Life

THE REAL : “JEFF SATUR” กับชีวีตที่ไร้ขอบเขต UNLOCK ทุกข้อจำกัดเพื่อค้นหาความหมายของความแตกต่าง

By: JEDDY June 17, 2022

เป็นที่ทราบกันว่าในเดือนมิถุนายนของทุกปีมันได้ถูกเลือกให้เป็น “Pride Month” เพื่อเฉลิมฉลองความหลากหลายทางเพศหรือ “LGBTQIA+” เป็นการสะท้อนอิสระความเป็นตัวเองที่ไม่ยึดติดแค่เพศเท่านั้น และด้วยความเปิดกว้างในยุคปัจจุบันทำให้เราได้เห็นซีรีส์วาย (ชายรักชาย) ออกมาให้ชมกันมากมาย ได้รับการตอบรับที่ดีจากทุก ๆ กลุ่มเพศ ตัวอย่างเช่น “KinnPorsche The Series” ที่กำลังได้รับความนิยมอยู่ในตอนนี้ ซึ่งหนึ่งในตัวละครที่โดดเด่นมาก ๆ คือ “คิม” ลูกชายคนเล็กที่เติบโตในตระกูลมาเฟียแต่ก็มีความรักในเสียงดนตรี รับบทโดย “เจฟ ซาเตอร์” ที่ในชีวิตจริงเขาคือศิลปิน/นักดนตรี มีผลงานเพลงมาแล้วมากมาย

ด้วยความสามารถอันหลากหลายทำให้เรารู้สึกอยากที่จะทำความรู้จักตัวตนของเขาให้มากยิ่งขึ้น เพื่อค้นหาคำตอบว่าบทบาทหน้าที่ทั้งในฐานะศิลปินและนักแสดงได้ Unlock อะไรให้กับเจฟ ซาเตอร์ และจะเพิ่มมุมมองอะไรให้กับความคิดของทุก ๆ คนกันบ้าง มาทำความรู้จักไปพร้อม ๆ กันเลยครับ


เน้นเล่น ไม่เน้นเรียน

เจฟ ซาเตอร์ เป็นคนที่สมองซีกขวาถูกใช้งานเป็นหลักมาตั้งแต่วัยเด็ก เพราะเขามักจะสนใจการทำกิจกรรมภายนอกมากกว่าการเข้าห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นการเล่นคาราเต้, เทนนิส และแน่นอนมันรวมไปถึงการเล่นดนตรีด้วย

“ผมเป็นคนที่เรียนห่วยมาก ๆ เกรดเฉลี่ยตอน ม.ต้น จำได้ว่า 0.91 ครับ ไม่ตั้งใจเรียนเลย ไม่รู้สึกว่าชอบการเรียน แล้วพอช่วง ม.ปลาย ก็ยังเหมือนเดิม แต่เกรดพอได้หน่อยคือได้ 2 กว่า ๆ เแล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่ได้อยากจะเรียนเหมือนเดิม แต่ทุกวันเราจะถือกีตาร์ไปโรงเรียนแล้วนั่งเล่นหลังห้องหรือหลังเลิกเรียนทุกวัน เล่นจนกีตาร์คอหักเลย แล้วเราก็มีความฝันอยู่คนเดียวว่าซักวันจะได้ทำสิ่งที่ตัวเองชอบคือการเป็นศิลปินครับ”

แล้วในสายตาของเพื่อน ๆ กับอาจารย์มองเราแบบไหน?

“ด้วยความที่ห้องผมเป็นห้องศิลป์ภาษาจีน ทุกคนก็เป็นฟีลเด็กศิลป์กันอยู่แล้ว เขาก็เลยไม่ได้มองเราแปลก ทุกคนก็เอนจอยกับเรา ผมจำได้ช่วง ม.ปลาย เราเป็นห้องที่รักกันมาก เล่นดนตรีบางทีทุกคนก็มาล้อมวงกัน อาจารย์ก็ชิลล์ตอนนั้น ผมว่ามันก็ดีนะ มันก็เหมือนเป็นแรงบันดาลใจในช่วงวัยเด็กให้เรารู้สึกได้รับความรักจากเพื่อน ๆ ในห้อง”


จุดเริ่มต้นการเล่นกีตาร์

มาจากเพลงเมทัล

แม้ว่าผลงานเพลงของเจฟ ซาเตอร์ จะมาแบบสไตล์ Easy Listening ฟังง่ายได้ทุกทาร์เกต แต่ความจริงแล้วเจฟได้รับพื้นฐานการเล่นกีตาร์มาจากเพลงสายหนักหน่วงอย่างเมทัล ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากทั้งเพื่อนและอาจารย์

“ช่วง ม.1 มีเพื่อนคนหนึ่งย้ายมาจากน่าจะเป็นโรงเรียนอินเตอร์ เขาก็จะรู้ว่าตอนนั้นเขาฮิตฟังอะไรกัน แล้วก็เอา Slipknot, Metallica, Dream Theater, X-Japan แล้วก็วงที่เราไม่เคยรู้จักมาก่อนมาให้ฟัง ซึ่งพอเราเริ่มฟังก็เลยเริ่มที่จะไปฝึกกีตาร์ เริ่มอยากฟอร์มวงกับเพื่อน

ตอนแรกก็มีแค่เรากับเพื่อนที่เล่นกีตาร์ ส่วนเราก็เล่นกีตาร์และร้องไปด้วย หลังจากนั้นก็ไปหาเพื่อนในห้องมาเล่นดนตรีกัน ไปเอาเด็กเรียนมาตีกลอง เพื่อนที่อยู่คนละกลุ่มมาเล่นเบส ก็ฟอร์มวงเล่นดนตรีกันแบบไม่ได้จริงจัง

ตอนนั้นเล่นเพลงของ Linkin Park แล้วก็อยากเล่น X-Japan แต่ไม่รู้จะมีใครฟังหรือเปล่า เพราะส่วนมากเขาฟังเพลงป๊อปกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งจำได้ว่าเล่นเพลง ‘ฤดูร้อน’ ของ Paradox คือมันร็อกสุดแล้วสำหรับในโรงเรียนครับ”

หลังจากนั้นเจฟได้มีโอกาสไปเรียนกีตาร์เพิ่มเพื่ออัพสกิลกับมือกีตาร์วง Melodius Diete แถมยังได้เปิดโลกให้ไปรู้จักแนวดนตรีเพาเวอร์ เมทัล เช่นวง Angra และก็เป็นแนวดนตรีนี้ที่ทำให้เจฟได้ฝึกร้องเสียงสูง ซึ่งกลายเป็นอีกหนึ่งพื้นฐานเทคนิคการร้องเพลงมาจนถึงปัจจุบัน

อย่างไรก็ตามแม้เจฟจะฝึกกีตาร์มาจากเพลงแนวเมทัล แต่การฝึกร้องเพลงจริงจังของเขาดันมาจากเพลง “Fly Me To The Moon” ผลงานเพลงแจ๊ซสุดคลาสสิคที่ถูกทำให้โด่งดังโดย Frank Sinatra และยังเป็นเพลงที่คุณแม่ของเจฟยังเคยร้องให้ฟังเป็นประจำ อีกทั้งยังเป็นเพลงที่เจฟใช้สอบวิชาเอกการขับร้องแจ๊ซ

“เราเริ่มฝึกจากเพลงที่เข้าถึงเราง่าย ๆ ก่อน แล้วค่อย ๆ ไล่ระดับไป เพราะว่าเพลงแจ๊สที่เป็นแบบแจ๊สสุด ๆ เลยมันยากมาก มันมีทั้งโน้ตที่ปกติเขาไม่ใช้กันครับ”

นอกจากการร้องและเล่นกีตาร์ เจฟยังมีความสามารถในการเล่นเปียโน และขลุ่ยจีนซึ่งเจฟได้แรงบันดาลใจการเล่นมาจากซีรีส์เรื่องปรมาจารย์ลัทธิมาร


สู่การเป็นศิลปิน

ด้วยความมุ่งมั่น ขยันฝึกฝน สุดท้ายเจฟก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นศิลปินตามที่เคยวาดฝันไว้ได้สำเร็จ โดยเริ่มต้นจากลองเข้าประกวดในรายการมาสเตอร์คีย์ เวทีแจ้งเกิด, The Voice จนได้มีโอกาสมาแคสติ้ง ได้ฝึกฝนทักษะเพิ่มเติมจนกลายเป็นผลงาน “Demo Project” ในช่วงเกือบสิบปีที่แล้ว ก่อนจะตามมาด้วยซิงเกิ้ลมากมาย เช่น “ไม่กล้าบอกชัด”, “คิดถึงเธอแทบจะตายแล้ว” และ “ไม่หายไป” เป็นต้น ซึ่งแต่ละเพลงได้รับการตอบรับที่ดีมาก แถมยังมียอดเข้าชมมากกว่า 10 ล้านวิว

หลังจากที่ได้เป็นศิลปินเต็มตัวชีวีตของเจฟก็เปลี่ยนไปทันที

“มันก็เปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ แล้วก็โดนเพื่อนแซวเยอะด้วยครับ ช่วง ม.ปลาย จำได้ว่าตอนนั้นเลิกเรียนเสร็จแล้วต้องไปที่ตึกเพื่อซ้อมร้องเพลง ซ้อมสัมภาษณ์ ทำเพลง ก็จะมีชีวิตช่วงหนึ่งที่ไม่ได้แฮงค์เอาท์กับเพื่อนเท่าไหร่ เพราะทำงานซะส่วนใหญ่ แล้วมันก็ทำให้บุคลิกของเราโตขึ้นค่อนข้างเร็วเพราะเราทำงานตั้งแต่อายุ 17 เจอผู้ใหญ่ค่อนข้างเยอะครับ”

หลังจากนั้นก็ดูเหมือนว่าเราไม่ได้เห็นผลงานเพลงของเจฟไปพักใหญ่ ๆ แต่สุดท้ายเขาก็กลับมาร่วมงานกับทาง Wayfer Records ภายใต้การดูแลของ Warner Music Thailand

“ช่วงนั้นเราไม่มีค่าย และเราก็รู้สึกว่าเราโปรดิวซ์เพลงเองมานานแล้ว ซึ่งจะเป็นเพลงซีรีส์ซะส่วนมาก เราก็คิดว่าอยากทำเพลงเป็นของตัวเองบ้าง อยากจะเล่าเรื่องของเรา ก็เลยคิดว่าการทำงานกับค่ายน่าจะดีกว่า เราก็มาดูว่าศิลปินในเพลย์ลิสต์ที่เราฟังมีใครบ้าง ซึ่งก็มี Ed Sheeran, Bruno Mars แล้วทุกคนอยู่ Warner Music หมดเลย ผมก็เลยลองมาคุยกับ Warner Music Thailand ดูว่าวิธีการทำงานเขาเป็นอย่างไร? เคมีเข้ากันได้ไหม? ปรากฏว่า CEO ทุกคนคือเป็นศิลปินทั้งหมดเลย

อย่างผมไปเล่นงานโชว์พี่คาล (CEO) ก็ให้ยืมกีตาร์ไปเล่น ผมชอบบรรยากาศที่มันผ่อนคลาย ทุกคนเป็นศิลปินกันหมด พอทำงานแล้วทุกคนมีของอยู่แล้ว มันก็โยนไอเดียใส่กันแล้วมันก็จะได้สิ่งใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนครับ”


แค่เงา (HIDE)

“แค่เงา (Hide)” ซิงเกิ้ลล่าสุดของเจฟ ซาเตอร์ ยังคงได้รับการตอบรับจากแฟนเพลงเป็นอย่างดี อีกทั้งตัวดนตรียังคงเอกลักษณ์ไว้ได้อย่างชัดเจน แถมยังได้ “บิลลี่” จากวง Tilly Birds มารับหน้าที่โปรดิวซ์เซอร์ให้อีกด้วย

“บิลลี่ Tilly Birds ตอนแรกทำดนตรีออกมาพังก์เลยครับ คือจริง ๆ ตอนแรกมันมีแค่เสียงกีตาร์กับเสียงผมครับ บิลลี่ก็ค่อย ๆ ตบเข้ามาจนมาเจอตรงกลาง ก็เลยกลายเป็นดนตรีอย่างที่ได้ฟังกันทุกวันนี้”

ในส่วนของแรงบันดาลใจของเพลงได้มาจากภาพยนตร์เรื่อง Her โดยเนื้อหาสื่อถึงความรักที่หนักขวาที่หมายถึงการพิมพ์แชตไปเพียงฝั่งเดียวโดยที่ไม่เคยมีการตอบรับกลับมาเลย

“Chamil Arin กับ BABEPOOM เป็นคนเขียนเนื้อเพลงนี้ครับ ความหมายของเพลงคือเราไม่ได้ต้องการอะไรจากเขา แค่อยากจะพิมพ์ไปว่าวันนี้ไปไหน? เจออะไรมา? มีเพลงนี้เพราะมากอยากให้เธอฟัง แต่เขาอาจจะไม่ตอบเพราะไม่รู้จักเรา แต่เราขออยู่เป็นเงา วันที่เธอเหงาเศร้า ๆ บางทีเธอมาเปิดแชตก็จะเจอเราอยู่ ณ ตรงนั้นครับ”


KINNPORCHE THE SERIES

กับมุมมอง LGBTQIA+

เจฟ ซาเตอร์ ได้รับโอกาสสำคัญกับการสวมบทบาทเป็น “คิม” ซึ่งมีรสนิยมแบบชายรักชายตามแบบฉบับซีรีส์วายและที่ท้าทายความสามารถเอามาก ๆ  แม้ว่าเจฟเป็นผู้ชายแท้ ๆ แต่ตัวเขาเองก็มีมุมมองต่อความหลากหลายทางเพศที่น่าชื่นชมไม่ใช่น้อย

“จริง ๆ มุมมองเรื่องเพศไม่ได้ต่างไปจากเดิมมาก แต่ผมว่ามันเป็นเหมือนกระบอกเสียงที่ทำให้แนวคิดเราชัดเจนขึ้น ผมมีแนวคิดที่ว่าความรักเป็น Priority สูงสุด เรื่องเพศไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นเพศอะไรก็แล้วตาม เรื่องของความรักเป็นเรื่องสำคัญเสมอ

แล้วก็ Kinnporsche เป็นจุดที่ทำให้เราพูด Message เหล่านี้ได้เคลียร์มากขึ้น ได้ชัดเจนมากกว่าเดิม ได้ให้เห็นว่าโลกใบนี้มันมีความแตกต่าง ทั้ง ๆ ที่มันอยู่ในโลกของมาเฟียและโลกของความดุดัน ความรักมันอยู่ได้ทุกที่ ความรักมันไม่จำเป็นว่า ‘เฮ้ยเป็นมาเฟียจะต้องเป็นผู้ชาย เป็นตำรวจจะต้องเป็นผู้ชาย’ ความรักมันไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องพวกนั้นเลยครับ”

คิดว่าชาว LGBTQIA+ เปลี่ยนแปลงสังคมไปในทิศทางไหนบ้าง ?

“ผมว่าหลายอย่างเลยนะ มันทำให้หลาย ๆ คนยอมรับในความแตกต่างที่ทุกคนไม่ได้เกิดมาเหมือนกันแบบปลากระป๋อง เรามีความแตกต่าง ทั้งเรื่องรสนิยม ความเป็นตัวตน และมันทำให้เราได้เห็นความแตกต่าง มันทำให้เราเข้าใจกันมากขึ้น ทำให้เรายอมรับเขา Respect ในการที่เขาเป็นแบบนี้”

ความคิดเห็นต่อเรื่องสมรสเท่าเทียม?

“ผมไม่เห็นความหมายของการไม่ให้มีการสมรสอย่างเท่าเทียมเลยครับ ผมไม่เห็นว่ามันจะต้องต่อต้านเรื่องนี้ เพราะมันหมายจะความว่าเราไม่ได้ยอมรับความรักเป็นอันสูงสุดเหรอ? คือผมรู้สึกว่าทุกเพศมีอิสระในการจะรัก การแต่งงาน และก็มีสิทธิในการคุ้มครองการแต่งงานของเขาเช่นเดียวกับทุก ๆ เพศ ทำไมต้องจำกัดแค่ชายหญิงมันไม่มีเหตุผลเลยครับ”


UNISEX FASHION

ภาพจาก IG : jeffsatur

อิทธิพลของความหลากหลายทางเพศมันยังได้ส่งต่อมาสู่เรื่องของแฟชั่น ในปัจจุบันเราได้เห็นการไม่จำกัดแนวแล้วว่าผู้ชายต้องใส่แบบนั้นหรือผู้หญิงต้องนี้ เพราะมันได้ก้าวสู่โลกของ “Unisex” อย่างเต็มตัว ทำให้เรามีตัวเลือกเสื้อผ้ามากขึ้นกว่าเดิม และเจฟเองก็เป็นคนที่เปิดกว้างรับการแต่งตัวสไตล์นี้มาด้วยเช่นกัน แต่อิทธิพลสำคัญของเขาได้รับมาจาก Yoshiki มือกลองวง X-Japan

“จริง ๆ มันมาจากวงดนตรีที่เราชอบ คือวง X-Japan ครับ อย่างโยชิกิตอนเล่นเปียโนจะผมยาว เราชอบตั้งแต่เด็กแล้วแต่ตอนนั้นคงโดนเพื่อนล้อแน่ถ้าแต่งอะไรแบบนั้นในวันปกติ เราก็เลยได้แต่เก็บความชอบนี้มาตลอด

จนถึงจุดหนึ่งเรารู้สึกว่าเพราะไอขอบเขตข้อจำกัดพวกนี้ มันทำให้เราเสียโอกาสในการทำสิ่งที่เราชอบไปหลายอย่างมาก เราก็เลยพยายามจะก้าวออกจากตรงนั้น ก็เลยเกิดเป็น ‘Jeff New Chapter’ ที่หลุดออกจากกรอบ และกล้าที่จะค้นหาสิ่งต่าง ๆ รอบตัวมากขึ้น ทุกวันนี้กลายเป็นว่าเวลาไปซื้อเสื้อผ้าก็จะเดินแผนกผู้หญิงมากกว่าแผนกผู้ชายตลอดเลยครับ”

เราเลือกเสื้อผ้าได้หลากหลายขึ้นด้วยใช่ไหม?

“มันมีความหลากหลายขึ้นอย่างมหาศาลเลยครับ ลองเดินไปหมวดที่เราแบบไม่เคยเดินไป แต่อย่าเดินไปหมวดเด็กนะครับ มันใส่ไม่ได้ ฮ่า ๆๆๆ อย่างผมนี่เอวกางเกงหายากมาก แล้วไปเจอเอวกางเกงของผู้หญิงก็ ‘เฮ้ย ใส่พอดีเลย’ แล้วพอใส่กางเกงของผู้หญิงที่เป็นเอวสูงมันก็ยิ่งทำให้ดูสูง มันก็ได้เจออะไรใหม่ ๆ มากมายจากตรงนั้น พอเราก้าวออกจาก Boundaries เราก็แคร์สายตาคนอื่นน้อยลง เรากล้าทำสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้นด้วยครับ”

คำแนะนำต่อคนที่ยังไม่มั่นใจ ไม่กล้าแต่งตัวสไตล์ Unisex

“เวลาชีวิตมันมีน้อยครับ เราอยากใช้ชีวิตทุกวันอย่างที่เป็นตัวเราอยู่หรือเปล่า ต้องถามตัวเองหน้ากระจกทุกวันว่าวันนี้ฉันจะเป็นตัวเราหรือเปล่า ถ้าเป็นตัวเราแล้ว ใส่เสื้อผ้าแล้ว มั่นใจว่านี่คือตัวเราก็ออกไปใช้ชีวิตครับ”


กำไรจากการไม่คาดหวัง

ไม่ว่าจะทำอะไรก็แล้วแต่มันย่อมมีการคาดหวังตามมาด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นจากตัวเราเองหรือจากคนอื่นก็ตาม แต่สำหรับเรื่องดังกล่าวเจฟมองว่าการไม่คาดหวังมันอาจจะได้ผลลัพธ์ตามมาที่ดีมากกว่า

“เราได้เรียนรู้ว่าไม่จำเป็นต้องคาดหวังอะไร แค่ทำให้ดีที่สุด บางครั้งเราคาดหวังเกินไปจนกดดันตัวเอง มันทำให้ผลงานที่เราทำอยู่มันกลายเป็นความหวังที่เกิดจากตัวเองและคนรอบข้างด้วย การแคร์คนอื่น หรือแคร์ว่ามันจะเป็นอย่างไรในอนาคต มันเป็นสิ่งที่ยังไม่ต้องแคร์ในปัจจุบัน มันเป็นเรื่องในอนาคต ทำสิ่งที่ตัวเองทำให้ดีที่สุดก็พอ และไม่ต้องคาดหวังอะไร เพราะถ้าเราไม่คาดหวังปุ๊บ ทุกสิ่งที่ตามมาก็คือกำไรทั้งนั้นครับ”

แล้วตัวผมเคยเป็นคนที่ติดความ Perfect มาก ๆ ขนาดที่ว่าผมเคยมีความคิดจะทำ YouTube Channel ตั้งแต่ 5 ปีที่แล้ว แต่เพิ่งจะได้เริ่มทำประมาณ 3 ปีที่ผ่านมา เพราะเราเอาแต่กลัวว่ากล้องไม่ดี แสงไม่ได้ ไม่มีสตูดิโอ แต่พอเราออกจาก Boundaries มา มันก็เอากล้องตั้งแล้วก็ถ่าย แล้วก็ลง ไม่ได้ยากอะไรเลย มันก็แค่นั้นเองจริง ๆ 

เราอย่าไปยึดติดกับความ Perfect  แค่การที่เราสื่อสารความเป็นตัวเองออกไปโดยไม่ทรยศต่อความเป็นตัวเอง แค่นั้นมันก็ Perfect ที่สุดแล้วครับ”


เป้าหมายคือ WORLD TOUR

ต้องยอมรับว่าปัจจุบันเจฟ ซาเตอร์ มีแฟนคลับจากต่างประเทศเข้ามาติดตามเพิ่มขึ้นอย่างมากมาย สังเกตได้จากคอมเมนต์ต่าง ๆ ตามคลิปหรือโพสต์ของเจฟที่จะมีคนหลากหลายเชื้อชาติเข้ามา และสิ่งเหล่านี้น่าจะส่งให้เจฟทำตามความฝันในการทำ World Tour เป็นของตัวเองได้ในซักวัน

“จริง ๆ คือผมมีความฝันว่าอยากจะทำ World Tour ผมอยากมีอัลบั้มแรกของตัวเองในชีวิตอย่างน้อยซัก 1 อัลบั้ม และอยากทำคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มนั้นด้วย คือตอนนี้ผมมี 4 เพลง แล้วถ้าเล่นคอนเสิร์ตมันน่าจะจบเร็วไปนิดนึงครับ ฮ่า ๆๆๆ

และอีกความฝันหนึ่งของผมคือเรื่องการส่งมอบแรงบันดาลใจ ทุก ๆ ครั้งที่ผมเข้าไปในทวิตเตอร์ ผมก็จะเจอคนที่ได้แรงบันดาลใจจากเรา มันก็ทำให้เราได้แรงบันดาลใจจากเขาอีกด้วย ผมอยากส่งต่อแรงบันดาลใจผ่านเสียงเพลง ผ่านชีวิตที่เราเขียนให้กลายเป็นบทเพลงให้กับทุกคน ไม่ใช่แค่คนไทยแต่ให้กับทุกคนทั่วโลก มันจึงออกมาเป็นความฝันเรื่อง World Tour ครับ”

เพลงของเจฟมีชาวต่างชาติเข้ามาฟังด้วย

“ผมไม่เคยเชื่อว่าดนตรีมันมีขอบเขตนะครับ จริง ๆ เราแค่รู้สึกว่าถ้าเราไปฟังเพลงของภาษาอื่นเราอาจจะไม่อินหรือเปล่าแค่นั้นเอง แต่พอเพลงมันมีปฏิสัมพันธ์กับแฟน แล้วมันไม่ใช่แค่แฟนจากเพลงอังกฤษอย่างเดียว แต่มีจีน มีญี่ปุ่น หรือประเทศที่เราไม่เคยได้ค่อยเจอในคอมเมนต์ทั้ง เม็กซิโก,อเมริกา หรือบาหลี

มันก็ทำให้เรารู้สึกว่าสุดท้ายดนตรีมันไม่มีขอบเขตจริง ๆ แล้วมันไม่ใช่แค่เรื่องดนตรีแต่มันหมายถึงอารมณ์ด้วย ไม่ว่าเราจะส่งผ่านอะไรลงไปในเพลง เขาจะรับรู้ได้เสมอ นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมเขาได้แรงบันดาลใจจากเพลงเราทั้ง ๆ ที่เขาฟังเพลงไม่รู้เรื่องก็ตามครับ”


UNLOCK ชีวิตด้วยผลงาน

“อย่างแรกเลย มัน Unlock ขอบเขตเราไปไกล Beyond ที่แบบเราคิดว่าเราจะทำไม่ได้แน่ ๆ ในชีวิตนี้

อย่างเรื่องการแสดง มันก็พาเราไปอยู่ในจุดที่เราไม่เคยเป็นมาก่อน เช่น ถ้าเราได้รับบทนี้ เราจะต้องเอาตัวไปอยู่ในชีวิตแบบนั้น มีความคิดแบบไหน มีเรื่องราวแบบไหน เรื่องพวกนี้ก็เอามาเขียนเพลงได้ด้วย มันเป็นโอกาสที่ดีในชีวิตมาก ๆ เลย คงไม่มีโอกาสไหนในชีวิตที่เราจะไปเป็นมาเฟียแป๊บนึง หรือเราไปเป็นเชฟแป๊บนึงนะ

มัน Unlock สิ่งที่เราไม่กล้าทำไปเยอะ เราได้ทดลองอะไรใหม่ ๆ งานแสดงมันทำให้เราได้ทำอะไรใหม่ ๆ อย่างยิงปืน ซึ่งเราคิดว่าเราคงทำไม่ได้ แต่พอได้ทำจริง ๆ มันก็มีอะไรอีกหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ เราก็มีความกล้าที่จะทำมากขึ้น

เรื่องเพลงไม่ต้องพูดถึง มัน Unlock ตัวเราไปไกลมาก ๆ มัน Unlock อารมณ์เศร้า อารมณ์โกรธในตัวเรา แล้วมันก็ทำให้เราเป็นอิสระ เพราะเรามีพื้นที่เราจะปล่อยอารมณ์เหล่านี้เข้าไป ให้คนได้ฟังเพลงได้เศร้าไปพร้อม ๆ กัน โกรธไปพร้อม ๆ กัน มันทำให้เรารู้สึกว่าเรามีเพื่อนที่เศร้าไปกับเรา เสียใจไปกับเรา ทำให้ผมไม่รู้สึกโดดเดี่ยวครับ”


สามารถติดตามผลงานและไลฟ์สไตล์ของผู้ชายคนนี้ได้ทาง Youtube, Instagram และ Facebook : Jeff Satur และรับชมซีรีส์ KinnPorsche The Series ได้ทางช่อง One 31 ทุกวันเสาร์ เวลา 5 ทุ่มตรง

เรื่องราวของเจฟ ซาเตอร์ ยังไม่จบเพียงเท่านี้ ติดตามวิดีโอสัมภาษณ์เพิ่มเติมได้ทางแฟนเพจ : Unlockmen เร็ว ๆ นี้ครับ

ขอขอบคุณทีมพีอาร์ Warner Music Thailand ที่อำนวยความสะดวกในการถ่ายทำด้วยครับ

Photographer : Krittapas Suttikittibut

 

JEDDY
WRITER: JEDDY
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line