DESIGN
OMEGA SEAMASTER DIVER 300M ย้อนรอยเส้นทางสู่ตำนานเรือนเวลาแห่งท้องทะเล
By: NTman November 7, 2018 126224
ถ้าหากมีโอกาสได้ลองไปเปิดกรุสมบัติของเหล่านักสะสมนาฬิกา แน่นอนว่าจะต้องมีชื่อ OMEGA รวมอยู่ในคอลเลคชันเรือนเวลาสุดรักเป็นแน่แท้ ด้วยคุณภาพและเรื่องราวที่ถูกบันทึกไว้ในหน้าประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 170 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งแบรนด์ขึ้นมาที่เมือง La Chaux-de-Fonds ประเทศ Switzerland เมื่อปี 1848 โดยตลอดระยะเวลาเกือบ 2 ศตวรรษ OMEGA ได้สร้างสรรค์นาฬิการะดับตำนานออกมามากมาย และ OMEGA Seamaster Diver 300m ก็เป็นหนึ่งในตำนานแห่งเรือนเวลาจาก OMEGA ที่เหล่าคนรักนาฬิกาทั้งหลายต่างหลงใหล
ย้อนไปตั้งแต่จุดเริ่มต้นเมื่อครั้งที่นาฬิกา Seamaster Professional Diver 300m ปรากฏโฉมขึ้นมาเป็นครั้งแรกในโลกเมื่อปี 1993 เครื่องบอกเวลาชิ้นนี้ก็ประสบความสำเร็จในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน จากความหลงใหลที่มีต่อการออกแบบตัวเรือน รวมถึงกลไกประสิทธิภาพสูง ผ่านระยะเวลาเพียงไม่นาน เรือนเวลาก็ได้ไปอยู่บนข้อมือของเหล่านักดำน้ำ นักกีฬา นักวิจัย ไม่เว้นแม้แต่ในภาพยนตร์สายลับชื่อดัง และในวันนี้เราจะพาชาว UNLOCKMEN ทุกคนไปย้อนสัมผัสเหตุการณ์ที่เป็นหมุดไมล์สำคัญของช่วงเวลา 25 ปี การเดินทางก้าวแรกสู่ตำนานของ OMEGA Seamaster Diver 300M
1993: เริ่มต้นศักราชแห่งความสำเร็จในปี 1993 ด้วยการทำลายสถิติโลกด้านการดำน้ำตัวเปล่า (free dive) Roland Specker ชายชาวฝรั่งเศส ที่ดำดิ่งลงไปในทะเลสาบ Neuchatel พร้อมกับเรือนเวลา Seamaster Professional Diver 300m ที่ระดับความลึกระดับ 80 เมตร ซึ่งความสำเร็จนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การทำลายสถิติโลกของสเปกแกร์ เพราะมันยังนับเป็นชัยชนะของเรือนเวลาจาก OMEGA บนข้อมือเขาที่ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพการกันน้ำภายใต้ความโหดของสภาวะความลึกจริง
1994: หลังจากถือกำเนิดมาได้เพียง 1 ปี ในปี 1994 นาฬิกา OMRGA Seamaster Diver 300m Chronograph ก็ได้ฉายแววตำนานอีกครั้ง ด้วยการรับตำแหน่ง “Watch of the Year” จากคะแนนเสียงของบรรดาผู้อ่านของ Armbanduhren นิตยสารนาฬิกาเยอรมัน ซึ่งนับเป็นเรือนเวลาแบบแรกของปีที่ได้รับรางวัล “Watch of the Year” ถ้าจะเรียกว่านี่คือการส่งสัญญาณถึงอนาคตอันรุ่งโรจน์ของเครื่องบอกเวลาคอลเลคชันใหม่ล่าสุดจาก OMEGA ก็คงไม่ผิดนัก
1995: นี่เป็นปีที่ Diver 300m ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเดินเรือใบ เมื่อเรือนเวลาแห่งผืนน้ำ และเกลียวคลื่นได้ปรากฏอยู่บนข้อมือของลูกเรือทีมนิวซีแลนด์หลายรายที่คว้าชัยชนะอันตราตรึงได้ในรายการ America’s Cup และหัวหน้าทีมนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นใดนอกจาก Sir Peter Blake ชายผู้เป็นตำนาน
1995: จากวันที่ James Bond ได้สวมใส่ Seamaster Diver 300m เป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ GoldenEye ซึ่งออกฉายทั่วโลกในปี 1995 หลังจากนั้นตัวตนของทั้งพยัคฆ์ร้าย 007 รวมถึงนาฬิกาที่เขาสวมใส่ก็ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างไม่อาจแยกได้ และยังส่งให้ยอดขายของ Diver 300M นั้นพุ่งทะยานเป็นประวัติกาล นอกจากนี้ยังได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพาร์ทเนอร์ชิประหว่าง OMEGA และแฟรนไชส์หนัง James Bond ที่ร่วมงานกันมาอย่างเหนียวแน่นยาวนาน
1997: เรือนเวลา Seamaster Diver 300m ได้แสดงให้ทุกคนได้เห็นว่า ชื่อเสียงอันขจรขจายนั้นไม่ได้ถูกหยุดอยู่แค่เพียงเรือนเวลาที่เหมาะสำหรับการดำน้ำ หลังจากที่มันได้อยู่ในฐานะตัวเลือกของนาฬิกาที่บรรดานักกีฬาสากลชื่อดังชื่นชอบ ซึ่งรวมไปถึงนักว่ายน้ำอย่าง Alexander Popov และแชมป์เทนนิสอย่าง Martina Hingis
2000: ตำนานอย่าง Sir Peter Blake ได้ก่อตั้งมูลนิธิ Blakexpeditions ด้วยเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ ที่ต้องการอุทิศให้กับการศึกษาวิจัยระบบนิเวศและปัญหาทางทะเลทั่วโลก และบนเรือของมูลนิธิ Blakexpeditions บรรดาลูกเรือเองก็ได้มอบความไว้วางใจไว้กับเรือนเวลา OMEGA Seamaster Diver 300m ในการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในภารกิจทางวิทยาศาสตร์อันทรงคุณค่า
2006: แม้จะมีการเปลี่ยนผู้รับบท James Bond แต่ทว่านาฬิกาเรือนนี้ยังคงรักษาอัตลักษณ์เอาไว้ไม่แปรเปลี่ยน เมื่อ Daniel Craig สายลับ 007 คนใหม่ ได้สวมใส่เรือนเวลา Seamaster Diver 300m เข้าฉากเป็นครั้งแรกในภาพยนตร์ Casino Royale ก็ยังคงประกายความเท่ ในแบบฉบับของพยัคฆ์ร้าย 007 เอาไว้ได้อย่างเข้มข้น และด้วยเสน่ห์ที่อัดแน่นอยู่ทุกกระเบียดนิ้วแม้แต่จะอยู่ในชุดทักซิโด้ที่ชุ่มโชกภายใต้บทบาทของ Bond รวมไปถึงตัวตนจริงของ Daniel Craig ที่เป็นสุภาพบุรุษอังกฤษ ซึ่งมีเป็นมิตร และมีความมุ่งมั่นในการทำเพื่อส่วนรวม จึงไม่แปลกที่บทบาทล่าสุดที่เขาได้รับคือการเป็น Brand Ambassador ของเรือนเวลาระดับตำนานอย่าง OMEGA Seamaster Diver 300m
จากเรื่องราวนับตั้งแต่ปี 1993 เป็นต้นมา Seamaster Professional Diver 300m ได้โลดแล่นเคลื่อนไหวบนเส้นทางแห่งตำนาน ที่เป็นผลลัพธ์จากความชื่นชอบของเหล่าคนรักนาฬิกาที่หลงใหลในงานออกแบบและเทคโนโลยีแห่งท้องทะเล จนทำให้ Seamaster รุ่นดั้งเดิมเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะของ OMEGA ในการคืนสู่บัลลังก์ของวงการนาฬิกาดำน้ำ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นพันธมิตรอันยาวนานของแบรนด์กับ James Bond จวบจนถึงตอนนี้ ในโอกาสครบรอบ 25 ปี ในที่สุดก็ถึงเวลาของคอลเลคชันใหม่ที่จะมาช่วยตอกย้ำความเป็นตำนานของ Seamaster อีกครั้งในปีนี้
เนื่องในวาระครบรอบ 25 ปีทั้งที OMEGA จึงจัดเต็มด้วยคอลเลคชัน OMEGA Seamaster Diver 300m ใหม่ ทั้งหมด 14 รุ่น แบ่งเป็นแบบตัวเรือนสแตนเลส สตีล 6 รุ่น และแบบตัวเรือนสองกษัตริย์ที่ผสมผสานสแตนเลส สตีลเข้ากับทองคำเอาไว้ จำนวน 8 รุ่น โดยทั้งหมดจะมีขนาดเดียวกันอยู่ที่ 42 มิลลิเมตร พร้อมขับเคลื่อนด้วยกลไก Master Chronometer Calibre 8800 ที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งในด้านความแม่นยำ ประสิทธิภาพการทำงาน และความต้านทานสนามแม่เหล็ก
และในโอกาสพิเศษแบบนี้ ทุกรายละเอียดด้านการดีไซน์ตัวเรือนจึงถูกออกแบบขึ้นมาใหม่หมดแต่ก็ยังไม่ทิ้งความเป็นตัวตนออกไป โดยมีขอบตัวเรือนดำน้ำอันเป็นเอกลักษณ์ของรุ่นปัจจุบันที่ถูกผลิตขึ้นจากเซรามิก และมาพร้อมสเกลดำน้ำ Ceragold™ หรือสีขาวลงยาแบบอีนาเมล ซึ่งให้สีขาวบริสุทธิ์และความติดแน่นคงทนทุกรูปแบบการใช้งาน ส่วนพื้นหน้าปัดนั้นผลิตขึ้นจากวัสดุเซรามิกขัดเงาซึ่งมีให้เลือกทั้งสีดำ สีน้ำเงิน หรือสีโครเมียมเคลือบ PVD พร้อมจุดเด่นที่แฟน ๆ Seamaster Diver 300M จะต้องถูกใจ เพราะ OMEGA ได้นำลวดลายคลื่น ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงจากงานออกแบบดั้งเดิม ให้กลับมาอยู่บนหน้าปัดของคอลเลคชันล่าสุดนี้อีกครั้ง
นอกจากนี้ยังมีการอัพเกรดเครื่องหมายแสดงเวลาทั้งหมดให้ตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ด้วยสารเรืองแสงซุปเปอร์ลูมิโนว่า (Super-LumiNova) รวมถึงย้ายหน้าต่างแสดงวันที่มาอยู่ที่ตำแหน่ง 6 นาฬิกา เพื่อความสะดวกในการอ่านค่า ส่วนเข็มบอกเวลาสเกเลตัน ก็ได้รับการปรับเปลี่ยนรูปทรงอย่างประณีต ซึ่งทาง OMEGA มั่นใจว่างานดีไซน์ที่ใหม่ ๆ จะทำให้สาวกทั้งหลายตื่นเต้น และประทับใจในความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างแน่นอน
ขาดไม่ได้กับรายละเอียดที่สำคัญในความเป็นนาฬิกาดำน้ำของ Seamaster Diver 300m นั่นคือวาล์วปล่อยก๊าซฮีเลียม ซึ่งในรุ่นใหม่นี้ตัววาล์วจะอยู่ในรูปทรงกรวย ที่ได้รับการจดสิทธิบัตรรับรองการคิดค้นโดย OMEGA ในฐานะของเทคโนโลยีที่ทำให้สามารถสวมใส่นาฬิกาเรือนนี้ทำภารกิจใต้น้ำได้ด้วยประสิทธิภาพการกันน้ำสูงสุด พร้อมอีกหนึ่งความงามดึงดูดสายตากับฝาหลังคริสตัลแซฟไฟร์ขอบลวดลายคลื่น เผยให้เห็นกลไกการทำงานที่ผ่านการทดสอบอย่างเข้มงวดทั้ง 8 ข้อของมาตรฐาน Master Chronometer จนได้การรับรองจาก METAS รวมไปถึงการทดสอบภายใต้สนามแม่เหล็กระดับ 15,000 เกาส์
และนอกจากการเปิดตัวคอลเลคชันใหม่ ในโอกาสที่ตำนานเรือนเวลาแห่งมหาสมุทรมีอายุครบรอบ 25 ปี ความพิเศษจึงไม่จบลงเพียงแค่นี้ เพราะเหล่าสาวกทั้งหลายกำลังจะมีโอกาสได้ไปสัมผัสเรื่องราวความเป็นมาป
ส่วนใครที่อยากจั