

Entertainment
ของจริง หรือแค่กระแสดัง The Chainsmokers คู่หูดูโอ้ที่มาเขย่าวงการดนตรีทั่วโลก
By: unlockmen June 16, 2017 64601
หากบอกว่าเพลงร็อคคือแนวดนตรีแห่งมวลมนุษยชาติในช่วงที่ผ่านมา อีกหนึ่งแนวดนตรีที่คืบคลานเข้ามาเป็นบทเพลงแห่งจักรวาลที่เกาะกินทุกคนคงจะหนีไม่พ้นดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์มิวสิค หรือที่เรียกกันบ้าน ๆ ว่า EDM หากคุณไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างนี้ของเรา ขอให้ย้อนกลับไปดูชาร์ตเพลงไม่ว่าจะเป็น Billboard , MTV หรือแม้กระทั่งวิดีโอบน YouTube ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาต่างโดนบทเพลงเต้นรำครอบครองจนแทบไม่เหลือพื้นที่ให้กับดนตรีแนวอื่น ๆ อีกแล้ว
จะว่าใครก็คงไม่ได้เพราะในเรื่องดนตรีมันมีวัฎจักรของตัวมันเอง ตัวอย่างเช่นปี 90s เรามีเพลงร็อคที่ครองใจผู้คน แต่แล้วหลังจากปี 2000 ก็เป็นช่วงเฟื่องฟูของ นู-เมทัล จนกระทั้งมี ฮิปฮอป เข้ามาก่อนที่จะกลายมาเป็นอิเล็กทรอนิกส์มิวสิคเช่นทุกวันนี้
ซึ่งหลายคนอาจจะเริ่มเบื่อหน่ายเพราะไหนจะดีเจหน้าเก่าที่เคยมีผลงานอยู่แล้ว บวกกับหน้าใหม่ ๆ ที่ผุดขึ้นมาขยันออกเพลงแนวตี้ด ๆ ไม่เว้นแต่ละวัน จนตอนนี้ตลาดดนตรีมันเริ่มจะเฟ้อแล้ว แต่หากไล่เรียงจากบรรดาศิลปินดีเจจากตลาดอุตสาหกรรมดนตรีทั้งหมด ดูเหมือนจะมีดูโอ้คู่หนึ่งที่โดดเด่น และพยายามก้าวข้ามความเป็นดีเจอย่างสิ้นเชิงนั้นคือ The Chainsmonkers
The Chainsmonkers มีสมาชิกประกอบไปด้วย Andrew Taggart และ Alex Pall ทั้งคู่เริ่มต้นรู้จักกันผ่านทางเว็บไซต์แชทออนไลน์เว็ปไซต์หนึ่ง ซึ่งตอนนั้น Alex Pall เริ่มที่จะเป็นดีเจเปิดเพลงบ้างแล้ว และอยู่ภายใต้สังกัดของ Adam Alpert ส่วน Andrew Taggart ยังทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ในอาร์ตแกลอรี่แห่งหนึ่งใน New York
ซึ่งหลังจากได้พูดคุย พวกเขาทั้งคู่พบว่าต่างมีความนิยมชมชอบที่คล้ายคลึงกันในเรื่องของแนวดนตรี จึงได้ชักชวนมาเริ่มทำดนตรีอิเล็กทรอนิกส์อินดี้แบบที่ต้องการ จนเกิดเป็น The Chainsmonkers ในปี 2012
Alex Pall และ Andrew Taggart
พวกเขาใช้เวลาไม่มากนักในการก่อร่างสร้างชื่อเสียง เพราะงานแรกของทั้งคู่เรียกว่าค่อนข้างโชคดีก็ว่าได้ เพราะมีโอกาสได้ร่วมงานกับ Priyanka Chopra นักแสดงสาวชาวอินเดียที่มีดีกรีความสวยถึงระดับ Miss World Pageant มาขับร้องซิงเกิ้ลที่ชื่อว่า Erase ให้ ก็เหมือนมีคนดังช่วยโปรโมตให้อีกทาง
หลังจากเปิดตัวซิงเกิ้ลเดบิวไปไม่นานทั้งคู่ก็ปล่อย The Rookie ตามมาเป็นเพลงที่สอง แต่ก็ยังถือว่าไม่ได้มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าที่ควรยังคงเป็นเพลงอิเล็กทรอนิกส์ทั่ว ๆ ไปที่ไม่ได้ติดหูมากนัก จนกระทั้งซิงเกิ้ลที่สามที่เรียกได้ว่าจุดประกายส่องแสงสปอร์ตไลท์มาให้กับพวกเขานั่นคือ #Selfie เพลงที่เกิดจากไอเดียที่เอาคำฮิตอย่าง Selfie มาเล่น ได้อย่างถูกที่ถูกเวลา
#Selfie กลายเป็นเพลงฮิตที่เริ่มมีคนพูดถึงในวงกว้างถึงขนาด Dim Mak Records ต้องรีบคว้าพวกเขาไปเซ็นสัญญา และค่ายได้นำเพลง #Selfie มาอัดบันทึกเสียงทำมิวสิควิดีโออย่างเอาจริงเอาจัง และปล่อยอย่างเป็นทางการ ในช่วงเวลาที่พวกเขาออกเพลง Selfie มา The Chaismonkers ก็มีโอกาสเดินทางมาประเทศไทยที่ร้าน ONXY แต่น่าเสียดายเพราะดันไปจัดตรงวันเดียวกับ Yellow Claw (ซึ่งในขณะนั้นได้รับความนิยมมากกว่า) ทำให้คนบางตาอย่างมากสำหรับการมาไทยของ The Chainsmonkers ในครั้งแรก
พวกเขาไม่ได้หลงระเริงไปกับความดังแค่เพียงเล็กน้อย ทั้งคู่ต่างทำงานอย่างหนัก และบวกกับความโชคดีที่ได้รับการหนุนหลังจากเพื่อนดีเจระดับบิ๊กหลายคน ทำให้มีการผลักดันให้ The Chainsmonkers ย้ายค่ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ที่ใหญ่ขึ้นภายใต้ชายคา Sony Music Entertainment ที่ชื่อว่า Disruptor พร้อมการจัดวางให้พวกเขาเตรียมมีอัลบั้มของตัวเองเป็นครั้งแรก
และแล้วอัลบั้ม EP ของพวกเขาก็เกิดขึ้นนั่นคือ Bouquet และ Collage ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกันระหว่างปี 2015-2016 ที่มีเพลงฮิตติดหูอย่าง Roses , Inside Out และ Don’t Let me Down ซึ่งในเพลงหลังก็มีประเด็นดราม่านิดหนึ่ง เพราะแต่เดิม The Chainsmonkers ต้องการที่จะให้ Rihanna เป็นผู้ขับร้องเพลงนี้ แต่เธอดันปฎิเสธ ทำให้ทั้งคู่ต้องไปคว้านักร้องโนเนมอย่าง Daya มาร้องแทน ซึ่งเพลงนี้ก็ประสบความสำเร็จพอสมควร จน Alex Pall แอบแขวะ Rihanna ว่า “พวกศิลปินหน้าใหม่ที่ยังไม่มีชื่อเสียงจะมีความหิวกระหายบางอย่าง พวกเขาจะพยายามอย่างหนักมาก ๆ เพื่อให้ตัวเองดัง”
กราฟชีวิตของทั้งคู่พุ่งพรวดอย่างรวดเร็ว เพราะได้ไปร่วมเล่นในงานเฟสติวัลระดับโลกอย่าง Ultra Music Festival ที่ Miami และอีกมากมาย หลังจากความโด่งดังที่มากขึ้นทำให้พวกเขาโดนดึงตัวไปอยู่ค่ายใหม่อีกครั้งภายใต้สังกัด Columbia Records แต่ถ้าหากจะพูดถึงเพลงที่เปลี่ยนชีวิตของทั้งคู่ต้องยกให้กับเพลง Closer ที่นอกจากเมโลดี้ที่ฟังง่ายติดหูกว่าเพลงเต้นรำทั่วไปแล้ว เพลงนี้ยังสามารถครองสถิติอันดับหนึ่งบนชาร์ตได้ยาวนานที่สุดถึง 12 สัปดาห์ และทั้งคู่ก็มีโอกาสได้ไปร่วมเล่นใน MTV Video Music Awards
การแสดงสดในครั้งนี้เหมือนจะเป็นความพังพินาศสำหรับ The Chainsmokers เพราะมีแต่เสียงวิจารณ์ในเชิงลบเมื่อตัวของ Andrew Taggart ลงมาร่วมร้องสดเอง และเสียงที่ออกมานั่นจัดได้ว่าแย่พอสมควร แต่ในความล้มเหลวก็เต็มไปด้วยความกล้าหาญที่อยากออกจากกรอบเดิม ๆ เพราะการแสดงนี้ของพวกเขาแตกต่างจากดีเจคนอื่น ๆ ที่มักจะใช้เสียงแบล็คกิ้งแทร็คแทนการร้อง หรือแสดงสดเอง
ทั้งคู่ไม่ได้รู้สึกแย่กับเสียงวิพากษ์วิจารณ์เลย เนื่องจากพวกเขาต้องการความแตกต่าง และอยากจะมีโชว์เป็นของตัวเองที่ไม่ใช่เป็นดีเจมาเปิดเสียงเสร็จแล้วก็กลับ ดังเช่นคำสัมภาษณ์ “พวกเราเป็นได้มากกว่าดีเจนะ เราไปดูคอนเสิร์ตของ Beyonce และเรารู้สึกอยากทำโชว์ Live ให้ได้แบบนี้บ้าง ที่ใคร ๆ ก็พูดถึง ใคร ๆ ก็ซูฮก เช่นเดียวกับคอนเสิร์ตของ Kanye West พวกเราอยากได้องค์ประกอบบางอย่างที่มีคอนเสิร์ตของเขา ” ทำให้พวกเขายังคงก้มหน้าก้มตาทำเพลงกันต่อไป เพื่อจะมีคอนเสิร์ตที่ว่านั่นเสียที
กระทั้งเมื่อต้นปีที่ผ่านมาพวกเขาได้ปล่อยซิงเกิ้ลใหม่อย่าง Paris ที่ตัวของ Andrew Taggart ยังคงร้องเองเพื่อสยบคำต่อว่า และยังคงมุ่งหน้าพิสูจน์มันด้วยผลงาน เชื่อหรือไม่ว่าเพลง Paris สามารถก้าวขึ้นมาครองอันดับ 1 ของทุกชาร์ตทั่วโลก โดยมียอดคนสตรีมมิ่งใน Spotify มากกว่า 470 ล้านครั้ง ทำให้พวกเขาค่อนข้างมั่นใจว่าพร้อมจะมีอัลบั้มเป็นของตัวเองเสียที กระทั่งเดือนเมษายนที่ผ่านมา พวกเขาปล่อยอัลบั้ม Memories….Do not Open พร้อมประกาศเดินสายทัวร์ทั่วโลก
การกระทำในครั้งนี้ถือว่าเป็นเรื่องหาญกล้ามากสำหรับดีเจในเชิงอิเล็กทรอนิกส์ เนื่องจากศิลปินในด้านนี้ส่วนใหญ่มักจะเน้นเดินทางไปร่วมงานเฟสติวัลตามประเทศต่าง ๆ มากกว่าเปิดคอนเสิร์ต ขนาด Zedd เองที่การันตีผลงานการโปรดิวส์เพลงยังล้มเหลวในการทัวร์คอนเสิร์ตเช่นนี้ แต่ The Chainsmonkers เลือกที่จะเดินก้าวข้ามความเป็นดีเจ มาเป็นศิลปินอย่างแท้จริง
The Chainsmonkers เป็นเหมือนปรากฎการณ์ทางดนตรีที่ร้อนแรงที่สุดไม่ว่าพวกเขาจะออกเพลงอะไรมาก็ดูจะถูกจริตคนฟังทั้งขาประจำ และขาจรเป็นอย่างมาก อย่างล่าสุดสำหรับเพลง Somethings Just like this ที่ได้ Chris Martin นักร้องนำวง Coldplay มาร่วมขับร้อง ก็การสร้างสถิติด้วยการมีเพลงของตัวเองอยู่ในชาร์ต 10 อันดับแรกพร้อมกันถึง 3 เพลงซึ่งเทียบเท่ากับที่ The Beatle และ Bee Gees วงดนตรีระดับตำนานเคยทำได้ในอดีต
เรื่องของ The Chainsmonkers ที่นำมาฝากในวันนี้ เราก็ไม่รู้ว่าชื่อเสียงเหล่านี้จะอยู่กับพวกเขาไปอีกยาวนานไหม เพราะอย่างที่รู้ว่าโลกสมัยนี้นั้นเปิดกว้างเกิดเร็วก็ดับเร็วเช่นกัน แต่ถ้าทั้งคู่ยังมุ่งมั่นตั้งใจทำงานเดินทางที่รักเช่นนี้ ยังไงซะโลกก็มีพื้นที่สำหรับความพยายามเสมออยู่ โดยเฉพาะพวกเขาที่ฮิตติดลมบนไปแล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสานต่อความสำเร็จอีกให้ยังคงอยู่อย่างต่อเนื่อง
สำหรับชาว UNLOCKMEN คนไหนที่เป็นแฟนเพลง หรืออยากจะสัมผัสประสบการณ์คอนเสิร์ตอิเล็กทรอนิกส์ที่แตกต่าง ก็เตรียมตัวให้ดี เพราะ The Chainsmonkers กำลังจะมาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านเรา 15 กันยายน นี้ ณ Impact Arena เมืองทองธานี ซึ่งรอบนี้รับประกันว่าคนจะไม่โหรงเหรงอย่างการมาเยือนไทยเมื่อครั้งก่อนอย่างแน่นอน
ที่มา Chainsmonker.com , Billboard , NME , Wikipedia