวิปริตและขนหัวลุกแม้หนังเรื่องนี้จะมีอายุเกิน 6 ทศวรรษแล้วก็ตาม


6. Psycho (Alfred Hitchcock, 1960)

คุณูปการสำคัญที่ทำให้ Alfred Hitchcock กลายเป็นตำนานแห่งการเขย่าขวัญ ไม่ว่าจะเป็นความกล้าที่จะหักมุมฆ่าตัวละครที่คนกำลังเอาใจช่วยตายตั้งแต่กลางเรื่องให้คนดูต้องเคว้งคว้าง หรือการสร้างซีนที่กระหน่ำความกลัวกับการจ้วงแทงเหยื่อโดยใช้เทคนิคทางภาพยนตร์ตัดต่ออย่างบ้าคลั่ง หรือการเผยตัวจริงของตัวฆาตกรอย่าง Norman Bates ที่แสนอ่อนแอด้วยการใช้หลักจิตวิทยา ทั้งหมดทั้งมวลคือตำราเล่มใหญ่ที่คนทำหนังทุกยุคทุกสมัยต่างพากันศึกษา ขณะเดียวกันก็เป็นการบ่งชี้ว่ายังมีที่ว่างเสมอในการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่และมันไม่มีทางตันสำหรับหนังสยองขวัญที่พร้อมกระตุกชีพจรความกลัวของคนดู

รับชมได้ทาง Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


5. Halloween (John Carpenter, 1978)

เทศกาลวันปล่อยผี กลับกลายเป็นว่าที่หนังไล่ล่ากระซวกเหยื่อที่เป็นหมุดหมายสำคัญของหนังแนว Slasher ที่เสนอทั้งภาพลักษณ์ของฆาตกร / การดีไซน์ความหวาดกลัวของเหยื่อ จนทำให้หนังไล่ล่าที่ผสมความตื่นเต้น สยดสยอง กลายเป็นความคัลท์ในหมู่วัยรุ่น และกลายเป็นฮิตจนสร้างภาคต่อมากมายในเวลาต่อมา และพร้อมปลุกทุกความโหดของคาแรคเตอร์ Michael Myers และการต่อสู้ของนักแสดงนำ Jamie Lee Curtis ด้วยการรีบู๊ทได้อยู่เสมอ


4. The Exorcist (William Friedkin, 1973)

เวทีออสการ์มักชิงชังและปิดประตูใส่หน้าหนังสยองขวัญเสมอ ด้วยเพราะมันไร้สาระและไม่เชิดชูคุณค่าใด ๆ แต่หนังหมอผีเอ็กโซซิสต์กลับเดินขึ้นไปรับรางวัลอย่างสมภาคภูมิ มันไม่เพียงตรึงคนดูด้วยการนำความเชื่อในเรื่องไสยศาสตร์เอามาแปรรูปเป็นความหวาดผวาเท่านั้น แต่ยังลุกลามตั้งคำถามกับความเชื่อทางศาสนาที่เปลี่ยนเด็กสาวไร้เดียงสาให้กลายเป็นปีศาจร้ายอย่างง่ายดาย ผ่านฉากการหมุนคออันลือลั่นไปจนถึงอ้วกสีเขียวที่รดหน้าบาทหลวง มันจึงเป้นมากกว่าหนังสยองขวัญเรื่องทั่วๆไป แต่หนังเรื่องนี้ถึงพร้อมด้วยรายละเอียด และสร้างบรรยากาศที่ชวนหวาดผวานำมาซึ่งความหวาดกลัวที่แม้จะดูในปัจจุบันก็ยังสัมผัสได้ถึงความสยองขวัญไม่เสื่อมคลาย

รับชมได้ทาง Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


3. Rosemary’s Baby (Roman Polanski, 1968)

Roman Polanski ปั่นป่วนทั้งคนดูและนักแสดงนำให้พบกับความสยองขวัญที่พร้อมจู่โจมให้คุณได้สัมผัสโลกแห่งความชั่วร้ายจากความพารานอยด์ในการตั้งครรภ์ของ Mia Farrow จนเกิดภาพหลอนที่ชวนขนหัวลุก ตั้งแต่ภาพการมีเซ็กซ์กับซาตาน ไปยันตอนจบหักมุมที่สั่นคลอนความเชื่อทางศาสนา ผลลัพธ์ที่ได้คือความโหดนอกจอ เมื่อภรรยาของผู้กำกับ Roman Polanski ต้องโดนฆ่าอย่างทารุณและสยดสยองทั้ง ๆ ที่ท้องแก่ใกล้คลอดจากลัทธิ Manson Family ที่กลายเป็นเหตุการณ์ฆาตกรรมช็อคโลกที่ประวัติศาสตร์ต้องจารึกไว้ถึงความอำมหิตสุดขั้ว ซึ่งส่วนใหญ่แล้วมองว่าหนังเรื่องนี้คือสารกระตุ้นให้พวกเขาลงมือฆ่าอย่างทารุณและโหดเหี้ยม


2. The Texas Chainsaw Massacre (Tobe Hooper, 1974)

ยุค 70s คือการเปลี่ยนผ่านหน้าประวัติของหนังสยองขวัญยุคใหม่ และหนังสิงหาสับเรื่องนี้คือตัวเร่งสำคัญ หนังเลือดสาดทุนต่ำที่เล่าเรื่องของกลุ่มเพื่อนที่หลงเข้าไปยังบ้านที่ของ Leatherface ไอ้หน้ากากหนังมนุษย์ที่มาพร้อมเลื่อยไฟฟ้าและพร้อมฆ่าคนที่ตรงหน้าอย่างไม่ยั้ง หนังเรื่องนี้พิสูจน์ได้ว่ายิ่งหนังทุนต่ำ ยิ่งสมจริงอย่างน่าขนลุก เมื่อมันสร้างความโหดแบบไม่บันยะบันยังและทำให้เราเชื่ออย่างสนิทใจว่าไอ้โรคจิตที่ไล่ล่าฆ่าอยู่นั้นมันอาจจะมีอยู่จริงที่ไหนสักแห่ง


1. The Shining (Stanley Kubrick, 1980)

มีข้อถกเถียงมากมายถึงความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้เมื่อแรกออกฉาย ที่นักวิจารณ์และคนดูหลายคนพากันส่ายหน้าและผิดหวังในผลงานการกำกับระดับปรมาจารย์ของ Stanley Kubrick เมื่อหนังระทึกขวัญจากงานเขียนของ Stephen King กลับถูกผู้กำกับปู้ยี่ปู้ยำจนไม่เหลือดี แม้กระทั่งนักเขียนเจ้าของเรื่องยังพากันสาปส่งถึงความไม่เข้าท่าของหนังเรื่องนี้ เรื่องราวของนักเขียนที่ใช้ช่วงเวลาวันหยุดอันเงียบสงัดของโรงแรมเขียนนิยายแต่กลับกลายเป็นช่วงเวลาแห่งความคลั่งที่เต็มไปด้วยเรื่องราวความเฮี้ยนมากมายนี้ แต่สุดท้ายหนังก็ใช้ช่วงเวลาอันยาวนานเก็บเกี่ยวความยอดเยี่ยมแบบปากต่อปาก และพร้อมชำระประวัติศาสตร์ใหม่ถึงอัจฉริยะภาพที่มาก่อนกาลของ Kubrick จนสุดท้ายก็กลายเป็นที่สุดของหนังสยองขวัญสั่นประสาทชนะใจนักดูหนังรุ่นใหม่ จู่โจมทุกสายตาด้วยความหลอนและวิช่วลสุดล้ำจวบจนปัจจุบัน

รับชมได้ทาง Apple TV (เช่าหรือซื้อ)


และนี่คือหนังที่เหลืออีก 100 เรื่อง ที่คุณสามารถเช็คดูว่าสยองสุดขั้วตรงใจคุณหรือไม่

21. “Carrie” (Brian De Palma, 1976)

22. “Repulsion” (Roman Polanski, 1965)

23. “I Walked With a Zombie” (Jacques Tourneur, 1943)

24. “The Birds” (Alfred Hitchcock, 1963)

25. “Suspiria” (Dario Argento, 1977)

26. “Bride of Frankenstein” (James Whale, 1935)

27. “The Omen” (Richard Donner, 1976)

28. “Pulse” (Kiyoshi Kurosawa, 2001)

29. “The Innocents” (Jack Clayton, 1961)

30. “The Wicker Man” (Robin Hardy, 1973)

31. “The Cabinet of Dr. Caligari” (Robert Wiene, 1920)

32. “Near Dark” (Kathryn Bigelow, 1987)

33. “Scream” (Wes Craven, 1996)

34. “The Devil’s Backbone” (Guillermo Del Toro, 2001)

35. “Hangover Square” (John Brahm, 1945)

36. “Don’t Look Now” (Nicolas Roeg, 1973)

37. “Hausu” (Obayashi Nobuhiko, 1977)

38. “Black Sunday” (Mario Bava, 1960)

39. “The Devils” (Ken Russell, 1971)

40. “The Others” (Alejandro Amenábar, 2001)

41. “Possession” (Andrzej Zulawaki, 1981)

42. “Freaks” (Tod Browning, 1932)

43. “I Saw the Devil” (Kim Jee-Woon, 2011)

44. “The Brood” (David Cronenberg, 1979)

45. “The Blair Witch Project” (Daniel Myrick and Eduardo Sánchez, 1999)

46. “It Follows” (David Robert Mitchell, 2014)

47. “Ganja & Hess” (Bill Gunn, 1973)

48. “Carnival of Souls” (Herk Harvey, 1962)

49. “The Lodger” (John Brahm, 1944)

50. “Candyman” (Bernard Rose, 1992)

51. “The Spiral Staircase” (Robert Siodmak, 1946)

52. “Frankenstein” (James Whale, 1931)

53. “The Witch” (Robert Eggers, 2015)

54. “The Babadook” (Jennifer Kent, 2014)

55. “The Fog” (John Carpenter, 1980

56. “Twin Peaks: Fire Walk with Me” (David Lynch, 1992)

57. “The Conjuring” (James Wan, 2013)

58. “The Haunting” (Robert Wise, 1963)

59. “The Sixth Sense” (M. Night Shyamalan, 1999)

60. “Poltergeist” (Tobe Hooper, 1982)

61. “Evil Dead II” (Sam Raimi, 1987)

62. “Jacob’s Ladder” (Adrian Lyne, 1990)

63. “Let the Right One In” (Tomas Alfredson, 2008)

64. “A Tale of Two Sisters” (Kim Jee-woon, 2003)

65. “Invasion of the Body Snatchers” (Don Siegel, 1956)

66. “The Descent” (Neil Marshall, 2005)

67. “Black Christmas” (Bob Clark, 1974)

68. “Dressed to Kill” (Brian De Palma, 1980)

69. “High Tension” (Alexandre Aja, 2003)

70. “The Seventh Victim” (Mark Robson, 1943)

71. “Bram Stoker’s Dracula” (Francis Ford Coppola, 1992)

72. “Hour of the Wolf” (Ingmar Bergman, 1968)

73. “Henry: Portrait of a Serial Killer” (John McNaughton, 1986)

74. “Raw” (Julia Ducournau, 2016)

75. “Sisters” (Brian De Palma, 1973)

76. “Brotherhood of the Wolf” (Christophe Gans, 2001)

77. “House on Haunted Hill” (William Castle, 1959)

78. “The Vanishing” (George Sluizer, 1988)

79. “Martyrs” (Pascal Laugier, 2008)

80. “Kuroneko” (Kaneto Shindo, 1968)

81. “Suspiria” (Luca Guadagnino, 2018)

82. “The Skin I Live In” (Pedro Almodovar, 2011)

83. “The Ghost Ship” (Mark Robson, 1943)

84. “What Ever Happened to Baby Jane?” (Robert Aldrich, 1962)

85. “Antichrist” (Lars von Trier, 2009)

86. “A Nightmare on Elm Street” (Wes Craven, 1984)

87. “Masque of the Red Death” (Roger Corman, 1964)

88. “The Hunger” (Tony Scott, 1983)

89. “Viy” (Konstantin Yershov and Georgi Kropachyov, 1967)

90. “The Leopard Man” (Jacques Tourneur, 1943)

91. “Goodnight Mommy” (Veronika Franz and Severin Fiala, 2014)

92. “The Tenant” (Roman Polanski, 1976)

93. “Trouble Every Day” (Claire Denis, 2001)

94. “A Bay of Blood” (Mario Bava, 1971)

95. “Messiah of Evil” (Willard Huyck and Gloria Katz, 1973)

96. “Tales from the Hood” (Rusty Cundieff, 1995)

97. “Alucarda” (Juan López Moctezuma, 1977)

98. “The Changeling” (Peter Medak, 1980)

99. “The Ring” (Gore Verbinski, 2002)

100. “Village of the Damned” (Wolf Rilla, 1960)

101. “Eraserhead” (David Lynch, 1977)

102. “Safe” (Todd Haynes, 1995)

103. “The Phantom Carriage” (Victor Sjöström, 1921)

104. “The Mist” (Frank Darabont, 2007)

105. “The Night of the Hunter” (Charles Laughton, 1955)

106. “Shutter Island” (Martin Scorsese, 2010)

107. “Häxan” (Benjamin Christensen, 1922)

108. “The Strangers” (Bryan Bertino, 2008)

109. “Hereditary” (Ari Aster, 2018)

110. “Dracula” (Tod Browning, 1931)

111. “Midsommar” (Ari Aster, 2019)

112. “Invasion of the Body Snatchers” (Philip Kaufman, 1978)

113. “Saint Maud” (Rose Glass, 2020)

114. “[Rec]” (Jaume Balagueró & Paco Plaza, 2007)

115. “Mandy” (Panos Cosmatos, 2018)

116. “The Orphanage” (J.A. Bayona, 2007)

117. “Sinister” (Scott Derrickson, 2012)

118. “Paranormal Activity” (Oren Peli, 2007)

119. “Inside” (Alexandre Bustillo & Julien Maury, 2007)

120. “The Blood on Satan’s Claw” (Piers H

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line