World

THE PROFILES: หมอปีศาจและโรงแรมวิปริตของ H.H. HOLMES ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของอเมริกา

By: TOIISAN February 3, 2020

สำหรับใครที่สนใจเรื่องราวของเหล่าฆาตกรต่อเนื่องมักจะเห็นเสมอว่าภูมิหลังส่วนใหญ่ของพวกเขาก็ไม่ต่างจากคนอื่น ๆ เท่าไรนัก แต่สิ่งที่ต่างอาจเป็นเรื่องของความอบอุ่นในครอบครัว ชีวิตวัยเด็กของฆาตกรในสหรัฐอเมริกาส่วนมากเติบโตมาจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงในบ้าน ไม่ก็มีพ่อแม่เคร่งศาสนา

อย่าง ฆาตกรตัวตลก JOHN GACY มีแม่ผู้เคร่งศาสนาที่เกลียดลูกชายตัวเองเพราะเขาตุ้งติ้งเหมือนเกย์ ส่วน EDMUND KEMPER อัจฉริยะผู้หลงใหลความตาย ก็โตมากับคำด่าทอและความรุนแรงที่รับจากพ่อมาตลอดช่วงชีวิตวัยเด็ก รวมถึง Henry Howard Holmes (เฮนรี่ โฮเวิร์ด โฮล์มส์) ชายที่โลกเรียกเขาว่า “ฆาตกรต่อเนื่องคนแรกของอเมริกา”

 

โฮล์มส์ผู้หลงใหลในกายวิภาคศาสตร์

โฮล์มส์ในวัยเด็กมีชีวิตจากครอบครัวทำเกษตรกรรมและปศุสัตว์ในรัฐนิวแฮมเชียร์ เขาสนใจเกี่ยวกับสรีระและชีววิทยามาตั้งแต่เล็ก เวลาว่างมักไล่จับสัตว์เล็กมาผ่าเพื่อดูอวัยวะภายใน บางครั้งก็จับสัตว์มาหักขาข้างหนึ่งและรอดูว่ามันจะเดินได้ไหมหรือตัดขาทิ้งแล้วจะเป็นอย่างไร เขาจึงถูกพ่อแม่เคร่งศาสนาตีด้วยไม้เรียวเสมอ บางครั้งก็ขังเขาไว้บนห้องใต้หลังคา ดังนั้นเขาจึงใช้เวลาว่างไปกับการประดิษฐ์สิ่งของต่าง ๆ แต่กลับไม่มีใครสนใจลูกคนที่สามของบ้านผู้เต็มไปด้วยอัจฉริยภาพ ครอบครัวของเขามองไม่เห็นพรสวรรค์เด็กผู้ชายนี้

โฮล์มส์วัย 19 ปี แต่งงานกับภรรยาคนแรกและมีลูกด้วยกันหนึ่งคน พอเข้าวัย 22 เขาตัดสินใจเขาเรียนคณะแพทย์และเฉิดฉายในชั้นเรียน จากปกติการเรียนแพทย์จะต้องใช้เวลาเรียน 6 ปี แต่โฮล์มส์กลับใช้เวลาเพียงแค่ 2 ปีก็เรียนจบ ทว่าชีวิตรักของเขากลับล้มเหลว เมียของเขาขอแยกกันอยู่โดยไม่ได้เซ็นใบหย่าเพราะโฮล์มส์เป็นชายที่มีอารมณ์รุนแรง ชอบใช้กำลัง

TIMELESS — “The World’s Columbian Exposition” Episode 110 — Pictured: (l-r) Abigail Spencer as Lucy Preston, Goran Visnjic as Garcia Flynn — (Photo by: Sergei Bachlakov/NBC)

เมื่อเข้าสู่ระบบการศึกษา Henry Howard Holmes ชื่นชอบการใช้ชื่อย่อว่า H.H. Holmes มากกว่า เขาคือหนุ่มอนาคตไกลที่ใคร ๆ ก็คิดว่าจะต้องประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแน่นอน จากคุณสมบัติที่ครบถ้วน ทั้งการเป็นบัณฑิตใหม่สาขาแพทยศาสตร์จากมหาวิทยาลัยในรัฐมิชิแกน ใบหน้าอันหล่อเหลา ยิ้มง่าย เป็นมิตร มีเสน่ห์จนสาว ๆ หลายคนหลงใหล หลังจากเรียนจบในปี 1884 โฮล์มส์วัย 24 ปี ได้ย้ายไปอยู่หลายเมืองทั้งนิวยอร์ก เพนซิเวลเนีย และท้ายที่สุดหมอโฮล์มตัดสินใจย้ายสำมะโนครัวไปอยู่เมืองแห่งสายลมอย่างนครชิคาโก 

เมื่อมาอยู่ชิคาโกตั้งแต่ปี 1886 หมอโฮล์มส์ประจำตำแหน่งเภสัชกรของร้านขายยาของ Everett Holton (เอเวอร์เรต โฮลตัน) ซึ่งเป็นธรรมเนียมของนายแพทย์สมัยนั้น ระหว่างที่เขาทำงานในร้านขายยา รูปลักษณ์และคุณสมบัติของเขาดึงดูดสาวน้อยใหญ่อยู่เป็นระยะ กระทั่งในที่สุดเขาก็ได้ตัดสินใจแต่งงานซ้อนครั้งที่สองกับหญิงสาวในเมือง

จากเภสัชกรที่โดนว่าจ้าง เพียง 2 ปีหลังจากเข้าทำงานเขาก็มีโอกาสเป็นเจ้าของร้านขายยาแบบส้มหล่น เนื่องจากเจ้าของร้านเสียชีวิตด้วยไข้พิษ ภรรยาเจ้าของเดิมที่ไม่มีความรู้ด้านการแพทย์ได้ตัดสินใจขายร้านนี้ให้โฮล์มส์ในราคาถูก ๆ แทน แน่นอนว่าเขาตอบรับข้อเสนอนี้ทันทีและซื้อด้วยการผ่อนจ่าย

 

ขณะที่โฮล์มส์กำลังใช้ชีวิตขาขึ้น ได้เป็นเจ้าของร้านขายยา อยู่ ๆ หญิงหม้ายโฮลตันก็หายหน้าหายตาไปจากชุมชน ชาวบ้านทยอยแวะเวียนมาถามหมอโฮล์มส์ว่าเธอหายไปไหน พวกเขาต่างได้รับคำตอบเหมือนกันว่าเธอไปเยี่ยมญาติที่แคลิฟอร์เนีย และน่าจะนานพอดูทีเดียวกว่าเธอจะกลับมาอีกครั้ง หรือบางทีเธออาจไม่กลับมาอีกเลย พร้อมกับเล่าว่าเขากำลังเก็บหอมรอมริบซื้อพื้นที่อื่นเพิ่มเติมเพื่อสร้างโปรเจกต์ใหม่ในฝันขึ้น โดยไม่มีใครล่วงรู้ว่าโปรเจกต์นี้คือโปรเจกต์วิปริตที่มีไว้ล่าชีวิตของคนในเมือง

ไม่นานนักพื้นที่ขนาดกำลังดีก็อยู่ในกำมือของหมอโฮล์มส์ เขาตัดสินใจเปลี่ยนตึกแถวธรรมดาให้กลายเป็นโรงแรมหรู ผู้คนที่พบเห็นต่างชื่นชมความสามารถของเขาว่านอกจากจะเป็นหมอรักษาคน ขายยาได้ ก็ยังมีหัวเรื่องการตลาดและการลงทุนอีก ทุกคนให้กำลังใจหมอที่กำลังจะเป็นนักธุรกิจป้ายแดง หลายคนถึงกับเอ่ยปากว่าหากโรงแรมสร้างเสร็จเมื่อไหร่จะเข้าพักแน่นอน

เรื่องประหลาดเริ่มต้นเกิดขึ้นในหมู่ผู้รับเหมา ผู้คนสังเกตว่าทีมช่างที่สร้างโรงแรมผลัดกันเปลี่ยนหน้ามาทำงานไม่ซ้ำกัน เมื่อถามหมอโฮล์มส์ก็ได้ความว่าข้อตกลงระหว่างเขากับผู้รับเหมาไม่ค่อยลงตัว พวกช่างจึงทิ้งงานกลางคันและเขาก็ต้องวิ่งหาทีมช่างใหม่มาสานต่อโปรเจกต์ของตัวเอง หรือบางทีสิ่งที่ช่างทำก็ผิดจากบรีฟแปลนที่เขาต้องการ การเปลี่ยนทีมไปเรื่อย ๆ ทำให้แปลนทั้งหมดของโรงแรมจึงกลายเป็นปริศนา ไม่มีใครรู้ว่าด้านในโรงแรมทั้งหมดซ่อนอะไรไว้บ้างยกเว้นหมอโฮล์มส์เพียงคนเดียว

ระหว่างนี้ล็อตคลอโรฟอร์มจำนวนมากถูกสั่งเข้ามาในร้านขายยา ตัวแทนจำหน่ายตั้งคำถามว่าทำไมเขาจึงต้องการยาสลบมากนัก สิ่งที่เภสัชฯ หนุ่มตอบกลับไปเวลานั้นคือลูกค้าของเขามีความเครียดสูง และหลายคนกำลังมีปัญหาเรื่องโรคนอนไม่หลับอยู่

 

ยินดีต้อนรับสู่โรงแรม THE WORLD’D FAIR

Exterior of H.H. Holmes’ “castle” on 63rd Street, Chicago.

ในที่สุดโรงแรมของหมอโฮล์มส์ก็แล้วเสร็จ โรงแรมใหม่ของชิคาโกมีชื่อว่า The World’s Fair Hotel เป็นอาคาร 3 ชั้น 4 คูหา จำนวน 35 ห้อง สร้างเสร็จก่อนงานนิทรรศการใหญ่ World Fair Chicago 1983 ครบรอบ 500 ปีที่โคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกาจะเริ่มขึ้น หลายคนคงคาดเดาได้ทันทีว่า หมอโฮล์มตั้งใจวางแผนสร้างโรงแรมเพื่อรองรับผู้คนทั่วโลกแห่แหนมายังชิคาโก เพราะทำเลโรงแรมอยู่ห่างจากสถานที่จัดงานเพียงแค่ 4.8 กิโลเมตรเท่านั้น แต่วิธีการจัดการกับผู้คนที่เข้ามาพักนั้นเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการถึง

Getty Image

หลายเดือนที่มีงาน World Expo ผู้คนจำนวนมากแวะเวียนมาใช้บริการห้องพักระยะสั้นของหมอโฮล์มจำนวนมากโดยเฉพาะหญิงสาวที่เดินทางคนเดียว เขามักแวะไปงานนิทรรศการและชักชวนนักท่องเที่ยวผู้หญิงมาพัก ด้วยบุคลิกแสนภูมิฐานและเป็นมิตร หญิงสาวส่วนใหญ่วางใจและสนใจเข้าพักโรงแรมเขาจำนวนไม่น้อย แม้มีเหล่าสุภาพบุรุษหลายคนแจ้งความประสงค์จะเข้าพักในโรงแรม The World’s Fair แต่ส่วนใหญ่ก็ต้องผิดหวังเพราะห้องพักมักจะเต็มอยู่ตลอดเวลา 

โรงแรม 35 ห้อง ของหมอโฮล์มส์มีดีไซน์แปลกไม่เหมือนกับโรงแรมอื่น ๆ บางห้องพักเปิดประตูเข้าไปจะพบกับห้องโล่ง ๆ ไม่มีห้องน้ำ (หากนึกภาพไม่ออกลองนึกถึงห้องพักรูหนูของญี่ปุ่น) บางห้องผนังและกำแพงทำจากแผ่นเหล็กร้อนได้ หมอโฮล์มส์บอกกับผู้เข้าพักว่านี่คือสิ่งที่คิดอย่างพิถีพิถันเตรียมไว้สำหรับฤดูหนาว แต่ยังมีห้องพักพิสดารไม่มีประตูที่ถ้าจะเข้าไปพักต้องเดินขึ้นไปอีกชั้นหนึ่งและลงบันไดลิงที่หย่อนลงมาจากช่องเล็ก ๆ แถมยังมีห้องพักที่มีสามประตูอีกด้วย แต่น่าแปลกมากที่แม้ไม่มีคำตอบใดอธิบายได้สมเหตุสมผล​ กลับไม่มีใครติดใจสงสัยอะไรเกี่ยวกับโรงแรมแห่งนี้

ในเวลาเพียงไม่กี่เดือนชาวเมืองชิคาโกก็ต้องพบกับเรื่องประหลาดจากจำนวนคนหายที่พุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนน่าแปลกใจ​ พ่อแม่ของหญิงสาวคนหนึ่งที่เดินทางคนเดียวแล้วเข้าพักในโรงแรม The World’s Fair เขียนจดหมายมาหาหมอโฮล์มส์เพื่อถามว่าเห็นลูกสาวของพวกเขาครั้งล่าสุดเมื่อไหร่ เพราะเธอบอกว่าจะมางาน World Expo แต่ยังไม่กลับบ้านสักที หมอโฮล์มส์ทำได้เพียงแสดงความเห็นใจและตอบกลับไปว่าลูกสาวของพวกเขาเช็กเอาต์ออกไปแล้ว 

หมอโฮล์มส์เคยบ่นกับชาวบ้านในชุมชนว่าลูกจ้างหลายคนของเขาก็หายไปตัวอย่างไร้ร่องรอย เหลือก็แต่ชายร่างใหญ่ที่เป็นลูกน้องมือขวากำลังเข้าบำบัดอาการติดสุราเรื้อรังชื่อว่า Benjamin Pitezel (เบนจามิน พีทเซล) เท่านั้น 

เมื่องาน Expo สิ้นสุดลง​ จำนวนแขกที่เข้าพักในโรงแรมเริ่มลดจำนวน เขาก็ไม่ยอมแพ้ต่อความซบเซา​ เคราะห์ซ้ำ​กรรมซัด​ โรงแรม​ 35 ห้องยังเกิดเพลิงไหม้เสียจนสภาพดูไม่ได้ แต่หมอโฮล์มส์ก็ยังยิ้มได้กับการสูญเสียครั้งใหญ่เพราะเขาทำประกันอัคคีภัยให้โรงแรมตัวเองเป็นจำนวนมาก และหลังจากเหตุการณ์นี้ชาวเมืองก็ไม่พบหมอโฮล์มส์อีกเลย

 

ความแตก 

ก่อนหน้านี้หมอโฮล์มส์แต่งงานครั้งที่สองแต่เขาก็ยังมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับผู้หญิงคนอื่นอยู่เรื่อย ๆ เขาเคยแอบคบกับ Minnie Williams (มินนี่ วิลเลียมส์) นักแสดงปลายแถวจากบอสตัน หมอโฮล์มส์ชอบมินนี่เพราะเธอเป็นทายาทตระกูลอสังหาริมทรัพย์ชื่อดัง มีบ้านและที่ดินเยอะมากในรัฐเท็กซัส เขาพยายามจีบมินนี่โดยบอกว่าตัวเองมีโรงแรมแถมกำลังอยากได้เลขาส่วนตัวพร้อมจ่ายค่าจ้างราคาสูง

มินนี่เขียนพินัยกรรมทั้งหมดมอบให้ Alexander Bond (อเล็กซานเดอร์ บอนด์) ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของหมอโฮล์มส์เพื่อไม่ให้บริษัทประกันสงสัย โดยหญิงสาวไม่ติดใจสงสัยอะไรเพราะรักผู้ชายคนนี้มาก แต่สิ่งที่ทำให้หมอโฮล์มส์ไม่ชอบใจนักคือมินนี่มีน้องสาวชื่อ Nannie Williams (แนนนี่ วิลเลียมส์) อยู่ที่บอสตัน และถ้าอยู่ ๆ มินนี่เสียชีวิตสมบัติของเธอต้องแบ่งให้น้องสาวด้วย

Nannie and Minnie Williams

หมอโฮล์มส์จึงตัดสินใจเขียนจดหมายไปยังแนนนี่เพื่อบอกให้เธอมาเยี่ยมเยียนพี่สาวที่โรงแรมของเขา เมื่อเธอมาตามนัดหมอโฮล์มส์จับแนนนี่ขังไว้ในห้อง สาดน้ำกรดใส่เธอจนตายแล้วค่อยสังหารมินนี่ชู้รักผู้ร่ำรวยของเขา

ไม่มีใครรู้ว่าทำไมหมอโฮล์มส์ถึงอยากได้เงินจำนวนมหาศาล ไม่มีใครรู้ว่าเขาจะเอาเงินไปทำอะไรมากมาย หลังจากรับมรดกจากมินนี่ เขาเผาโรงแรมตัวเองเพื่อเอาเงินประกันอัคคีภัยจำนวนมากที่ทำไว้กับบริษัทประกัน แต่บริษัทประกันพบความผิดปกติตั้งแต่ช่วงที่เขาเป็นนักศึกษาแพทย์ จึงตัดสินใจร่วมมือกันมาตรวจสอบคดีเพลิงไหม้ของโรงแรม The World’s Fair พบว่ามีการวางเพลิงแบบผิดธรรมชาติถึงเจ็ดจุดด้วยกัน และผลของเรื่องนี้คือหมอโฮล์มส์ต้องเสียโรงแรมไปฟรี ๆ โดยไม่ได้เงินสักเหรียญจากการทำประกันอัคคีภัย

หลังชวดเงินประกันจากเหตุเพลิงไหม้โรงแรม หมอโฮล์มส์ตัดสินใจย้ายไปยังรัฐเท็กซัสเพื่อรับมรดกที่มินนี่ทิ้งเอาไว้พร้อมกับเมียใหม่คนที่สาม  เขาวางแผนจะสร้างโรงแรมอีกครั้งแต่โรงแรมแห่งใหม่นี้จะต้องใหญ่กว่าเดิม รับผู้เข้าพักได้มากขึ้น รอบคอบรัดกุมกว่าเดิม แต่เขากลับโดนตำรวจรัฐเท็กซัสจับในข้อหาลักขโมยเสียก่อน

ตอนติดคุกระยะเวลาสั้น ๆ หมอโฮล์มส์มีเพื่อนสนิทเป็นนักโทษหนึ่งคน ชายคนนี้เป็นอาชญากรชื่อกระฉ่อน Marion Hedgepeth (มาริออน เฮ็ตพีช) ก่อคดีดัง ๆ มาเยอะจนต้องติดคุก 25 ปี แถมนักโทษคนนี้ยังหน้าตาหล่อเหลา เป็นที่รู้จักของนักโทษคนอื่น ๆ ในคุก ไม่รู้อะไรดลใจหมอโฮล์มส์ หรือเขาอาจรู้สึกยอมไม่ได้เลยเล่าให้เพื่อนฟังว่าตัวเองทำอะไรมาบ้าง โดยเริ่มเล่าสารพัดวีรกรรมโลดโผนของตัวเองตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาแพทย์

Marion Hedgepeth and H.H. Holme

เขาเผยเรื่องเล่าหมดเปลือกตั้งแต่สมัยเรียนที่เขาชอบขโมยร่างอาจารย์ใหญ่ในมหาวิทยาลัยกลับมาหอพัก ตอนแรกเขานำศพกลับมาเพราะต้องการฝึกฝนช่วงใกล้สอบ ต่อมาเขานำร่างอาจารย์ใหญ่มาสะสมไว้ในห้องตัวเองมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาทั้งศึกษาและทำการทดลองกับร่างกายมนุษย์ แต่ใครจะคิดว่านักศึกษาแพทย์หนุ่มงบน้อยที่มีรสนิยมส่วนตัวสุดแปลก ​เกิดปิ๊งไอเดียบรรเจิดหายรายได้ขึ้นระหว่างหมกมุ่นกับมัน

นักศึกษาแพทย์โฮล์มส์ใช้ร่างไร้วิญญาณหาเงินด้วยการจัดฉากว่าคนตายเหล่านี้เขียนประกันชีวิตไว้ให้เขา บางร่างถูกเผาจนจำรูปพรรณไม่ได้ บางร่างก็ถูกทำให้หน้าเละ จากนั้นจึงสร้างประกันชีวิตปลอมขึ้นมาโดยลงชื่อตัวเองว่าเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์ และกระจายความเสี่ยงด้วยการใช้บริษัทประกันหลายเจ้า ผลคือเขาทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำตั้งแต่ยังคงเป็นนักศึกษาแพทย์เท่านั้น

นอกจากนี้ก่อนมาทำงานประจำอยู่ร้านยาที่ชิคาโก เขาเคยเป็นคนขายยาอยู่ในฟิลาเดลเฟียมาก่อนและจ่ายยาให้เด็กชายคนหนึ่งกินแล้วเสียชีวิต หมอโฮล์มส์ไม่ยอมรับว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายครั้งนี้จึงเก็บกระเป๋าหนีมายังชิคาโก ที่สำคัญนอกจากเภสัชฯ เขายังเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงพยาบาลจิตเวชแห่งหนึ่งมาก่อนอีกด้วยทว่าโดนคดีโกงเงินจนโดนไล่ออก 

เขาโม้ว่าโรงแรมที่สร้างขึ้นมีไว้เพื่อสังหารโดยเฉพาะ เหตุที่เขาเปลี่ยนผู้รับเหมาบ่อยไม่ใช่เพราะหัวหมออยากเบี้ยวค่าจ้างอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขายังไม่อยากให้ใครรู้แปลนทั้งหมด และเหตุผลที่ห้องพักในโรงแรมแต่ละห้องออกแบบไว้ให้ต่างกันนั้นมีไว้สำหรับเป็นห้องเชือด

hollycarden

ห้องพักหลายห้องถูกออกแบบให้ไม่มีหน้าต่างเพราะเขาใช้เป็นห้องรมควันผู้เข้าพัก​ ห้องพักที่ไม่มีห้องน้ำบีบให้ต้องใช้ห้องน้ำรวม ผู้เข้าพักต้องถามทางไปห้องน้ำจากหมอโฮล์มส์และปลายทางที่พวกเขามุ่งไปจะไม่ใช่ห้องน้ำอย่างหวังแต่มันเป็นห้องปิดตายไร้ทางออก

บางห้องไม่มีประตูเข้า ต้องขึ้นไปอีกชั้นลงบันไดลิงลงมา บางห้องมีสามประตูเป็นประตูหลอก มีประตูกับดักหนามลงมาทับ แม้จะแปลกแต่ก็มีห้องที่ปกติเหมือนโรงแรมอื่น มีประตู มีหน้าต่าง และมีรูเล็ก ๆ ซ่อนไว้ในมุมที่แขกไม่เห็นเพื่อจับตาดูเหยื่อผ่านรู จากนั้นประตูจะล็อกจากด้านนอก ผู้เข้าพักที่อ่อนล้าจะนอนหมดเรี่ยวแรงอยู่บนเตียงเหมือนลูกไก่ในกำมือ กระทั่งหมอโฮล์มส์เปิดประตูมาซ้อม ทรมาน นั่งคุยในวาระสุดท้ายว่ารู้สึกอย่างไรจากนั้นค่อยสังหาร ส่วนกำแพงเหล็กที่เคยกล่าวว่ามีไว้เพิ่มความอบอุ่นนั้นแท้จริงคือเครื่องมือย่างสด 

ทุกห้องมีสิ่งหนึ่งเหมือนกันคือระบบเก็บเสียงที่ยอดเยี่ยม เสียงกรีดร้องไม่สามารถเล็ดลอดออกไปสู่นอกอาคาร เมื่อเหยื่อกรีดร้องตัวเขามักยืนอยู่หน้าประตูและช่วยตัวเองเพราะเสียงทรมานของพวกเธอมันเร้าอารมณ์ทางเพศเขาอย่างยิ่ง แน่นอนว่าประสิทธิภาพของห้องเก็บเสียงที่เขาสู้อุตส่าห์ลงทุนนั้นดีเกินคาด ทำให้โรงแรมหัวมุมถนนแห่งนี้ไม่เคยมีใครได้ยินเสียงกรีดร้องทรมานของเหยื่อเลยสักครั้ง

ร่างมีชีวิตและร่างไร้ชีวิตที่โชคร้ายจะถูกพาไปยังห้องลับใต้ดินขนาดใหญ่ที่มีทางเข้าอยู่ในห้องน้ำของห้องแห่งหนึ่งบนชั้นสอง ซึ่งต้องขยับโถส้วมแล้วจะเจอประตูลับ บางคนยังไม่ตายจากการรมควันจะถูกพามายังห้องใต้ดินที่มีเตียงวางศพจำนวนมาก ฆาตกรหนุ่มหัวการค้าไม่เพียงได้เงินค่าเช่าที่พัก ได้สนุกกับเหยื่อ หลังตายแล้วเขายังใช้ประโยชน์ได้ยันกระดูก โดยนำกระดูกเหล่านั้นมาฟอกขาวแล้วนำไปต่อเป็นโครงโมเดลเพื่อไปขายให้โรงเรียนแพทย์ในราคา 200 เหรียญ (ประมาณ 6,000-7,000 เหรียญในปัจจุบัน) 

นอกจากเล่าวิธีที่เขาทรมานเหยื่ออย่างทารุณ เขายังโม้ให้เพื่อนฟังอีกว่าเขามักสังหารลูกจ้างของตัวเองด้วยเพราะไม่อยากจ่ายเงินเดือน แต่บอกชาวบ้านว่าเขาก็รับผลกระทบจากเรื่องคนหายด้วยเหมือนกัน แถมก่อนจะฆ่าลูกจ้างทุกคนถูกหมอโฮล์มส์บังคับให้ทำประกันชีวิตและเขียนชื่อของเขาในช่องผู้รับผลประโยชน์ กำไรเห็น ๆ เพราะไม่ต้องจ่ายเงินเดือนแถมยังได้เงินประกันจากคนพวกนี้อีก 

ทั้งสองคนสนิทกันจนปรึกษาว่าถ้าเขาออกจากคุกเขาจะทำเหมือนเดิม แต่จะแกล้งว่าตัวเองตาย เปลี่ยนเป็นคนอื่นเพื่อเอาเงินประกันตัวเองจำนวน 10,000 เหรียญ (296,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน) ใช้วิธีให้เพื่อนหาทนายเก่ง ๆ ได้จะแบ่งเงินให้ 500 เหรียญ ซึ่งเพื่อนในคุกคนใหม่ของหมอโฮล์มส์ก็รับข้อเสนอน่าสนใจนี้ 

 

หมอลวงโลกที่ถูกเรียกว่าฆาตกรต่อเนื่องคนแรก

เมื่อหมอโฮล์มส์ออกจากคุกเขาเริ่มแผนการที่วางไว้ทันที เขาแกล้งพร้อมกับเขียนพินัยกรรมโอนเงินให้ตัวเองที่ใช้ชื่อปลอม แต่เหมือนว่าบริษัทประกันรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมเขาแล้วจึงไม่ยอมจ่ายเงิน หมอโฮล์มส์เลยต้องเปลี่ยนแผนกะทันหันโดยให้ Benjamin Pitezel (เบนจามิน พีทเซล) มือขวาของเขาแกล้งตายแทน

พวกเขาตกลงกันว่าจะให้เบนจามินทำประกันชีวิต ให้ครอบครัวมาชี้ศพจากนั้นค่อยแบ่งเงินกัน เบนจามินอยากได้ส่วนแบ่งเยอะกว่าหมอโฮล์มส์เพราะเขาต้องหลบหน้าสังคมไปพักหนึ่ง แถมครอบครัวเขาก็มีสมาชิก ซึ่งหมอโฮล์มส์ก็ตอบตกลงและให้เบนจามินไปหลบที่ลอนดอน จากนั้นก็เริ่มหาศพรูปร่างใกล้เคียงกับเบนจามิน 

H.H. Holmes สังหารลูกชายของ Benjamin

ทุกอย่างเหมือนจะดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เบนจามินกลับรู้สึกลังเลกับแผนนี้เพราะครอบครัวของเขาต้องมาเกี่ยวข้องกับการลวงโลกครั้งนี้ด้วย เขาตัดสินใจขอถอนตัวแต่หมอโฮล์มส์บอกให้กลับไปคิดใหม่แล้วค่อยมาคุยกันพรุ่งนี้ สุดท้ายหมอโฮล์มส์มอมเหล้าเบนจามินและเอาน้ำมันเบนซินราดบนตัวเผาทั้งเป็น หักหลังมือขวาของตัวเองเพราะอยากได้เงินประกันชีวิต 

เมื่อเรื่องถึงบริษัทประกันและพวกเขาตรวจสอบพบว่าคนตายเกี่ยวข้องกับหมอโฮล์มส์อีกครั้งก็ไม่ยอมจ่ายเงิน หมอโฮล์มส์จึงเอาทนายจากเพื่อนในคุกมาสู้คดี วานให้ลูกสาวคนรองของเบนจามินมาชี้ศพ แต่ก่อนจะมาชี้ตัวเขาข่มขืนเด็กสาวก่อนเพื่อแบล็กเมล์และขู่ให้เด็กสาวยอมทำตาม

H.H. Holmes สังหารลูกชายของ Benjamin ด้วยการยัดใส่กล่องแล้วรมควัน

สุดท้ายทุกอย่างเป็นไปตามแผน หมอโฮล์มส์ได้เงินก้อนใหญ่แต่ไม่ยอมแบ่งครอบครัวเบนจามิน ไม่แบ่งให้เพื่อนนักโทษในคุก ไม่จ่ายค่าทนาย ออกอุบายหลอกให้ครอบครัวของเบนจามินแบ่งเป็นสองกลุ่มเดินทางทั่วอเมริกาแล้วค่อยไปลอนดอน เขาเริ่มต้นฆ่ากลุ่มแรกที่เป็นลูกสามคน เผาเด็กผู้ชายทั้งเป็น ลวงเด็กผู้หญิงสองคนให้เข้าไปอยู่ในกล่องไม้และรมควันพวกเธอขาดอากาศหายใจเสียชีวิตแล้วค่อยเอาศพฝังไว้ใต้ถุนบ้าน จากนั้นก็วางแผนฆ่าครอบครัวที่เหลือของเบนจามิน

มาริออนที่โดนเบี้ยวเงิน 500 เหรียญเอาแผนการทั้งหมดของหมอโฮล์มส์มาเล่าให้ตำรวจฟัง ทั้งเรื่องโรงแรม การฉ้อโกง ฆาตกรรม และเรื่องหลอกเอาเงินประกัน ทำให้ตำรวจเริ่มตามสืบจากเมียเก่าแต่ละคนของเบนจามิน ไล่ตามบ้านหลายหลังในเท็กซัสจนเจอศพลูกชายคนแรก และตามสืบจนเจอศพลูกสาวอีกสองคนที่บ้านแห่งหนึ่งในโตรอนโต ประเทศแคนาดา สุดท้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับหมอโฮล์มส์ได้แต่เขารับสารภาพแค่คดีโกงเงินประกันเท่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อมั่นว่าหมอโฮล์มส์ไม่ได้มีแค่คดีฉ้อโกงเพียงคดีเดียวแน่นอน พวกเขาจึงสืบไปเรื่อย ๆ และพบว่านายแพทย์คนนี้ถือครองกรรมสิทธิ์โรงแรมที่ไหม้ไปแล้วในชิคาโกจริง ๆ ตามที่มาริออนอ้าง พอเข้าไปตรวจสอบในโรงแรมก็พบทางเดินที่ซับซ้อนเหมือนเขาวงกต เจอเครื่องทรมาน พบห้องใต้ดินที่ถูกใช้เป็นห้องชำแหละ มีทั้งบ่อน้ำกรดที่ยังมีซากศพหลงเหลืออยู่ ทั้งหมดทำให้ตำรวจสรุปได้ว่าหมอโฮล์มส์เป็นฆาตกรอย่างแน่นอน 

สุดท้ายโฮล์มส์ยอมรับกับเจ้าหน้าที่ว่าฆ่าคนไปทั้งหมด 27 ศพ แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่เชื่อ เพราะช่วงเวลาที่มีงาน World Expo มีคนหายตัวไปหลังจากเดินทางมายังชิคาโกหลายร้อยคน ซากโครงกระดูกที่พบก็มีมากกว่า 27 ร่าง โดนคาดว่าราว 200 กว่าราย แต่โฮล์มส์ทำให้การสืบสวนคดียากยิ่งขึ้นเพราะบางวันเขาก็บอกตำรวจว่าฆ่าคนไป 9 ราย อีกวันหนึ่งก็บอกว่าไม่ได้ฆ่าใครเลย ถัดมาอีกวันก็บอกว่าฆ่าคนชื่อนี้แต่พอไปสืบก็พบว่าคนที่บอกไม่ได้ถูกฆ่าแต่ป่วยตาย เขาพูดจามั่วซั่วเพราะอยากปั่นหัวพวกตำรวจ

คดีที่มีทีท่าว่าจะยืดเยื้อจบลงด้วยสำนักข่าวที่อยากตีพิมพ์ข่าวนี้ก่อนใคร การก่อเหตุของโฮล์มส์สร้างความสนใจให้กับผู้คนทั่วทั้งอเมริกาและนักข่าวก็อยากตีพิมพ์เรื่องของโฮล์มส์ก่อนสำนักข่าวอื่น ทีมข่าวตกลงจ้างให้โฮล์มส์สารภาพความจริงทุกอย่างกับตำรวจด้วยเงิน 7,500 ดอลลาร์ (230,000 ดอลลาร์ในปัจจุบัน) และแน่นอนว่าชายที่ขี้งกอย่างโฮล์มส์ตอบตกลงและยอมให้การกับเจ้าหน้าที่

ว่ากันว่าที่เขายอมรับเงินและสารภาพเป็นเพราะเขาอยากได้เงินจำนวนมากเพื่อติดสินบนผู้คุม โฮล์มส์รู้ตัวว่าจะต้องโดนประหารชีวิตแน่นอนเขาจึงพยายามหาทางออก แต่ท้ายที่สุดหมอวิปริตก็ได้รับโทษแขวนคออยู่ดี มีบันทึกระบุว่าวันที่เขาต้องถูกแขวนคอ โฮล์มส์ไม่มีท่าทีวิตกกังวล เขาสงบนิ่งและแจ้งความประสงค์ครั้งสุดท้ายกับเจ้าหน้าที่ว่าให้ขุดหลุมฝังเขาลึก 10 ฟุต ถมด้วยคอนกรีตเพื่อไม่ให้ใครขุดศพเขามาชำแหละอีกครั้ง น่าแปลกที่ชายผู้ชอบชำแหละศพเกิดกลัวว่าจะมีใครเอาร่างตัวเองไปผ่าบ้าง

เมื่อโฮล์มส์โดนประหารชีวิต เขากลายเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่ถูกบันทึกไว้คนแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องราวของเขาถูกเล่าขานต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน แถมยังมีคนเชื่อว่าโฮล์มส์ที่อยู่ในหลุมศพลึก 10 ฟุตอาจไม่ใช่ตัวเขาจริง ๆ โฮล์มส์อาจติดสินบนผู้คุมสำเร็จและคนที่ถูกแขวนคออาจไม่ใช่นักโทษแพะ จนในปี 2017 เหล่าทายาทผู้สืบเชื้อสายเดียวกับโฮล์มส์ต้องขุดศพขึ้นมาพิสูจน์ และพบว่าผล DNA ตรงกับลูกหลานของเขา ยืนยันการปิดตำนานฆาตกรโรคจิตที่สังหารคนไปเกือบ 200 ราย

 

SOURCE: 1 / 2 / 3 / 4

TOIISAN
WRITER: TOIISAN
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line