Entertainment
THE PROFILES: MARTIN SCORSESE ยอดผู้กำกับหนังและบทวิจารณ์ขวานผ่าซากที่ชวนให้คิดตาม
By: TOIISAN November 6, 2019 165799
สำหรับคนที่ชื่นชอบการดูภาพยนตร์คงไม่มีใครไม่รู้จักหรือเคยได้ยินชื่อของ มาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ผู้กำกับหนังชื่อดังที่สร้างภาพยนตร์ สารคดี รายการโทรทัศน์มาแล้วกว่า 60 เรื่อง ใคร ๆ ก็ชื่นชมเขา ใคร ๆ ต่างก็นับถือเขา แต่ในตอนนี้เขากลับต้องเจอกับคำวิจารณ์ของสังคมครั้งใหญ่เพราะเขาบอกว่าหนังของ Marvel เป็นแค่สวนสนุก และทำให้เราต้องคิดตามว่า ‘แล้วหนังแบบไหนถึงจะเรียกว่าภาพยนตร์ที่แท้จริงได้บ้าง ?’
บางคนอาจยังสับสนว่า มาร์ติน สกอร์เซซี เป็นใคร เขามีผลงานโด่งดังอะไรบ้างที่ทำให้กลายเป็นตำนาน และทำไมมุมมองเกี่ยวกับภาพยนตร์ของเขาสามารถสร้างผลกระทบให้กับวงการภาพยนตร์ได้มากมายขนาดนี้ UNLOCKMEN จะพาไปทำความรู้จักกับผู้กำกับชื่อดังคนนี้ให้มากขึ้น เพราะการสร้างสรรค์ผลงานผ่านการกำกับและงานเขียนสามารถทำให้เรารู้ลึกถึงความคิดของคนคนหนึ่งได้
ก่อนสกอร์เซซีจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้กำกับหนังที่มีอิทธิพลต่อวงการฮอลลีวูด เขาแจ้งเกิดจากภาพยนตร์เรื่อง Mean Streets (1973) บอกเล่าสังคมของผู้คนและกลุ่มผู้มีอิทธิพลในโลกใต้ดินเมืองนิวยอร์กผ่านเด็กเก็บค่าคุ้มครอง แม้มีงบทำหนังจำกัดมาก ๆ แต่สกอร์เซซีทำให้ผู้คนเห็นว่าเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาหลักในการสร้างภาพยนตร์ที่ดี
จากนั้นต่อด้วยเรื่อง Taxi Driver (1976) ชายผู้ผ่านสงครามเวียดนามที่เป็นโรคนอนไม่หลับเลยมาขับแท็กซี่ตอนกลางคืน แต่สุดท้ายจับพลัดจับผลูวางแผนฆ่าผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ด้วยการกำกับอันแยบคาย ดนตรีประกอบสไตล์แจ๊สที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้ชมเพราะเป็นผลงานสุดท้ายของ Bernard Herrmann นักดนตรีประพันธ์ดนตรีประกอบชื่อดัง ปัจจัยกลมกล่อมทั้งหลายทำให้ Taxi Driver คว้ารางวัลปาล์มทองคำซึ่งเป็นรางวัลสูงสุดของเทศกาลหนังเมืองคานส์ได้สำเร็จ แถมยังพาชื่อของเขาเข้าสู่การชิงรางวัลในเวทีใหญ่อย่างออสการ์มาแล้ว
เมื่อแสงสปอตไลต์เริ่มฉายมายังตัวของเขา สกอร์เซซีไม่ทำให้ผู้คนที่เฝ้ารอการกำกับหนังของเขาต้องผิดหวังกับผลงานสุดตราตรึงเรื่อง Goodfellas (1990) บอกเล่าความสัมพันธ์ของกลุ่มเพื่อนมาเฟียได้อย่างจับใจ รวมถึงบทพูดทรงพลังผ่านตัวนักแสดง ดนตรีประกอบเร้าอารมณ์ ผลงานกำกับของเขาทำให้ชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้นไปอีก และเป็นเครื่องการันตีว่าผลงานก่อน ๆ ของเขาไม่ได้ประสบความสำเร็จเพราะฟลุ๊ก
นอกจากนี้ภาพยนตร์เรื่อง The Departed (2006) สไตล์แอกชัน-ดราม่า แฝงอารมณ์ทริลเลอร์ กับเรื่องราวของสังคมมาเฟีย การต่อสู้ไร้เสียงของหนอนบ่อนไส้เป็นอีกเรื่องที่สร้างรายได้อย่างน่าประทับใจ เพราะ The Departed กวาดรายได้กว่า 291 ล้านดอลลาร์ จากทุนสร้างเพียง 90 ล้านดอลลาร์เท่านั้น แถมยังส่งให้ชื่อของเขาเข้าชิงรางวัลออสการ์อีกครั้งพร้อมคว้ารางวัลใหญ่อย่าง รางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) และผู้กำกับยอดเยี่ยม (Best Director) รวมถึงรางวัลสาขาลำดับภาพยอดเยี่ยม (Best Film Editing) และบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม (Best Adapted Screenplay) มาครอง
ผลงานส่วนใหญ่ของเขาเน้นเนื้อหาเกี่ยวกับสังคมและวัฒนธรรมสไตล์อเมริกัน-อิตาลี อ้างอิงถึงศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเป็นหลัก ชูประเด็นเรื่องปรัชญาความคิดที่แฝงอยู่ในความดิบเถื่อนของลูกผู้ชาย โดยตัวของสกอร์เซซีเองก็รับรู้ความชอบและสไตล์ของตัวเองเป็นอย่างดี
“ชีวิตของผมมีแค่ภาพยนตร์กับศาสนา ไม่มีอะไรเพิ่มมากกว่านี้แล้ว”
คงจะจริงอย่างสกอร์เซซีพูด เพราะคนในวงการหนังตลอดจนผู้ชมที่มองดูผลงานของเขาเสมอมาต่างเห็นการทุ่มเทเพื่อภาพยนตร์ของเขากันถ้วนหน้า
ผู้กำกับหนังชื่อดังอย่างสกอร์เซซีเมื่อว่างเว้นจากงานภาพยนตร์ เขาก็แวะเวียนไปเป็นนักเขียนรับเชิญให้กับสื่อดังหลายเจ้า เขาเคยเขียนบทความเกี่ยวกับเว็บไซต์ให้คะแนนหนังชื่อดังอย่าง Rotten Tomatoes และเว็บ CinemaScore ในสื่อดังของอเมริกาอย่าง The Hollywood Reporter
ประเด็นที่เขาเขียนถึงเว็บไซต์รีวิวให้คะแนนหนังเริ่มขึ้นเมื่อเว็บ CinemaScore ให้คะแนนภาพยนตร์เรื่อง Mother (2017) ของผู้กำกับ Darren Aronofsky ไว้ที่เกรด F มุมมองน่าสนใจของสกอร์เซซีระบุไว้ว่าช่วง 20 ปีที่ผ่านมามีหลายอย่างเปลี่ยนไปในวงการภาพยนตร์ การสร้างหนังเปลี่ยน การวิจารณ์หนังของคนดูก็เปลี่ยนตาม สิ่งที่เรียกว่า ‘Box Office’ (การจัดอันดับหนังจากรายได้และยอดขายตั๋วภาพยนตร์) ทำให้คนส่วนใหญ่หมกมุ่นกับคำวิจารณ์และคะแนนหนัง มากกว่าตัวหนังเสียอีก
เว็บไซต์ Rotten Tomatoes ไม่ได้ทำสิ่งที่เรียกว่าวิจารณ์ภาพยนตร์จริง ๆ ด้วยซ้ำ พวกเขาเพียงแค่รวมคำวิจารณ์ของคนอื่นมาแปะไว้และให้คะแนนภาพยนตร์เหมือนดูการแข่งม้า ชี้บอกว่าเรื่องนี้ดี เรื่องนั้นห่วย สั้น ๆ เท่านั้น พวกเขาเข้ามายุ่งเกี่ยวกับวงธุรกิจหนังแต่ไม่ได้ทำอะไรสร้างสรรค์หรือแม้แต่การมอบมุมมองแนวคิดที่ฉลาดให้กับวงการหนัง คนทำหนังกลายเป็นแค่ผู้ผลิตเนื้อหาที่ต้องทำเอาใจตลาด ส่วนผู้ชมถูกลดระดับให้เป็นเพียงผู้บริโภคของดาด ๆ ไม่กล้าริลองสิ่งใหม่ (เพราะเชื่อคำวิจารณ์ว่าเรื่องไหนน่าดูมากกว่าความสนใจจริง ๆ ของตัวเอง)
การแสดงความคิดเห็นผ่านบทความของสกอร์เซซีเต็มไปด้วยความน่าสนใจชวนให้คิดตาม แท้จริงแล้วการเปลี่ยนแปลงของวงการภาพยนตร์มันส่งผลกระทบอะไรมาก รสนิยมการเสพหนังของผู้ชมเปลี่ยนไปเพราะคะแนนรีวิวบนเว็บไซต์จริง ๆ อย่างที่สกอร์เซซีหรือไม่ เว็บไซต์ให้คะแนนหนังสร้างประโยชน์ต่อคนดูจริงหรือ แต่ละคนต่างมีคำตอบแตกต่างกันไป ซึ่ง UNLOCKMEN และสกอร์เซซี หรือแม้แต่ผู้อ่านทุกคนคงมีความคิดเห็นในเรื่องเหล่านี้ต่างกันไปเช่นกัน แต่ที่แน่ ๆ งานเขียนชิ้นนี้ของผู้กำกับชื่อดังทำให้ใครหลายคนตระหนักคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้กันมากขึ้น
ด้วยผลงานมากมายและฝีปากพูดตรงไปตรงมา สกอร์เซซีมักกลายเป็นชายสร้างดราม่าโดยไม่ตั้งใจ อีกหนึ่งคำวิจารณ์ที่ทั่วโลกพูดถึงคงหนีไม่พ้นการให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Empire Magazine เมื่อโดนถามไปถึง Marvel Sutdio ซึ่งเขาให้คำตอบน่าสนใจว่า
“ผมไม่ดูหนังมาร์เวล เคยพยายามลองแล้วนะ แต่มันไม่น่าเรียกว่าภาพยนตร์ได้หรอกครับ และด้วยความสัตย์จริงผมคิดว่ามัน (หนังมาร์เวล) คงเป็นได้แค่สวนสนุก เพราะหนังไม่ได้บอกเล่าเรื่องราวของมนุษย์ ไม่ได้เล่าถึงอารมณ์ ความคิดจิตใจของมนุษย์คนหนึ่งที่จะสื่อถึงมนุษย์อีกคนหนึ่งเหมือนกับสิ่งที่ภาพยนตร์ทำมาตลอดเลย” – Martin Scorsese
ไม่รู้ว่าสกอร์เซซีเตรียมรับกับแรงกระแทกหลังจากให้สัมภาษณ์กับ Empire Magazine อย่างไรบ้าง แต่ทันทีที่ให้สัมภาษณ์ก็เกิดคำวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงในโลกโซเชียล ฝ่ายของคนชื่นชอบภาพยนตร์ของมาร์เวลไม่พอใจมากกับคำสัมภาษณ์ของเขา บ้างกล่าวว่าสกอร์เซเซีเป็นคนโง่เง่าที่พยายามเอาตำราการสร้างภาพยนตร์มาอ้าง ภาพยนตร์ทั้ง 23 เรื่องของมาร์เวลมันคือภาพยนตร์ไม่ต่างกัน
ชาวเน็ตอีกคนกล่าวว่า ภาพยนตร์เป็นได้ทั้งความบันเทิงและกระตุ้นความคิด สกอร์เซซีอาจมองว่าหนังของเขาเป็นหนังที่ดี แต่การมาวิจารณ์ว่าหนังคนอื่นเป็นได้แค่สวนสนุกก็อาจจะแรงไปหน่อย ส่วนคนที่เห็นด้วยกับสกอร์เซซีก็ทวิตว่ารอดูดราม่าของแฟน ๆ มาร์เวลได้เลยเพราะพวกเขาโกรธง่ายเหมือนกับยักษ์เขียวก็มี
บทสัมภาษณ์อันร้อนแรงของเขาอาจไปกระทบใจใครหลายคนไม่ใช่แค่กับแฟนหนังของมาร์เวล เพราะผู้เขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Avengers และ Fantastic Four อย่าง Johnathan Hickman ทวิตข้อความล้อเลียนสกอร์เซซีว่า “ผมไม่ชอบกินปีกไก่สไปซี่ (สกอร์เซซี) ลองแล้วก็ไม่ชอบ เพราะมันคือไก่เผ็ด ๆ ชิ้นหนึ่งที่ไม่ใช่อาหาร มันก็แค่ทำให้ปากเผ็ดร้อน” หลายคนมองว่าเขาค่อนข้างไม่พอใจบทสัมภาษณ์ของผู้กำกับชื่อดังเอามาก ๆ
ผู้กำกับ James Gunn จากเรื่อง Guardians of the Galaxy ของมาร์เวลออกมาทวิตอย่างผิดหวังว่าเขาเป็นแฟนคลับของสกอร์เซซีมาโดยตลอด เคยว่าคนที่วิจารณ์หนังเรื่อง The Last Temptation of Christ (1988) ของสกอร์เซซีทั้งที่ยังไม่ได้ดูด้วยซ้ำ และมันน่าเศร้ามากเมื่อเขากำลังตัดสินหนังของผมโดยที่ยังไม่ได้ดูเหมือนกัน
นอกจากแฟนคลับ คนทำหนัง ตัวของนักแสดงในจักรวาลมาร์เวลหลาย ๆ คนก็ไม่พอใจกับคำพูดของสกอร์เซซีเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นนักแสดงผิวสีตัวพ่อผู้มีคำวลีติดปากว่า “Motherf***er” อย่าง Samuel L. Jackson รับบทเป็น Nick Fury ในหนังมาร์เวลหลายเรื่องให้สัมภาษณ์กับ Variety ถึงประเด็นดังกล่าวว่า “มันคงไม่ต่างอะไรกับเวลาได้ยินคนพูดว่าการ์ตูนเรื่อง Bugs Bunny ไม่ตลก หนังก็คือหนัง แถมไม่ใช่ว่าทุกคนจะชอบหนังของเขา (สกอร์เซซี) เสียเมื่อไหร่ แต่สุดท้ายทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง แต่คำวิจารณ์จะไม่ทำให้ใครเลิกทำหนังได้หรอก”
หลังจากเกิดกระแสร้อนแรงแถมเหล่าคนดังยังออกมาแสดงความคิดเห็นมากมายเกี่ยวกับบทสัมภาษณ์ของเขา สกอร์เซซีจึงเขียนบทความอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับกรณีของมาร์เวลบนหนังสือพิมพ์ New York Times ไว้ยาวเหยียดแต่เราสรุปใจความสำคัญของการชี้แจ้งครั้งนี้ให้กระชับขึ้น
“จากบทสัมภาษณ์ที่ถูกถามเรื่องหนังมาร์เวล หลายคนจับประเด็นท่อนสุดท้ายที่ว่าหนังมาร์เวลเหมือนกับสวนสนุกว่าเป็นการดูหมิ่น ผมยืนยันว่าไม่ได้เกลียดหนังของมาร์เวล แต่ถ้าใครจะคิดแบบนั้นก็คงห้ามไม่ได้
ภาพยนตร์คือการตีแผ่ความงามทางศิลปะ จิตวิญญาณ อารมณ์ของตัวละครอันซับซ้อน ทั้งความรู้สึกรัก รู้สึกเกลียด ความย้อนแย้งของมนุษย์ ภาพยนตร์จะทำหน้าที่ตีความทั้งหมดออกมาให้เป็นศิลปะซึ่งหนังบางเรื่องไม่มีสิ่งเหล่านี้ มีแค่การสร้างฉากอันน่าทึ่ง เอฟเฟกต์ตระการตาและจัดวางองค์ประกอบแล้วตัดต่อให้สมบูรณ์ แต่ขาดจิตวิญญาณ อารมณ์ ความเจ็บปวดหรือความรู้สึกรักที่เป็นสิ่งสำคัญของหนัง
ผมกังวลว่าเงินจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นและลดความสำคัญขององค์ประกอบภาพยนตร์ลง บางคนในวงการภาพยนตร์ไม่สนใจเรื่องศิลปะอีกต่อไปจนในที่สุดศิลปะสำคัญในหนังถูกลดให้เหลืออยู่ในพื้นที่เล็ก ๆ เท่านั้น”
พอได้อ่านแง่มุมของสกอร์เซซีมากขึ้น หลายคนค่อนข้างเข้าใจความคิดของผู้กำกับชื่อดังดีขึ้น เขาไม่ได้เกลียดมาร์เวล แต่มองว่าหนังของค่ายนี้ขาดอารมณ์ ไม่รู้สึกถึงความเสี่ยง อันตรายชวนลุ้น จึงเปรียบว่าเหมือนกับสวนสนุกที่ทำให้ผู้คนวิ่งเข้าไปเสพความบันเทิงจากเครื่องเล่นล้วน ๆ
ท้ายที่สุดนิยามของคำว่า “หนังเรื่องไหนจะสามารถเรียกว่าเป็นภาพยนตร์ได้เต็มปาก” มันขึ้นอยู่กับความคิดเห็นส่วนตัวของแต่ละคน เราสามารถวิจารณ์แลกเปลี่ยนกันด้วยเหตุผล แล้วคุณละครับ คิดว่าปัจจัยหรือองค์ประกอบอะไรบ้างที่จะทำให้หนังเรื่องหนึ่งเป็นภาพยนตร์ หรือว่าหนังมันก็คือหนัง ทุกเรื่องต่างก็มีคุณค่าในตัวเองที่ต่างไปกันแน่ ?
Cover photo: SOURCE