สำหรับใครที่เป็นคอซีรีส์หรือชื่นชอบหนังแนวสืบสวนสอบสวนคงไม่พลาดดู Mindhunter จาก Netflix ผลงานของผู้กำกับ David Fincher ที่หลงใหลในเรื่องราวของเหล่าฆาตกร และต้องการเจาะลึกถึงความคิด ความรู้สึกในการสังหารคนว่าในช่วงเวลานั้นเขาคิดอะไร สภาพแวดล้อมหล่อหลอมให้กลายเป็นคนชั่วหรือทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะจิตใจที่ดำมืดอยู่แล้ว ซีรีส์เรื่อง Mindhunter จำลองการพูดคุยระหว่างเจ้าหน้าที่ FBI กับผู้ต้องหาคดีหนักในยุค 70 เนื้อหาของบทสนทนาจะเล่าถึงการก่อเหตุในแต่ละครั้ง เพื่อทำความเข้าใจวิธีคิดของฆาตกรโรคจิตและหาทางยับยั้งการเกิดเหตุน่าสลดในภายภาคหน้า หรือสำหรับบางคดีที่ฆาตกรยังไม่ยอมบอกว่าฝังศพของเหยื่อไว้ที่ไหนบ้าง พวกเขาจะต้องพูดคุยเพื่อไขคดีไปพร้อมกัน ด้วยเรื่องราวที่หนักหน่วงของ Mindhunter ทำให้ UNLOCKMEN สนใจหยิบเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องรายหนึ่งนาม Edmund Kemper มาเล่าสู่กันฟังว่าชายคนนี้เพี้ยนจนกู่ไม่กลับและสร้างความสะพรึงกลัวให้กับสังคมได้มากน้อยแค่ไหน เด็กหนุ่มกับพฤติกรรมวิกลจริต เด็กชายเคมเปอร์เติบโตในรัฐแคลิฟอร์เนียร์ ท่ามกลางครอบครัวที่ไม่อบอุ่น พ่อแม่ของเขามีปากเสียงกันแทบจะตลอดเวลา สุดท้ายทั้งสองคนหย่าร้างและส่งลูกชายของตัวเองไปอยู่กับตายาย ความประหลาดในตัวเขาเริ่มแสดงออกผ่านพฤติกรรม เขาชอบเล่นเป็นนักโทษประหารกับน้องสาว โดยแบ่งกันเลือกว่าจะตายด้วยวิธีไหนทั้งเก้าอี้ไฟฟ้า หรือโดนรมควันในห้องแก๊ส เมื่ออายุ 10 ขวบ เด็กชายฆ่าแมวและฝังไว้ในสวนข้างบ้าน เวลาผ่านไปก็ฆ่าแมวอีกหนึ่งตัวเพราะเห็นว่าน้องสาวของเขาชอบมันมากเกิน แถมยังเก็บซากแมวไว้ในตู้จนสุดท้ายแม่ก็มาเจอซากศพแมวที่ส่งกลิ่นชวนคลื่นไส้ เด็กชายเคมเปอร์มีความสุขกับการฆ่า สนใจใคร่รู้ในเรื่องพิธีกรรมลี้ลับ เขาเคยเอาตุ๊กตาของน้องสาวมาทำพิธีบางอย่างด้วยการตัดหัวตุ๊กตา รวมถึงเรื่องเล่าเกี่ยวกับบทสนทนาระหว่างเขากับพี่สาวอีกคนว่าทำไมไม่ลองจูบครูของตัวเองดูล่ะ และเธอก็ได้คำตอบที่ชวนตกใจจากน้องชายว่า “ถ้าผมจะจูบเธอ ผมต้องฆ่าเธอก่อน” นอกจากนี้แม่ขี้เมาของเขาอาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เด็กชายโตมาเป็นคนวิกลจริต คุณนายเคมเปอร์เลี้ยงเขามาด้วยความลำเอียง ชอบพูดถ้อยคำดูถูกเหยียดหยามใส่ ไล่ให้เขาไปนอนในห้องใต้ดินเพราะกลัวว่าเขาจะทำร้ายน้องสาวของตัวเอง ไม่ยอมกอดลูกชายเพราะการกอดจะเปลี่ยนให้เขาเป็นเกย์ และในที่สุดเวลาที่เขาก่อคดีฆาตกรรมก็มาถึง
ใครจะคิดว่าชายผู้สร้างแบรนด์วิสกี้สัญชาติอเมริกันชื่อก้องโลกอย่าง Jack Daniel จะมีจุดเริ่มต้นต่ำยิ่งกว่าศูนย์เสียอีก จากเด็กกำพร้าตกอับ ต้องออกจากบ้านเพราะเกลียดแม่เลี้ยงตัวเองไปอาศัยอยู่กับนักเทศน์ คลุกคลีอยู่กับโบสถ์และก้าวสู่โลกกว้างด้วยการสร้างสุราที่โลกไม่ลืม ด้วยความมันสะใจกับเรื่องราวชีวิตของชายที่มีชื่อว่า Jack Daniel จึงทำให้ UNLOCKMEN สนใจใคร่อยากแบ่งปันให้ทุกคนได้รู้จักกับเขา ชายที่สร้างความประหลาดใจในครั้งวัยเยาว์จนถึงช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต มิสเตอร์ Jack Daniel ตัดสินใจจดทะเบียนโรงกลั่นสุราครั้งแรกปี 1866 โดยไม่คาดคิดว่าวันหนึ่งข้างหน้าเหล้าที่เขาทำเองจะกลายเป็นที่นิยมของนักดื่มทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 หลังเขาลี้จากครอบครัวมาฝากเนื้อฝากตัวเติบโตในโบสถ์กับนักเทศน์ที่มีร้านขายและโรงกลั่นสุราชื่อ Dan Call เขาจึงมีโอกาสคลุกคลีกับการกลั่นสุรามาตั้งแต่เด็ก อยู่มาวันหนึ่งนักเทศน์ที่สอนเกี่ยวกับการหมักสุราให้กับ Jack Daniel ตัดสินใจหันหน้าเข้าหาศาสนาอย่างจริงจังจึงขายกิจการสุราทั้งหมดให้กับเขา เด็กหนุ่มจึงนำเงินมรดกที่ได้จากที่ดินของบิดาผู้ล่วงลับมาซื้อกิจการและสานต่อ การลงทุนครั้งนี้นับว่าคุ้มค่า เมื่อเด็กหนุ่มต่อยอดความสำเร็จด้วยการพัฒนาวิสกี้ของตัวเองมีคุณภาพโดดเด่นกว่าใคร ๆ ความโดดเด่นของวิสกี้ Jack Daniel มาจากกระบวนการผลิตและการกลั่นที่จะต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อทดสอบกลิ่น รสชาติ ให้ได้มาตรฐานคุณภาพที่ดีที่สุด ที่สำคัญการคงอยู่ยาวนานกว่าร้อยปีของแบรนด์ยังใช้ผู้เชี่ยวชาญกลั่นสุราไม่ถึงสิบคน นอกจากนี้ที่ตั้งของโรงกลั่นวิสกี้ที่อยู่ในหุบเขาเมืองลินซ์เบิร์กยังมีน้ำพุใต้ดินไหลออกมาเป็นลำธาร ธารน้ำบริสุทธิ์ไร้ธาตุเหล็กนี้นำมาใช้ในกระบวนการผลิตสุราของ Jack Daniel ผสมกับข้าวโพด ข้าวสาลี ข้าวไรน์ รวมถึงวัตถุดิบอื่น ๆ ที่ถูกหมักอยู่ในถังไม้โอ๊กขาว บ่มจนได้สีทองอำพันพร้อมกับรสชาติอันยอดเยี่ยม แถมยังเป็นโรงกลั่นแห่งแรกในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นทะเบียนอย่างถูกต้องในปี 1866
ในโลกของวงการฮอลลีวูดทำให้เราได้เห็นภาพยนตร์และซีรีส์มากมายที่สร้างขึ้นจากชีวิตจริงของฆาตรโหด เช่น Mindhunter จาก Netflix หรือภาพยนตร์เรื่อง Once Upon a Time in Hollywood ที่ถือเป็นภาพยนตร์ที่ทำให้ใครหลายคนจับตามองตั้งแต่เห็นรายชื่อนักแสดงและผู้กำกับ Quentin Tarantino กับการเล่าเรื่องราวสะเทือนขวัญของวงการฮอลลีวูดช่วงปี 1969 แต่ในวันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้มาพูดถึงตัวหนังและซีรีส์มากนักแต่จะเจาะลึกไปยังลัทธิประหลาดที่เกิดขึ้นจริงอย่าง Manson Family ที่สั่นประสาทไปทั่วลอสแองเจลิส จุดเริ่มต้นของ Manson Family “ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองปกติ และไม่เคยพยายามจะเป็นปกติ” เรื่องราวที่น่าเศร้าครั้งหนึ่งของวงการฮอลลีวูดเริ่มต้นขึ้นจากชายคนหนึ่งนามว่าชาร์ลส์ แมนสัน (Charles Milles Manson) เขาเป็นคนที่มีประวัติแย่ตั้งแต่วัยรุ่นจากการก่ออาชญากรรมเล็ก ๆ อย่างขโมยรถ ปลอมแปลงเช็ก ทำให้เข้าออกคุกอยู่บ่อยครั้งและเมื่อโตขึ้นเขาก็เข้าสู่กลุ่มแก๊งที่เรียกตัวเองว่าเป็น “พวกฮิปปี้” เคยเป็นศิลปินที่มีผลงานในลอสแองเจลลิส ก่อนจะกลายเป็นศาสดาแห่งลัทธิประหลาดที่เขาตั้งขึ้นมาเอง แมนสันเป็นชายที่มีความคิดแตกต่างจากคนทั่วไป เขามองว่าสักวันหนึ่งโลกจะต้องเกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างชาวผิวขาวและชาวผิวสี แถมยังคิดไปไกลอีกว่าหลังจากสงครามสิ้นสุดลงผู้ชนะคือพวกผิวสี แต่เพราะความโง่ของคนดำ (แมนสันว่ามาแบบนี้) ที่ทั้งเขลาและไร้ความสามารถจะทำให้ปกครองกันไม่ได้ เขาและกลุ่มคนในครอบครัวจึงจะขึ้นมาเป็นผู้นำพร้อมปกครองโลกให้น่าอยู่ไปตลอดกาล เมื่ออ่านแล้วหลายคนคงรู้สึกไม่ต่างกันว่าคนเพ้อเจ้อแบบแมนสันคงเป็นพวกเพี้ยน ๆ มีความคิดหัวรุนแรงและเสพยามากจนเกินไป แต่กลายเป็นว่ามีคนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าสิ่งที่แมนสันคิดอาจเป็นเรื่องจริงเข้าสักวันหนึ่ง และเมื่อคนที่คิดเหมือนกันได้มาพบเจอพวกเขาจึงรวมกลุ่มกันเป็นลัทธิโดยมีชาร์ลส์เป็นหัวหน้าพร้อมใช้ชื่อว่า Manson Family แมนสันเป็นชายถือว่ามีพรสวรรค์ด้านวาทศิลป์ไม่น้อย
ถ้าพูดถึงตัวร้ายในภาพยนตร์ฮอลลีวูดก็คงจะลืมชื่อของ Mads Mikkelsen ไปไม่ได้โดยเด็ดขาด หลายคนจดจำเขาได้ติดตากับบทบาทของ Dr. Hannibal Lecter จากซีรีส์ Hannibal (2013-2015) ที่หล่อเนี้ยบและให้ความรู้สึกลึกลับไปพร้อมกัน ทำให้ UNLOCKMEN อยากรู้เกี่ยวกับเรื่องราวของหนุ่มใหญ่ที่มากไปด้วยเสน่ห์คนนี้ให้มากขึ้น นอกจาก Hannibal แล้วเขาก็ยังคงรับบทบาทเป็นตัวร้ายอีกหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นบทบาทพ่อค้ายาเสพติดชาวโคเปเฮเกนจากเรื่อง Pusher (1996) บท Le Chiffre ในสุดยอดหนังสายลับตลอดกาล James Bond: Casino Royale (2006) รวมถึงบท Rochefort เรื่อง The Three Musketeers (2011) และพ่อมดฝ่ายมืด Kaecilius จากเรื่อง Dr. Strange (2016) เรียกว่ารับบทแต่ละครั้งก็มักจะได้บทร้ายอยู่เสมอ จากบทบาทที่เขามักได้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับตัวเอกอยู่เสมอทำให้ผู้คนต่างตั้งข้อสงสัยว่า เพราะอะไรหนุ่มมาดเท่อย่าง Mads Mikkelsen ถึงเป็นตัวโกงเกือบทุกเรื่องที่แสดง ความน่าสนใจอยู่ตรงคำตอบที่ UNLOCKMEN ค้นพบซึ่งเมื่อเทียบจากการฟังความคิดเห็นของใครหลายคนล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกัน คำตอบเป็นเพราะหน้าตาเท่แบบที่ซ่อนความเจ้าเล่ห์ไว้ ความนิ่งของใบหน้ายามไร้รอยยิ้มที่ดูเคร่งขรึม ผสมกับสไตล์การแต่งตัวที่เนี้ยบอยู่เสมอ ไม่ว่าจะมองมุมไหนคงต้องยกให้เป็นผู้ชายที่ต้องเว้นระยะห่างไว้อย่างแน่นอน
ถ้าพูดถึงศิลปะ หลายคนจะมองว่าเป็นเรื่องของอารมณ์งานสร้างสรรค์ หรือสุนทรีย์ที่เข้าไม่ถึง แต่แท้จริงแล้วเรื่องราวสุดระห่ำรวมถึงความเหลวแหลก และความตายก็เป็นส่วนหนึ่งของศิลปะด้วยเช่นกัน วันนี้ UNLOCKMEN สนใจเรื่องราวของจิตรกรผู้แต่แผ่ความดิบเถื่อนออกมาเป็นรูปภาพของมิเกลลันเจโล คาราวัจโจ ศิลปินใจนักเลงผู้นิยมความรุนแรง และถ่ายทอดมันออกมาเป็นศิลปะ Michelangelo Merisi da Caravaggio คือชื่อเต็มที่แสนจำยากของคาราวัจโจ จิตรกรชาวอิตาลีที่โลดแล่นอยู่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 เดิมทีเขาเป็นชายตัวคนเดียวเพราะพ่อเสียชีวิตด้วยกาฬโรคตั้งแต่ยังเล็ก ส่วนแม่ก็เสียตามไปอีก ถึงแม้จะเป็นเด็กกำพร้าแต่ก่อนหน้านี้คาราวัจโจคลุกคลีอยู่กับสีและผืนผ้าใบ เพราะก่อนแม่เสียชีวิตเคยส่งเขาไปเรียนศิลปะเป็นเวลาเกือบ 4 ปี และได้เทคนิคเกี่ยวกับศิลปะติดตัวมาด้วย ปี 1592 คาราวัจโจวัย 21 ปี เดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อหางานทำตามแบบศิลปินหน้าใหม่ด้วยสภาพตัวเปล่า ไร้เงิน ไร้งาน และเริ่มต้นเส้นทางศิลปินโดยการเป็นผู้ช่วยของจิตรกรที่มีชื่อในช่วงเวลานั้น และรอวันที่สปอตไลต์จะฉายแสงมายังเขา แสงเงาสื่ออารมณ์รุนแรง การสร้างสรรค์ที่จิตรกรในยุคเดียวกันไม่กล้าทำ สามปีหลังจากเป็นผู้ช่วยจิตรกรอยู่กรุงโรม คาราวัจโจเริ่มสร้างสรรค์ผลงานของตัวเองขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากการวาดภาพสีน้ำมัน บอกเล่าเรื่องราวชีวิตประจำวันของผู้คน แต่สิ่งที่ทำให้งานของเขาโดดเด่นขึ้นมาเพราะการบอกเล่าชีวิตสุดธรรมดาแต่ใช้เทคนิคสุดพิเศษด้วยแสงและเงาบนผลงานของเขานั้นคม จับใจ และสื่ออารมณ์อย่างรุนแรง ผลงานยุคเริ่มต้นของเขามีหลายชิ้นที่ได้รับความสนใจ โดยเฉพาะกับภาพ The Cardsharps ที่เก็บรายละเอียดครบถ้วน เช่น หน้าตาสื่ออารมณ์ของคนในวงไพ่ที่พยายามเล่นกลโกงอะไรบางอย่าง และเน้นรายละเอียดไปยังรอยขาดบนถุงมือ นักวิจารณ์หลายคนกล่าวว่าผลงานชิ้นนี้มีความซับซ้อนทางจิตวิทยาเป็นอย่างมาก แถมผลงานของเขายังเข้าตาจิตรกรชื่อดังในโรม และอนุญาตให้คาราวัจโจไปนั่งทำงานที่บ้านของเขาเมื่อไหร่ก็ตามที่เด็กหนุ่มต้องการอีกด้วย
“สงครามอาจกำลังเกิดขึ้นอีกครั้งเร็ว ๆ นี้” นี่คือประโยคที่คนส่วนใหญ่พูดถึงความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างสองประเทศมหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐอเมริกากับจีน บางคนอาจมองว่าประโยคนี้กล่าวเกินจริง แต่หากลองฉุกคิดดูก็จะรู้ว่าสงครามไม่จำเป็นต้องยิงนิวเคลียร์หรือส่งทหารออกไปสู้รบเสมอไป สำหรับใครที่ตามข่าวการเมืองของสหรัฐฯ จะต้องคุ้นเคยกับประโยค “Make American Great Again” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างแน่นอน เพราะเขามักจะพูดอยู่บ่อย ๆ ว่าจะทำให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งและยังแข่งขันกันทุกด้านกับประเทศขั้วตรงข้ามอย่างจีนซึ่งมีผู้นำที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ใครอย่างสี จิ้นผิง การต่อสู้ที่ร้อนแรงของสองขั้วมหาอำนาจโลกทำให้ UNLOCKMEN นำเรื่องราวโดยย่อรวมถึงประวัติของ สี จิ้นผิง ชายผู้ต่อกรกับโดนัลด์ ทรัมป์อย่างสูสีมาร้อยเรียงให้ทุกคนติดตามกัน ว่าเขาเป็นใครมาจากไหน แล้วทำไมผู้ชายอย่างเรา ๆ ต้องสนใจเรื่องราวการต่อสู้ของสองประเทศนี้ สี จิ้นผิง เป็นใคร ? สี จิ้นผิง เป็นลูกชายของ สี จงชุน ทหารผ่านศึกคอมมิวนิสต์จีน ที่มีบทบาทสำคัญทางการเมืองเพราะดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีซึ่งใกล้ชิดกับ เหมา เจ๋อตง ผู้ก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน เกริ่นมาแบบนี้หลายคนอาจคิดว่าเด็กชายผู้เติบโตท่ามกลางผู้ทรงอิทธิพลและมีพ่ออยู่ในแวดวงการเมืองควรมีชีวิตที่โชคดีและได้เปรียบเด็กคนอื่น ๆ จนน่าจะเป็นเหตุผลที่ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีในวันนี้ แต่ความจริงไม่ได้ราบรื่นอย่างนั้น เพราะชีวิตของเขาพลิกผันจากเหตุการณ์ที่พ่อของเขาโดนปลดตำแหน่งอย่างสายฟ้าแลบ เนื่องจากตัดสินใจอนุญาตให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่งตีพิมพ์หนังสือวิจารณ์ เหมา เจ๋อตง ผลจากการตัดสินใจของสี จงชุน
ในวันนี้โลกอบอวลความเศร้าอีกครั้งกับการสูญเสียยอดสถาปนิกที่สร้างผลงานสะเทือนวงการสถาปัตยกรรม เมื่อ I.M. Pel ชายผู้หลงใหลในรูปทรงเรขาคณิตจากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยวัย 102 ปี เพราะเขาถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ต่อยอดแนวคิดของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และมีอิทธิพลต่อการขับเคลื่อนงานสร้างสรรค์ไม่น้อยเลยทีเดียว Ieoh Ming Pei (เป้ย์ ยวี่ หมิง) หรือชื่อในวงการ I.M. Pei สถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน ผู้โด่งดังเรื่องการสร้างสรรค์ผลงานสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่เน้นรูปทรงเรขาคณิตกับความเกลี้ยงเกลาของโครงสร้างที่ไม่นิยมตกแต่งมากนัก ซึ่งเป็นเทคนิคที่เริ่มใช้กันช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 และแพร่หลายมากหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 I.M. Pei ได้รับการยอมรับว่าเป็นปรมาจารย์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่ชูเรื่องเรขาคณิตและความงามที่สะอาดสะอ้านของตึก เขาได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งพีระมิดแก้วจากผลงานที่ทำให้โลกต้องจดจำอย่าง Louvre Pyramid ที่ทำจากเหล็กกับกระจกทรงสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนจำนวน 603 แผ่น และกระจกทรงสามเหลี่ยม 70 แผ่น ประกอบกัน ก่อร่างเป็นรูปทรงดั่งพีระมิด The solid is for the dead, but the transparent is for the living – I.M. Pei
ว่ากันว่าคนฝรั่งเศสส่วนใหญ่มักสนใจเรื่องแฟชั่น Bernard Arnault ก็เช่นกัน เขาคือนักธุรกิจหนุ่มเมืองน้ำหอมที่สนใจเรื่องแฟชั่นและการเปลี่ยนสินค้า luxury ให้กลายเป็นเม็ดเงินมหาศาลที่บางคนอาจไม่กล้าจินตนาการถึง UNLOCKMEN อาสาพาไปดูเรื่องราวของ Bernard Arnault นักธุรกิจที่ได้ชื่อว่าเป็นชายที่รวยที่สุดในฝรั่งเศส กว่าจะประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ เขาต้องผ่านอะไรบ้าง บุคคลสำคัญของวงการธุรกิจแฟชั่นส่วนมากมักเป็นดีไซเนอร์ แต่ Bernard Arnault (แบร์นาร์ด อาร์โนลด์) กลับไม่ใช่แบบนั้น เขาไม่ได้เป็นแฟชั่นนิสต้าหรือเรียนทางด้านการออกแบบมา แต่เขาเป็นนักธุรกิจจากตระกูลที่ทำบริษัทก่อสร้างมาหลายชั่วอายุคน จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ อย่างไรก็ดีเขามองเห็นช่องทางสร้างรายได้มหาศาลจากแฟชั่น เพราะ Bernard คิดว่าสินค้าหรูหราเป็นสิ่งที่จะทำกำไรได้ดีที่สุด เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงไม่รอช้าเริ่มไล่ซื้อแบรนด์แฟชั่นระดับไฮเอนด์ไปเรื่อย ๆ โดยเริ่มจาก Financière Agache ก่อน จากนั้นซื้อ Boussac Saint-Frères และ Willot Group ซึ่งขณะนั้นเป็นเจ้าของแบรนด์แฟชั่นชื่อก้องโลกอย่าง Christian Dior แต่แบรนด์ชื่อดังในตอนนั้นถือว่าเป็นแบรนด์ที่ใกล้จะล้มละลาย Bernard จึงเข้ามาปรับระบบใหม่พร้อมกับก้าวขึ้นเป็นประธานของ Dior ในปี 1984 ต่อมาในปี 1987 Louis Vuitton และ Moët Hennessy ตัดสินใจรวมกลุ่มธุรกิจกันในชื่อ LVMH ซึ่งการรวมกลุ่มธุรกิจนี้เป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จของ
สำหรับคอหนังฮอลลีวูด หลาย ๆ คนต้องเคยดูหนังที่มี ซามูเอล แอล แจ็คสัน ร่วมแสดงสักเรื่องอย่างแน่นอน เพราะเขาคือชายที่มีผลงานในวงการฮอลลีวูดในบทบาทที่หลากหลายและแสดงหนังมากกว่า 100 เรื่อง วันนี้ UNLOCKMEN ไม่ได้จะพูดถึงบทบาทการแสดงของเขา แต่จะนำเสนอชีวิตอีกมุมหนึ่งของซามูเอลในฐานะชายผิวสีที่เคยพูดติดอ่างและนักต่อสู้เพื่อสิทธิและความเท่าเทียมที่มนุษย์ทุกคนพึงมี ซามูเอล แอล แจ็คสัน เติบโตมาในครอบครัวชาวอเมริกันผิวสีทั่วไป ทั้งชีวิตเขาเคยเจอพ่อแค่สองครั้ง เติบโตขึ้นมาจากการเลี้ยงดูของตากับยาย ในขณะที่แม่ของเขาทำงานในโรงงานต่างเมืองโดยจะกลับมาเยี่ยมเขาแค่ช่วงคริสต์มาสกับวันหยุดฤดูร้อนเท่านั้น นอกจากนี้ซามูเอลในวัยเด็กมีผิดความปกติด้านการพูดจากปัญหาการพูดติดอ่างซึ่งเป็นโรคที่พบได้ในเด็กบางส่วน แต่จะหายไปได้เองเมื่อเข้าสู่ช่วงอายุ 16 ปี แต่บางคนอาจจะพูดติดอ่างไปจนโตเลยก็มี ถึงแม้จะมีปัญหาด้านการพูด แต่ซามูเอลเป็นเด็กมองโลกในแง่ดีและมีวิธีแก้ปัญหาในแบบแปลก ๆ เขาเล่าถึงการแก้ปัญหาพูดติดอ่างของตัวเองด้วยการมองมันเป็นเรื่องขำขัน แล้วพูดคำว่า “motherfucker” กับตัวเองบ่อย ๆ ทำให้เขาหายพูดติดอ่างไปเอง ซึ่งเรื่องนี้เป็นความจริงรึเปล่าก็ไม่มีใครรู้ได้ แต่ปัจจุบันซามูเอลกลายเป็นชายพูดมากคนหนึ่งของวงการฮอลลีวูด อีกทั้งวลี “motherfucker” ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คนจะคิดถึงเขาเมื่อได้ยินคำ ๆ นี้ ช่วงชีวิตวัยรุ่นของซามูเอลไม่ได้คิดถึงเส้นทางอาชีพในวงการบันเทิงเลย เพราะเขามุ่งความสนใจไปยังเรื่องของสังคมและการเมืองแทน เขาสนใจเรื่องการรณรงค์สิทธิความเท่าเทียมของคนผิวสีในอเมริกา และใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักชีววิทยาทางทะเล วลีที่ว่าสังคมจะส่งผลต่อความคิดคนอาจเป็นเรื่องจริง เพราะสังคมอเมริกาช่วงเวลาที่ซามูเอลเป็นวัยรุ่นนั้นเต็มไปด้วยการเปลี่ยนผ่านทางสังคม เป็นยุคแห่งการเดินขบวนที่ต่อยอดจากประเด็นร้อนปี 1955 กรณีหญิงผิวสีรายหนึ่งโดนจับเนื่องจากเธอปฏิเสธการสละที่นั่งบนรถเมล์ให้แก่ชายผิวขาว จนทำให้ผู้คนออกมาเดินขบวนเรียกร้องความเท่าเทียม เกิดการคว่ำบาตรระบบขนส่งหลายรัฐ นำโดยชายผิวสีชื่อ มาร์ติน ลูเทอร์ คิง
ช่วงนี้ข่าวการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของสุดยอดดีไซเนอร์เปลี่ยนโลกอย่าง Karl Lagerfeld ผู้ทรงอิทธิพลต่อวงการแฟชั่นเต็มหน้าฟีดโซเชียลทั้งไทยและเทศ บุรุษอายุ 85 นี้คือใคร ทำไมวงการการออกแบบและแฟชั่นถึงออกมาร่วมไว้อาลัย ถ้ายังคิดไม่ออกว่าเขาคือใคร ภาพติดตาของดีไซน์เนอร์ของแบรนด์ Chanel ที่ชอบใส่สูทสีดำ ไว้ผมยาวสีขาวโพลนรวบหางม้า และสวมแว่นกันแดดตลอดเวลาด้านล่าง คงทำให้ต้องร้องอ๋ออย่างแน่นอน UNLOCKMEN ขอนำทุกคนไปทำความรู้จักกับชายผู้สร้างสีสันให้กับโลกแฟชั่น เพื่อสดุดีถึงผลงานที่ทำมาตั้งแต่ช่วง 50’s ที่โดดเด่น ไม่ธรรมดา และกินใจผู้คนมาจนถึงปัจจุบัน ก่อนที่ Karl Lagerfeld จะเป็น Creative Direction ให้กับแบรนด์แฟชั่นสัญชาติฝรั่งเศสอย่าง Chanel และแบรนด์ดังจากอิตาลี Fendi รวมถึงก่อตั้งแบรนด์แฟชั่นในชื่อของตัวเองว่า Karl Lagerfeld จนเกรียงไกร เขาต้องพบกับขวากหนามมากมายที่ต้องพยายามฝ่าฟันนับครั้งไม่ถ้วนจนได้สิ่งที่หวัง เรื่องราวชีวิตก่อนมีชื่อเสียงโด่งดังของ Karl เริ่มต้นจากเด็กชายชาวเยอรมันที่ย้ายมาตามความฝันใน “ปารีส” มหานครแห่งแฟชั่น ทุ่มเวลากับสิ่งที่ชอบด้วยการเรียนรู้เรื่องผ้าอยู่ 2 ปี จากนั้น Karl ในวัย 17 ปี จึงได้ลองส่งผลงานชิ้นแรกของตัวเองคือแบบสเก็ตช์เสื้อโค้ตเข้าประกวดในปี ค.ศ. 1954 และได้รับรางวัลชนะเลิศ ผลงานชิ้นนี้ของ Karl เข้าตา Pierre Balmain ดีไซเนอร์ชื่อดังแห่งยุค