World

THE PROFILES: ‘RICHARD RAMIREZ’ ฆาตกรอำมหิตผู้หลงใหลลัทธิบูชาซาตาน

By: TOIISAN June 7, 2021

ช่วงหลังมานี้ ชื่อของ ริชาร์ด รามิเรซ (Richard Ramirez) ชายชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน เริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากเคยกลายเป็นชื่อที่ชาวอเมริกันในยุค 80’s ส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยิน หรือได้เห็นผ่านตาสักครั้ง จากข่าวสะเทือนขวัญในเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเรื่องราวที่เคยได้ยินได้เห็น อาจเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความโหดร้ายเมื่อเทียบกับชีวิตทั้งหมดของเขาที่เรากำลังจะเล่าให้ฟัง ก็เป็นได้

ก่อนจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลื่องลือถึงความบ้าคลั่ง ริชาร์ด มีพื้นเพมาจากเมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัส เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน พ่อของริชาร์ดเคยเป็นตำรวจ แต่ต้องออกจากราชการเพราะถูกคนในชุมชนร้องเรียนถึงการทำเกินกว่าเหตุและมีท่าทีรุนแรง

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ริชาร์ดถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมบ้าหมู ส่งผลให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งกองหลังทีมฟุตบอลโรงเรียน เด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งความฝัน ไม่มีเพื่อน ไม่สนใจการเรียน เริ่มติดยาเสพติด ดมกาว สูบกัญชา วัน ๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่กับญาติห่าง ๆ นามว่า ‘ไมค์’ ชายที่ปลูกฝังสัญชาตญาณดิบให้กับริชาร์ด

ไมค์ เคยเป็นทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปรบในเวียดนาม เขาชอบเล่าประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับการข่มขืน ทารุณ และสังหารหญิงชาวเวียดนามให้ริชาร์ดฟัง บางครั้งก็หยิบรูปถ่ายเหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกายมาให้ดู บรรยายขั้นตอนการใช้มีดกรีดเฉือนเนื้อเหยื่อให้ตายทั้งเป็น ซึ่งเด็กหนุ่มกลับชื่นชอบเรื่องราวเหนือจินตนาการเหล่านี้เป็นอย่างมาก

ริชาร์ดไม่สนิทสนมกับพี่น้องแท้ ๆ ของตัวเอง เขามองไมค์เป็นเหมือนพี่ชายผู้เป็นแบบอย่าง ทว่าวันหนึ่งไมค์ถูกตำรวจจับ เนื่องจากใช้ปืนพกยิงหน้าผากภรรยาเสียชีวิตคาที่ ซึ่งริชาร์ดก็อยู่ในเหตุการณ์ฆาตกรรมครั้งนี้ การได้เห็นฉากสยดสยองคาตานี่เอง ก็เป็นหนึ่งแรงกระตุ้นให้จิตใจของเด็กหนุ่มเติบโตไปเป็นฆาตกรต่อเนื่องสุดโหดเหี้ยม และนิยมความรุนแรงเหนืออื่นใดเสียแล้ว

ศาลตัดสินโทษแก่ไมค์ ระบุว่าชายคนนี้มีความผิดปกติทางจิต ก่อนส่งตัวไปอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวช เมื่อพี่ชายที่นับถือไม่สามารถอยู่ให้คำแนะนำได้อีกต่อไป ทุกครั้งที่ริชาร์ดมีปากเสียงกับพ่อ เด็กหนุ่มมักหนีออกไปนอนอยู่แถวสุสานที่ไร้ผู้คน เริ่มลักเล็กขโมยน้อย และติดยาเสพติดรุนแรงหนักยิ่งกว่าเดิม

เมื่ออายุได้ 18 ปี เขาตัดสินใจย้ายออกจากเท็กซัส ไปลงหลักปักฐานที่เมืองลอสแอนเจลิส รัฐแคลิฟอร์เนีย และสร้างรายได้มากพอดูจากการขายกัญชา ก่อนจะตัดสินใจทำผิดใหญ่ครั้งแรกที่ไม่สมควรให้อภัย นั่นคือการข่มขืนเด็กหญิงวัยแค่เพียง 9 ขวบ ในปี 1978


การก่อเหตุซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เมื่อย้ายมาอยู่แคลิฟอร์เนีย ว่ากันว่าริชาร์ดเกิดความสนใจเด็กสาวแถวที่พักวัย 9 ขวบ มักตามดูชีวิตของเด็กสาวอยู่ช่วงหนึ่ง ตกกลางคืนที่เป็นวันก่อเหตุ ริชาร์ดสะกดรอยตามเด็กสาว ลักพาตัว ทำร้ายร่างกายอย่างสาหัสก่อนลงมือข่มขืน เมื่อเสร็จภารกิจจึงหยิบมีดมาแทงลำตัวเหยื่อจนถึงแก่ความตายอย่างเลือดเย็น

เขานำร่างไร้วิญญาณไปซุกไว้แถวท่อระบายน้ำตรงชั้นใต้ดินของโรงแรมแห่งหนึ่ง ก่อนแสร้งทำตัวเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง ปะปนกับผู้คนในเมืองอย่างแนบเนียน อย่างไรก็ตาม คดีนี้ยังเป็นเพียงการสันนิษฐานเท่านั้น (คดีนี้ถูกนำกลับมาสอบสวนใหม่ในปี 2009 จากการตรวจสอบดีเอ็นเอพบว่า ริชาร์ดอยู่ในที่เกิดเหตุและอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ แต่เขากลับไม่ถูกตั้งข้อหา)

หลังก่อเหตุครั้งแรกได้เกือบ 3 เดือน เขาวางแผนครั้งใหม่ โดยเหยื่อเป็นหญิงชราวัย 79 ปี เขาเริ่มจากจ้องมอง สะกดรอยตาม และก่อเหตุในเวลากลางคืน ริชาร์ดบุกเข้าไปในบ้าน ใช้มีดทำครัวแทงร่างที่ไร้ทางต่อสู้ซ้ำ ๆ จนเหยื่อแน่นิ่ง

คราวนี้เขาเว้นระยะห่างจากการสังหารนานพอดู แต่ยังก่อคดีอุกฉกรรจ์อื่น ๆ อยู่ จนกระทั่งเข้าสู่เดือนมีนาคม 1985 ริชาร์ดเริ่มสะกดรอยตาม มาเรีย เฮอร์นันเดซ หญิงวัย 22 ปี คอยสำรวจเส้นทางในชีวิตประจำวันของเหยื่อ

คืนหนึ่ง ระหว่างที่มาเรียไขประตูเข้าบ้าน เธอได้ยินเสียงบางอย่างด้านหลัง เมื่อหันกลับไปจึงพบกับชายรูปร่างผอมแห้ง ผมกระเซอะกระเซิง ชายคนนั้นส่งยิ้มสยดสยองให้ และเดินประชิดเข้ามาเรื่อย ๆ หญิงสาวยังไม่ทันได้ส่งเสียงกรีดร้อง ริชาร์ดยกปืนขึ้นจ่อยิงมาเรียทันที

เสียงปืนดังลั่นทำให้ โอกาซากิ รูมเมทสาวของมาเรียแอบมองหาต้นตอเสียงผ่านหน้าต่าง เธอเห็นชายผมประบ่าถือปืนยืนอยู่กับร่างเพื่อนร่วมห้องที่ล้มอยู่ตรงหน้า ขณะกำลังอยู่ในอาการตกใจ โอกาซากิสบตากับริชาร์ด เขารู้แล้วว่าเธอเห็นทุกอย่าง

โอกาซากิรีบหลบให้พ้นหน้าต่าง เฝ้าภาวนาให้คนร้ายรีบหนีไป เมื่อบรรยากาศดูท่าสงบลงเพราะมีแต่ความเงียบ เธอกลับมาตรงหน้าต่างอีกครั้ง ก่อนจะมีเสียงปืนดังขึ้นหนึ่งนัด ตามด้วยเสียงกระจกแตก ร่างไร้วิญญาณของโอกาซากิร่วงลงสู่พื้น ริชาร์ดได้ลั่นไกปิดปากพยานหนึ่งเดียวที่เห็นเหตุการณ์ลงเสียแล้ว

ฆาตกรเลือดเย็นเดินกลับมายังร่างของมาเรียอีกครั้ง ก่อนจะพบว่าเธอยังไม่เสียชีวิตอย่างที่เขาเข้าใจตั้งแต่แรก เนื่องจากจังหวะที่ยิงปืนใส่เธอ มาเรียชูมือที่ถือกุญแจขึ้นมาปัดป้องกระสุนให้เปลี่ยนทิศทางได้พอดิบพอดี ส่งผลให้ลูกปืนแฉลบไม่เจาะสมองเธออย่างปาฏิหาริย์ ริชาร์ดยืนนิ่งจ้องมองมาเรีย ก่อนวิ่งหนีหายไปในความมืด ไม่มีใครรู้ว่าทำไมเขาถึงไว้ชีวิตเธอ แต่คืนแห่งความบ้าคลั่งยังไม่จบลงเท่านี้

ริชาร์ดมุ่งหน้าไปเรื่อย ๆ จนพบหญิงสาวอีกราย เธอมีนามสกุลว่าเหลียน ขณะกำลังจอดรถอยู่ตรงไหล่ทางเตรียมตัวเข้าบ้าน ริชาร์ดลอบเข้าไปใกล้รถอย่างช้า ๆ ระมัดระวังทุกย่างก้าวเพื่อไม่ให้เกิดเสียงดัง ก่อนเปิดประตูรถและกระชากศีรษะเหลียนลงจากรถ เสียงกรีดร้องดังขึ้น ฆาตกรคลั่งจึงไม่รอช้าลั่นไกสังหารเหยื่อติดกันหลายนัด และหลบหนีไปในเงามืด


ตามล่าฆาตกรผู้บูชาซาตาน

เพียงชั่วคืนเดียว รัฐแคลิฟอร์เนียมีเหตุการณ์สะเทือนขวัญเกิดขึ้นถึงสองจุด จากคำให้การของผู้พบ รวมถึงคดีคนหายและคดีฆาตกรรมก่อนหน้านี้ที่มีลักษณะคล้ายกัน เจ้าหน้าที่ที่เคยคาดว่าคดีก่อนหน้าเป็นฝีมือพวกเมายาข้างถนน เริ่มหันกลับมาสืบสวนในเส้นทางที่ถูกต้อง โดยการสันนิษฐานว่าผู้ก่อเหตุสะเทือนขวัญอาจเกิดขึ้นจากฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน

ทั่วเมืองลอสแอนเจลิสออกประกาศตามจับชายคนหนึ่ง มีเพียงภาพเหมือนอธิบายถึงชายรูปร่างเล็ก ใบหน้าตอบ ตาโปนแต่เบ้าตาลึก ตัวผอมแห้ง ฟันเน่าเหม็น มีผมสีดำหยักศกรุงรัง และแม้จะถูกทั้งเมืองตามล่า หลายคนที่เดินไปมาบนถนนเริ่มสอดส่องเผื่อจะเห็นชายที่มีลักษณะตรงตามใบประกาศ แต่กลับไม่มีใครพบเจอชายต้องสงสัยเลย เหมือนกับว่าเขาจะให้คนเห็นก็ต่อเมื่อเขาต้องการจะให้เห็น

หลังก่อเหตุในคืนระทึกขวัญได้พักหนึ่ง ริชาร์ดออกล่าอีกครั้งในวันที่ 27 มีนาคม 1985 คราวนี้เหยื่อเป็นสองสามีภรรยาสูงวัย ฆาตกรริชาร์ดใช้ปืนกระบอกเดิมยิงพวกเขา ชายชราตายคาเก้าอี้ ส่วนศพของหญิงชราน่าสะอิดสะเอียนกว่า เพราะฆาตกรควักลูกตาออกจากเบ้า เอาไปใส่ไว้ในกล่องแหวน และใช้มีดพกกรีดตามเนื้อตัวจนเหวอะหวะ

เหตุการณ์ฆาตกรรมคดีแล้วคดีเล่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามตามล่าฆาตกรรายนี้อย่างมุ่งมั่น เนื่องจากเชื่อมั่นเกือบเต็มร้อยว่าฆาตกรที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญทั่วเมืองเป็นฝีมือของผู้ก่อเหตุเดียวกัน ทว่ายังไม่สามารถตามรอยได้ ด้านริชาร์ดเกิดความคึกคะนอง เขาก่อเหตุซ้ำ ๆ ไล่ฆ่าคนไปเรื่อย ๆ ศพบางรายมีสัญลักษณ์ดาวห้าฉากในวงกลม บางทีสัญลักษณ์นี้จะถูกเขียนด้วยเลือดตรงผนังห้อง แสดงให้เห็นถึงการบูชานับถือลัทธิซาตาน

การก่อเหตุหลายครั้งของเขามีพยานพบเห็นเหตุการณ์อยู่บ้าง แต่ละคำให้การล้วนอธิบายถึงรูปพรรณสัณฐานที่ตรงกับชายผมสีดำยุ่งเหยิงที่ทางการกำลังตามล่า จากข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมได้ ทำให้สื่อตั้งฉายาให้ฆาตกรต่อเนื่องรายนี้ว่า “The Night Stalker”

ริชาร์ด รามิเรซ ยังคงก่อเหตุอย่างต่อเนื่อง บางช่วงเวลาเขาย้ายไปอยู่ที่ซานฟรานซิสโก เดินทางไปมาให้สับสน และมักเลือกเหยื่อแบบสุ่ม ต้องตาใครเมื่อไหร่จะสะกดรอยตามพักหนึ่ง ก่อนหาจังหวะปิดเกม ผู้เคราะห์ร้ายมีทั้งคนแก่ แม่ที่อยู่กับลูกชาย ครอบครัวชาวอินเดีย เหยื่อส่วนใหญ่ถูกข่มขืน ใช้ปืนยิงจนตาย ปาดคอ เอาของแข็งทุบศีรษะ ถูกกรีดตามเนื้อตัว รวมแล้วมีผู้เสียชีวิตจากเงื้อมมือของเขามากกว่า 13 ราย แต่สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตามสืบหาตัวตนแท้จริงได้จากลายนิ้วมือที่อยู่บนรถที่ถูกขโมย


ฆาตกรต่อเนื่องถูกรวบตัว

วันที่ 30 สิงหาคม 1985 หกวันหลังการฆาตกรรมครั้งล่าสุด ชื่อและภาพถ่ายที่แท้จริงของริชาร์ด รามิเรซ โชว์หราอยู่ในหน้าหนังสือพิมพ์เพื่อประกาศจับและขอเบาะแสจากประชาชนแทบทุกฉบับ ทำให้ในวันถัดมา ชายคนหนึ่งก็พบกับริชาร์ดเข้า และมั่นใจว่าเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เจ้าหน้าที่กำลังพลิกแผ่นดินหา จึงรีบแจ้งเบาะแสให้ตำรวจ ริชาร์ดจึงขับรถที่ขโมยมาเพื่อหลบหนี ส่วนรถตำรวจกว่า 7 คัน และเฮลิคอปเตอร์ออกไล่ล่าเขามาติด ๆ

เมื่อริชาร์ดขับรถเข้าสู่ชุมชน เขาคิดว่ารถที่ใช้อยู่ทำความเร็วได้ไม่ดีพอ จึงจอดรถใกล้กับฟอร์ดมัสแตงสีแดงเพลิง พยายามกระชากเจ้าของให้ลงจากรถ แต่ผู้คนจำนวนมากเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว ท่ามกลางเสียงไซเรนที่ดังลั่นเมือง พลเมืองดีก็กรูเข้าล้อมริชาร์ด รุมประชาทัณฑ์ประเคนหมัด เข่า ศอก ก่อนตำรวจจะมาถึงและแยกตัวริชาร์ดออกมาได้ โดยตำรวจที่เห็นเหตุการณ์เล่าภาพความวุ่นวายตรงหน้าว่า “เหมือนคนครึ่งเมืองแอลเอกำลังตามหาเขาอยู่ พอเจอจึงเป็นอย่างที่เห็น”

ริชาร์ดถูกนำตัวขึ้นศาลเพื่อพิจารณาคดี ระหว่างฟังการไต่สวน เขามีท่าทีไม่เดือดเนื้อร้อนใจ นั่งวาดรูปดาวห้าแฉกบนฝ่ามือ โปรยยิ้มให้ทุกคนที่สบตากับเขา ชายคนนี้ไม่ได้รู้สึกอะไรกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปเลยแม้แต่น้อย

มีข้อมูลว่าหลานสาวของริชาร์ด เป็นหนึ่งในผู้ขึ้นให้การในชั้นศาล เธอเล่าถึงตอนอายุได้ 7 ขวบ เคยไปเยี่ยมริชาร์ดที่บ้าน ทว่าเขากลับไม่ทำตัวเป็นลุงที่ดี ทั้งพูดจาลวนลาม พยายามจับเนื้อจับตัว ถอดกางเกงเพื่อช่วยตัวเองให้เด็กสาวดู ก่อนข่มขู่ด้วยวาจาว่าหากเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร จะได้รับผลของการเป็นคนปากโป้ง และชักชวนให้หลานสาวเลิกนับถือศาสนาคริสต์ หันมาบูชาซาตานเหมือนกับที่ตนเชื่อ

“ผมอยากยิงเข้าที่หัว อยากใช้มีดกรีดตามเนื้อตัว อยากดูการกระเสือกกระสนดิ้นรน ดูเลือดที่ไหลไม่ขาดสาย เฝ้ามองใบหน้าที่ซีดเผือดของพวกเขา

ตอนนั้นผมบอกผู้หญิงคนหนึ่งที่กลัวสุดขีดว่าให้ส่งเงินมา ส่งของมีค่ามาให้หมด แต่เธอปฏิเสธ ผมแทงเธอ และชักมีดก่อนแทงซ้ำเข้าตรงตาทั้งสองข้าง”

ทุกครั้งที่ถูกพาตัวมาฟังคำพิจารณาคดี เขาไม่เคยแสดงออกว่ารู้สึกเสียใจกับการกระทำของตัวเอง มักยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว โพสต์หน้าเท่ให้กล้องผู้สื่อข่าว จนกระทั่งเดือนกันยายน 1989 ริชาร์ด รามิเรซ ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมทั้งหมด 13 คดี รวมถึงคดีอาชญากรรมอื่น พยายามฆ่า 5 คดี ข่มขืน 11 คดี และลักทรัพย์อีก 14 คดี

สองเดือนถัดมาผู้พิพากษาตัดสินโทษประหารชีวิต เนื่องจากการกระทำของผู้ต้องหา “เต็มไปด้วยความโหดร้าย และเลวทรามเกินกว่ามนุษย์จะเข้าใจได้”

เมื่อได้ฟังคำพิพากษา ริชาร์ดไม่มีท่าทีเสียใจ ยักไหล่ให้ผู้พิพากษาหนึ่งครั้ง ซ้ำยังยิ้มให้ผู้สื่อข่าวที่ร่วมฟังคำตัดสินอีกด้วย

ความนิยมชั้นเลวที่ได้จากเลือดและความตายของผู้อื่น

แม้จะได้รับโทษประหาร แต่ริชาร์ดกลับอยู่ในคุกนานหลายปี เนื่องจากระบบการประหารชีวิตในรัฐแคลิฟอร์เนียเต็มไปด้วยความล่าช้า เขาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในคุก เขียนจดหมายโต้ตอบตอบกับสาว ๆ นอกเรือนจำที่คลั่งไคล้เขา มีผู้หญิงบางคนเชื่ออย่างสนิทใจว่าริชาร์ดเป็นทายาทของซาตาน บ้างก็คิดว่าเขาเป็นผู้บริสุทธ์ที่ถูกใส่ร้ายป้ายสี หลายคนหลงใหลภาพลักษณ์ไม่สนโลกของเขาในชั้นศาล

นักโทษร้ายแรงรายนี้ยังได้รับอนุญาตให้แต่งงานกับบรรณาธิการอิสระคนหนึ่งในปี 1996 ซึ่งเธอได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CNN ในช่วงปี 1997 ว่า “ริชาร์ดเป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขัน เขามีเสน่ห์มาก”

วันเวลาผ่านไปในเรือนจำ จนกระทั่งแพทย์แจ้งแก่ริชาร์ดว่าเขาป่วยด้วยโรคมะเร็ง รอวันแล้ววันเล่า คิวการประหารชีวิตก็ยังมาไม่ถึง สุดท้ายริชาร์ดเสียชีวิตด้วยโรคร้ายในปี 2013 ด้วยวัย 53 ปี จากไปพร้อมกับเสียงก่นด่าของประชาชน

ครอบครัวของเหยื่อที่ถูกริชาร์ดฆาตกรรมมองว่า โทษและความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นกับฆาตกรรายนี้ในคุกยังไม่สาสมแก่ความรุนแรงที่ตัวมันก่อขึ้นเลยแม้แต่น้อย ใช้ชีวิตปกติติดคุก ยังคงได้หายใจ และตายด้วยโรคภัยทางธรรมชาติ ไม่เหมือนกับเหยื่อจำนวนมากที่เขาปลิดชีวิตแบบทรมาน และถูกกระทำชำเราอย่างน่าเวทนา

เรื่องราวของเขาที่ถูกเล่าซ้ำนับครั้งไม่ถ้วน รวมถึงสารคดีของ Netflix ชื่อว่า Night Stalker: The Hunt for a Serial Killer เล่าเรื่องราวการเป็นเจ้าภาพการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกประจำปี 1984 ของรัฐแคลิฟอร์เนีย แม้ในพื้นที่ที่เจริญแล้วและเติมไปด้วยแสงสี เต็มไปด้วยความเย้ายวนและภาพลักษณ์ที่ทันสมัย แต่หลายพื้นที่ของนครแห่งแสงกลับซ่อนมุมมืดที่สุดเอาไว้ และถือเป็นอีกหนึ่งรัฐของสหรัฐอเมริกาที่เกิดอาชญากรรมน่าสยดสยองบ่อยครั้ง

“Death always went with the territory, see you in Disneyland” – Richard Ramirez


 

Source : 1 / 2 / 3 / 4

Source Photo :  1 / 2 / 3

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line