ช่วงหลังมานี้ ชื่อของ ริชาร์ด รามิเรซ (Richard Ramirez) ชายชาวอเมริกันเชื้อสายเม็กซิกัน เริ่มกลับมาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง หลังจากเคยกลายเป็นชื่อที่ชาวอเมริกันในยุค 80’s ส่วนใหญ่จะต้องเคยได้ยิน หรือได้เห็นผ่านตาสักครั้ง จากข่าวสะเทือนขวัญในเมืองลอสแอนเจลิส ซึ่งเรื่องราวที่เคยได้ยินได้เห็น อาจเป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของความโหดร้ายเมื่อเทียบกับชีวิตทั้งหมดของเขาที่เรากำลังจะเล่าให้ฟัง ก็เป็นได้ ก่อนจะกลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่เลื่องลือถึงความบ้าคลั่ง ริชาร์ด มีพื้นเพมาจากเมืองเอลปาโซ รัฐเท็กซัส เติบโตมาในครอบครัวฐานะปานกลาง มีพี่น้องทั้งหมด 5 คน พ่อของริชาร์ดเคยเป็นตำรวจ แต่ต้องออกจากราชการเพราะถูกคนในชุมชนร้องเรียนถึงการทำเกินกว่าเหตุและมีท่าทีรุนแรง ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ริชาร์ดถูกแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นโรคลมบ้าหมู ส่งผลให้เขาถูกปลดจากตำแหน่งกองหลังทีมฟุตบอลโรงเรียน เด็กหนุ่มที่ไร้ซึ่งความฝัน ไม่มีเพื่อน ไม่สนใจการเรียน เริ่มติดยาเสพติด ดมกาว สูบกัญชา วัน ๆ เอาแต่เก็บตัวอยู่กับญาติห่าง ๆ นามว่า ‘ไมค์’ ชายที่ปลูกฝังสัญชาตญาณดิบให้กับริชาร์ด ไมค์ เคยเป็นทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปรบในเวียดนาม เขาชอบเล่าประสบการณ์ชีวิตเกี่ยวกับการข่มขืน ทารุณ และสังหารหญิงชาวเวียดนามให้ริชาร์ดฟัง บางครั้งก็หยิบรูปถ่ายเหยื่อที่ถูกทำร้ายร่างกายมาให้ดู บรรยายขั้นตอนการใช้มีดกรีดเฉือนเนื้อเหยื่อให้ตายทั้งเป็น ซึ่งเด็กหนุ่มกลับชื่นชอบเรื่องราวเหนือจินตนาการเหล่านี้เป็นอย่างมาก ริชาร์ดไม่สนิทสนมกับพี่น้องแท้ ๆ ของตัวเอง เขามองไมค์เป็นเหมือนพี่ชายผู้เป็นแบบอย่าง ทว่าวันหนึ่งไมค์ถูกตำรวจจับ
คอลัมน์ The Profiles เดือนนี้ เราขอพาทุกคนไปทำความรู้จักเรื่องราวของสตรีมากฝีมือเจ้าของตำแหน่งกราฟิกดีไซน์เนอร์คนแรกของ Apple ผู้พลิกโฉมวงการอินเตอร์เฟซคอมพิวเตอร์ในยุคกำลังตั้งไข่ ถ้าพูดถึงแบรนด์อย่าง Apple หลายคนคงจะนึกถึง Steve Jobs ศาสดา CEO ผู้ล่วงลับ หรือถ้าเป็นสาย Product Design ก็ต้อง Jony Ive ผู้ออกแบบ Mac มาแล้วหลายต่อหลายรุ่น แต่หนึ่งในฟันเฟืองคนสำคัญที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่ กับ Steve Jobs ปลุกปั้นเครื่อง Macintosh เครื่องแรกของโลก คือหญิงสาวที่ชื่อว่า Susan Kare (ซูซาน แคร์) และผลงานที่เธอฝากไว้นั้นมีอิทธิพลต่อวงการเทคโนโลยี และกราฟิกดีไซเนอร์อย่างไรบ้าง เชิญมาร่วมหาคำตอบไปพร้อมกันได้เลย ซูซาน แคร์ จบการศึกษาวิจิตรศิลป์จาก Mount Holyoke College พร้อมทั้งปริญญาโทและปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยนิวยอร์ก เรียกได้ว่าเธอผู้นี้มีความรู้ความสามารถด้านการออกแบบไม่ใช่เล่น ๆ ประกอบกับในช่วงเวลานั้น Steve Jobs กำลังมองหาพันธมิตรที่จะสามารถฝึกอบรมซอฟต์แวร์ใหม่ ๆ เมื่อเขาได้ไปที่บริษัท Xerox ทำให้เขาต้องทึ่งกับสิ่งที่เขาได้เจอ
หนุ่ม ๆ หลายคนคงรู้จัก บรูซ ลี ในฐานะนักแสดงและนักศิลปะการต่อสู้ที่โด่งดังจากภาพยนตร์ฮอลลีวูด ผู้ทำให้ศิลปะการต่อสู้อย่างกังฟูและจีทคุนโด (Keet Kune do) เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก่อนตัวเขาจะกลายเป็นหนึ่งไอคอนของวงการภาพยนตร์และการต่อสู้ที่ผู้คนไม่เคยลืมเลือน ด้วยมุมมองภายนอกที่ผู้คนมองเห็นบรูซ ลี หลายคนคงคิดว่าชายคนนี้คงใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่กับการฝึกฝนการต่อสู้หรือคิดค้นฉากบู๊ที่สมจริง แต่อีกมุมชีวิตที่หลายคนอาจไม่เคยได้รับรู้มาก่อนก็คือ เขาเป็นหนอนหนังสือที่หลงใหลในการอ่านไม่แพ้กัน แต่อะไรคือเหตุผลที่ทำให้เขาชอบในการอ่านหนังสือ วันนี้มันทำความรู้จัก โลกอีกใบของชายที่ชื่อบรูซ ลีไปพร้อมกัน ปี 1940 เป็นปีที่เจ้าหนูน้อยบรูซ ลี หรือหลี่เสี่ยวหลงลืมตาดูโลก เขามีวัยเด็กที่ไม่แตกต่างจากคนอื่นคือรักการเล่นสนุกกับเพื่อนและวิ่งไปมาตลอดเวลา จนคนในบ้านตั้งฉายาให้ว่า “เด็กที่ไม่เคยหยุดนิ่ง” แต่ก็มีบางอย่างที่ทำให้เขาสงบลงได้นั้นก็คือหนังสือการ์ตูน (โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับกังฟู) ที่ให้เขาได้ใช้เวลาสลับกับการเรียนกังฟูซึ่งได้รับคำแนะนำจากคุณพ่อ วัยเด็กของบรูซ ลีนอกจากการเรียนหนังสือและฝึกกังฟู ในช่วงเวลาว่างตัวเขาจะใช้เวลาอยู่หนังสือหรือไม่ก็ไปที่ร้านหนังสือบ่อย ๆ โดยความฝันแรกก่อนที่จะมาเป็นนักแสดงคือการเป็นเจ้าของร้านหนังสือมือสอง อย่างไรก็ตามการอ่านชอบหนังสือไม่ได้ช่วยให้ผลการเรียนของเขาดีขึ้น พร้อมกันนั้นเจ้าตัวก็เริ่มมีเรื่องชกต่อยกับเพื่อน จนในที่สุดพ่อของเขาก็ตัดสินใจส่งไปอยู่สหรัฐอเมริกาเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา บรูซ ลีในวัย 20 ต้น ๆ ย้ายมาอาศัยอยู่ในเมืองซีแอตเทิลแต่ไม่ได้มีเงินติดตัวมากนัก จึงต้องเอาตัวรอดด้วยการเปิดสอนกังฟูซึ่งปรับมาจากมวยหย่งชุน (Wing Chun) ที่มีโอกาสได้เรียนจากอาจารย์ยิปมัน ก่อนจะพัฒนามาเป็น Jeet Kune Do พร้อมกันนั้นตัวเขาก็เริ่มเข้าแข่งขันในรายการมวยกังฟูหลายรายการ
ไม่ว่ากี่ยุคกี่สมัย เรือนเวลาที่สุภาพบุรุษส่วนมากมักให้ความสนใจคงหนีไม่พ้น Rolex เพราะมันคือหนึ่งในสัญลักษณ์ความเท่ก้าวผ่านกาลเวลา เป็นตัวแทนของความภูมิฐานมีระดับ ด้วยเหตุผลหลายอย่างจึงทำให้นาฬิกาสัญชาติสวิสนามว่า Rolex กลายเป็นนาฬิกาขวัญใจของใครหลายคนอย่างไม่ยากเย็น รวมถึงชายที่ชื่อว่า Paul Altieri ด้วยเช่นกัน ชายชาวอิตาลีนามว่า Paul Altieri เป็นผู้ก่อตั้ง Bob’s Watches บริษัทขนาดใหญ่ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางการแลกเปลี่ยนนาฬิกาแบรนด์หรูทั้ง Rolex, Patek Philippe, Omega, Tudor, Panerai และ Cartier โดยการจัดประมูล สร้างเว็บไซต์ให้เหล่าคนหลงรักนาฬิกาแบรนด์นี้เข้ามาพูดคุยและตามหาเรือนเวลารุ่นที่ใช่ ถ้าเป็นการซื้อขายผ่านหน้าร้านหรือแข่งขันกันแย่งชิงในงานประมูล ผู้คนก็จะอุ่นใจว่านาฬิกาที่ได้ต้องเป็นของแท้ แต่สำหรับการซื้อขายแลกเปลี่ยนกันบนเว็บไซต์อาจสร้างความไม่มั่นใจให้กับทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย คนขายก็กลัวว่าจะไม่ได้เงินส่วนคนซื้อก็กลัวว่า Rolex ที่ตัวเองได้มาจะเป็นของปลอม Paul ผู้รักนาฬิกาตระหนักถึงเรื่องนี้เป็นอย่างดีเพราะเขาก็หลงใหลนาฬิกาแบรนด์นี้ไม่น้อยกว่าใคร การสร้างเว็บไซต์ของเขาดำเนินไปอย่างรัดกุม Paul ทีมงานของเขานำนาฬิกาที่จะวางจำหน่ายบนเว็บไซต์มาตรวจสอบอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าเรือนเวลาเป็นของแท้และอยู่ในสภาพดีเยี่ยม Paul พูดเสมอว่านาฬิกา Rolex GMT Black & Blue ที่ผู้คนเรียกกันว่ารุ่นแบทแมน ได้รับความนิยมในหมู่นักสะสม Rolex มาโดยตลอด ตัวเขาเองก็ชอบสวมใส่นาฬิกาข้อมือรุ่นนี้อยู่บ่อย ๆ พร้อมมอบความรู้เท่าที่ตัวเองมีเกี่ยวกับ Rolex
เวลานี้คงไม่มีผู้กำกับคนใดมีคนพูดถึงมากไปกว่า Bong Joonho (บง จุนโฮ) ผู้กำกับชาวเกาหลีใต้ที่พาภาพยนตร์ Parasite (2019) กวาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, บทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม, ภาพยนตร์นานาชาติยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยมจากงานประกาศผลรางวัลออสการ์ ครั้งที่ 92 ไปครองอย่างน่าภูมิใจ โดยถือเป็นผู้กำกับคนที่ 2 ของเอเชียและเป็นผู้กำกับคนแรกของเกาหลีใต้ที่คว้ารางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยม ภาพยนตร์ Parasite (2019) เล่าเรื่องราวของชนชั้นได้อย่างเจ็บแสบ ตลกร้าย และเสียดสีสังคมจนใครที่ดูแล้วต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “หนังแม่งโคตรเจ๋ง!” แถมยังสร้างปรากฏการณ์ครั้งใหญ่ให้วงการภาพยนตร์เมื่อ Parasite และชื่อของ Bong Joonho ถูกสลักไว้บนถ้วยรางวัลน้อยใหญ่จากหลายเวทีก่อนหน้านี้ ความสำเร็จทางด้านรายได้และคำชมเชยท่วมท้นส่งผลให้ใคร ๆ ต่างใคร่อยากรู้จักชีวิตกับแนวคิดของชายคนนี้มากขึ้น อยากรู้ว่าเขาสนใจอะไร มองโลกมุมไหน อะไรบ้างที่หล่อหลอมให้เขาเป็นชายมากความสามารถและมีมุมมองเฉียบคม ทำหนังออกมาได้เจ็บแสบขนาดนี้ ผลงานเก่าของนักเล่าเรื่องเสียดสีที่เติบโตในสังคมเผด็จการ ช่วงชีวิตของชายที่ชอบเล่าเรื่องราวผ่านภาพยนตร์ เริ่มต้นขึ้นเพราะหลงใหลการทำหนัง ครอบครัวของเขาก็สนใจสายวรรณกรรมและสังคมอยู่แล้ว แถมตัวของจุนโฮเองก็เข้าศึกษาในคณะสังคมวิทยาพร้อมกับสมัครเข้าชมรมภาพยนตร์ของมหาวิทยาลัย สนใจการทำหนังสั้นฟิล์ม 16 มิลลิเมตร ฝึกฝนการเขียนบทและอยู่ในตำแหน่งผู้ช่วยผู้กำกับเมื่อมีการทำหนัง ชีวิตของเขาก็ไม่ได้ต่างจากคนรักหนังคนอื่น ๆ สภาพแวดล้อมที่เติบโตมาอาจมีส่วนทำให้จุนโฮกลายเป็นนักเล่าเรื่องมีลีลาเอกลักษณ์ เขามักใช้เวลาว่างนั่งดูภาพยนตร์ฮอลลีวูด ระหว่างยุค 70-80 ประเทศเกาหลีใต้อยู่ใต้อำนาจของประเทศสหรัฐฯ
สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องมักจะเห็นเสมอว่าภูมิหลังส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เท่าไรนัก แต่สิ่งที่ต่างอาจเป็นเรื่องของความอบอุ่นในครอบครัว ชีวิตวัยเด็กของฆาตกรในสหรัฐอเมริกาส่วนมากเติบโตมาจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงในบ้าน ไม่ก็มีพ่อแม่เคร่งศาสนา อย่าง ฆาตกรตัวตลก JOHN GACY มีแม่ผู้เคร่งศาสนาที่เกลียดลูกชายตัวเองเพราะเขาตุ้งติ้งเหมือนเกย์ ส่วน EDMUND KEMPER อัจฉริยะผู้หลงใหลความตาย ก็โตมากับคำด่าทอและความรุนแรงที่รับจากพ่อมาตลอดช่วงชีวิตวัยเด็ก รวมถึง Henry Howard Holmes (เฮนรี่ โฮเวิร์ด โฮล์มส์) ชายที่โลกเรียกเขาว่า “ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของอเมริกา” โฮล์มส์ผู้หลงใหลในกายวิภาคศาสตร์ โฮล์มส์ในวัยเด็กมีชีวิตจากครอบครัวทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในรัฐนิวแฮมเชียร์ เขาสนใจเกี่ยวกับสรีระและชีววิทยามาตั้งแต่เล็ก เวลาว่างมักไล่จับสัตว์เล็กมาผ่าเพื่อดูอวัยวะภายใน บางครั้งก็จับสัตว์มาหักขาข้างหนึ่งและรอดูว่ามันจะเดินได้ไหมหรือตัดขาทิ้งแล้วจะเป็นอย่างไร เขาจึงถูกพ่อแม่เคร่งศาสนาตีด้วยไม้เรียวเสมอ บางครั้งก็ขังเขาไว้บนห้องใต้หลังคา ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาว่างไปกับการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ แต่กลับไม่มีใครสนใจลูกคนที่สามของบ้านผู้เต็มไปด้วยอัจฉริยภาพ ครอบครัวของเขามองไม่เห็นพรสวรรค์เด็กผู้ชายนี้ โฮล์มส์วัย 19 ปี แต่งงานกับภรรยาคนแรกและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน พอเข้าวัย 22 เขาตัดสินใจเขาเรียนคณะแพทย์และเฉิดฉายในชั้นเรียน จากปกติการเรียนแพทย์จะต้องใช้เวลาเรียน 6 ปี แต่โฮล์มส์กลับใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีก็เรียนจบ ทว่าชีวิตรักของเขากลับล้มเหลว เมียของเขาขอแยกกันอยู่โดยไม่ได้เซ็นใบหย่าเพราะโฮล์มส์เป็นชายที่มีอารมณ์รุนแรง ชอบใช้กำลัง เมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษา Henry Howard
สำหรับคนที่ชื่นชอบการดูภาพยนตร์คงไม่มีใครไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับหนังชื่อดังที่สร้างภาพยนตร์ สารคดี รายการโทรทัศน์มาแล้วกว่า 60 เรื่อง ใคร ๆ ก็ชื่นชมเขา ใคร ๆ ต่างก็นับถือเขา แต่ในตอนนี้เขากลับต้องเจอกับคำวิจารณ์ของสังคมครั้งใหญ่เพราะเขาบอกว่าหนังของ Marvel เป็นแค่สวนสนุก และทำให้เราต้องคิดตามว่า ‘แล้วหนังแบบไหนถึงจะเรียกว่าภาพยนตร์ที่แท้จริงได้บ้าง ?’ บางคนอาจยังสับสนว่า มาร์ติน สกอร์เซซี เป็นใคร เขามีผลงานโด่งดังอะไรบ้างที่ทำให้กลายเป็นตำนาน และทำไมมุมมองเกี่ยวกับภาพยนตร์ของเขาสามารถสร้างผลกระทบให้กับวงการภาพยนตร์ได้มากมายขนาดนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับผู้กำกับชื่อดังคนนี้ให้มากขึ้น เพราะการสร้างสรรค์ผลงานผ่านการกำกับและงานเขียนสามารถทำให้เรารู้ลึกถึงความคิดของคนคนหนึ่งได้ ความสำเร็จของ MARTIN SCORSESE ก่อนสกอร์เซซีจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนังที่มีอิทธิพลต่อวงการฮอลลีวูด เขาแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Mean Streets (1973) บอกเล่าสังคมของผู้คนและกลุ่มผู้มีอิทธิพลในโลกใต้ดินเมืองนิวยอร์กผ่านเด็กเก็บค่าคุ้มครอง แม้มีงบทำหนังจำกัดมาก ๆ แต่สกอร์เซซีทำให้ผู้คนเห็นว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหลักในการสร้างภาพยนตร์ที่ดี จากนั้นต่อด้วยเรื่อง Taxi Driver (1976) ชายผู้ผ่านสงครามเวียดนามที่เป็นโรคนอนไม่หลับเลยมาขับแท็กซี่ตอนกลางคืน แต่สุดท้ายจับพลัดจับผลูวางแผนฆ่าผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ด้วยการกำกับอันแยบคาย ดนตรีประกอบสไตล์แจ๊สที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชมเพราะเป็นผลงานสุดท้ายของ Bernard Herrmann นักดนตรีประพันธ์ดนตรีประกอบชื่อดัง
อาชีพตัวตลกคืองานสร้างเสียงหัวเราะและรอยยิ้มให้กับผู้ฟัง เด็ก ๆ ส่วนใหญ่หลงรักตัวตลกเพราะพวกเขาใจดี บางคนชื่นชอบการดูโชว์ตลกเพราะอยากเจอเรื่องสนุกที่ช่วยทำให้หัวเราะได้แม้วันที่แย่ที่สุด หรือแค่ต้องการหัวเราะเยาะใครสักคนโดยไม่โดนโกรธ รอยยิ้มสีแดงจากลิปสติกที่ซ่อนริมฝีปากกับใบหน้าที่แท้จริงไว้ กิริยาร่าเริง สดใส ละลายความหม่นหมองชั่วขณะชวนให้ผู้คนอยากทำความรู้จัก ทำให้ไม่เห็นจุดประสงค์แท้จริงที่บางครั้งอาจสวนทางกับการแสดงออกภายนอก เช่นเดียวกับชายหนุ่มคนหนึ่งที่ใช้หนทางการเป็นตัวตลกทำให้คนตายใจ ไม่ทันระวังตัวว่าภัยร้ายภายใต้เสียงหัวเราะกำลังพรากชีวิตไปตลอดกาล ภูมิหลังน่าเศร้าของฆาตกรตัวตลก เรื่องราวสะพรึงกลัวภายใต้ภาพลักษณ์ขบขันเป็นกันเองเริ่มต้นขึ้นราวช่วงปี 1970 มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งชื่อ John Wayne Gacy ทำอาชีพเป็นผู้รับเหมาก่อสร้างอยู่ในเมืองชิคาโก เขาเป็นที่รู้จักของคนในชุมชนด้วยภาพลักษณ์ที่เป็นมิตร ชื่นชอบการช่วยเหลือสังคม เมื่อมีเวลาว่างจากการทำงาน พ่อพระอย่าง John Gacy ก็ไม่รอช้าใช้เวลาให้คุ้มค่าด้วยการแต่งตัวเป็นตัวตลกสร้างเสียงหัวเราะให้กับเด็ก ๆ ตามโรงพยาบาล ร่วมเดินขบวนพาเหรด ทำให้เขาถูกเรียกว่า “ตัวตลก Pogo” ทั้งหมดที่กล่าวมาคือภาพจำของคนทั่วไปเกี่ยวกับ John Gacy สุภาพบุรุษใจบุญผู้ไม่มีพิษมีภัย แต่เบื้องหลังชีวิตที่เขาไม่ได้นำเสนอกลับเต็มไปด้วยความดำมืด John เติบโตมาในครอบครัวขนาดกลาง เป็นลูกชายคนที่สองจากทั้งหมดสามคน โดยมีพ่อผู้เคยรับหน้าที่ทหารช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ซึ่งต่อมาหลังปลดประจำการได้เปิดร้านซ่อมรถยนต์เลี้ยงชีพ พ่อของ John มักใช้ความรุนแรงกับเขา กิจกรรมยามว่างคือการฟาดลูกชายด้วยเข็มขัดหนังเต็มแรง หรือฟาดเขาด้วยด้ามไม้กวาดที่ศีรษะจนหมดสติ เพราะเขามองว่าเด็กผู้ชายที่แท้จริงจะต้องมาดแมนสมชายชาตรี แต่ลูกชายคนที่สองอย่าง John กลับผอมแห้งบอบบางและมีท่าทางตุ้งติ้งคลายเด็กผู้หญิง
ความไม่เท่าเทียมและความโกรธแค้นถือเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทุกที่บนโลกใบนี้ ความเหลื่อมล้ำทำให้เกิดช่องว่างทางสังคม จนบางครั้งคนที่อยู่ในชนชั้นฐานพีระมิดทั้งหลายก็ไม่สามารถเก็บงำความอัดอั้นตันใจกับชีวิตแย่ ๆ ของตัวเองได้ ลงมือทำสิ่งแย่ ๆ และใช้ข้ออ้างว่า “เกลียดทุนนิยม เกลียดคนรวย และเกลียดความจนของตัวเอง” UNLOCKMEN จะพาย้อนเวลาไปยังช่วงปี 90 ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่ของประเทศเกาหลี จากเมืองเล็ก ๆ ที่โลกไม่ให้ความสนใจสู่การพัฒนาสังคมและเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นประเทศที่ใคร ๆ ก็ต้องรู้จัก แต่การก้าวกระโดดทางวัฒนธรรมที่สวยงามอาจสร้างผลกระทบที่ไม่คาดคิดตามมา เช่น ความเหลื่อมล้ำ ความจน และคดีลักพาตัวที่นำมาสู่การฆาตกรรมสะเทือนขวัญ เรื่องราวสะเทือนขวัญที่คนเกาหลีจดจำและกลายเป็นประวัติศาสตร์สะเทือนขวัญเริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 1993 ใจกลางกรุงโซลเมืองหลวงของประเทศเกาหลี คิม กีฮวัน (Kim Kihwan) วัย 26 ปี อดีตนักโทษพ้นคุกผู้ไม่พอใจกับสังคมที่เป็นอยู่ เขาเป็นคนชนชั้นล่างที่ตกงาน เขาไม่พอใจคนรวยที่เกลื่อนเต็มเมืองแต่ชีวิตของตัวเองกลับตกต่ำจนถึงขีดสุด ด้วยเหตุผลต่าง ๆ ของเขาทำให้กีฮวันตั้งตัวเป็นศาลเตี้ยและสาบานว่าจะทำทุกอย่างเพื่อทำลายคนรวย กีฮวันรวบรวมพรรคพวกที่คิดเหมือนกับเขาตั้งกลุ่มขึ้นมาชื่อว่า Mescan เพื่อแก้แค้นชนชั้นอภิสิทธิ์ที่ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม (มุมมองดังกล่าวเป็นเพียงความคิดของกลุ่ม Mescan เท่านั้น) ประกอบด้วยสมาชิก 8 คน แต่ภายหลังชื่อของ Mescan ถูกคนเกาหลีเรียกว่า Chijon Family แทนที่ชื่อกลุ่มเดิมที่พวกเขาตั้งขึ้น หลังจากรวบรวมคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันให้เป็นกลุ่มก้อน
ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งที่ใครหลายคนมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระและทำให้เด็ก ๆ เสียคนอย่างเกมจะกลายเป็นเทรนด์ฮิตติดลมบน เป็นกีฬาสร้างรายได้มหาศาลหากหมั่นฝึกฝนและทำอย่างจริงจัง เมื่อ UNLOCKMEN ก็ชื่นชอบการเล่นเกมไม่น้อยไปกว่าใคร จึงอยากพาทุกคนไปพบกับ Ninja ชายที่ทำให้เกมเปลี่ยนชีวิตเขาไปตลอดกาล ชื่อจริงของ Ninja เกมเมอร์ที่คอเกมทั่วโลกรู้จักคือ Tyler Blevins เด็กหนุ่มอายุ 28 ปี ผู้ทำอาชีพเป็นนักเล่นเกมให้คนอื่นดูผ่านเว็บไซต์ Twitch โดยเว็บไซต์นี้เป็นแพลตฟอร์มสำหรับถ่ายทอด (Live Streaming Video Platform) ซึ่งไม่ได้มีแต่การถ่ายทอดสดเล่นเกมให้เราดูเท่านั้น แต่ยังมีคอนเทนต์หลากหลายทั้งทำอาหาร เล่นดนตรี โชว์ผลการสร้างสรรค์ผลงานศิลปิน แต่ Live ที่ได้รับความนิยมมากสุดของเว็บนี้ก็คือการถ่ายทอดสดเล่นเกม Tyler ก็เป็นหนึ่งคนหนึ่งที่ท่องอยู่ในเว็บไซต์ Twitch ช่วงแรกก่อนจะเร่ิมก้าวเข้าสู่วงการเกมเมอร์เขาก็เป็นเด็กผู้ชายที่มีกิจกรรมไม่ต่างจากคนอื่น ๆ คือไปโรงเรียน ทำงานพิเศษเป็นเด็กเสิร์ฟ พอมีเวลาว่างก็ออกไปเล่นกีฬากับเพื่อน ๆ และจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาสนใจการเล่นเกมมันเริ่มต้นมาจากเขาสังเกตเห็นว่าเทคโนโลยีของวงการเกมก้าวล้ำไปอย่างรวดเร็ว มีเกมหลายประเภทให้เลือกเล่นได้ตามความชอบ เมื่อสนใจเขาก็ไม่รอช้าลองเล่นเกมดูบ้าง Tyler พบว่าเขาแตกต่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ ที่เล่นเกม Halo 3 กับเขา เขาพัฒนาได้เร็ว ชำนาญกว่าคนอื่น ๆ และชนะอยู่บ่อยครั้ง นับว่าเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ทุกคนเมื่อเจอสิ่งที่ตัวเองชอบและทำมันได้ดี