Life

UNLOCKER CLUB EP.5 : ‘THREE MAN DOWN’ การปลดล็อกเกียร์ Basic Mode เพื่อยืนระยะ lll ของเหล่าลูกเรือที่เชื่อว่า One Piece คือ ‘ความสุข’

By: GEESUCH June 25, 2025

“บทความนี้เราจะไม่บอกว่า Three Man Down เป็นใคร, มารวมตัวกันได้อย่างไร, หรือพยายามพูดถึงอดีตที่เคยผ่านมาของวงมากนัก เพราะทุกคนรู้ดีกันอยู่แล้ว .. แต่เราจะมาพูดถึงอนาคตและเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นหลังจากวงประสบความสำเร็จในวงการดนตรีไปแล้ว .. เพราะว่าเป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครรู้ และพวกเขาเองก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าจะเป็นอย่างไร”

ปีที่ 12 ของ Three Man Down เด็กหนุ่มทั้ง 4 คน กิต (กฤตย์ จีรพัฒนานุวงศ์), เต (เตธนันท์ วงศ์ปรีชาโชค), ตูน (พีรพล เอี่ยมจำรัส) และ เส็ง (วิศรุต ปฐมสิริไพศาล) บอกว่าพวกเขาชอบที่จะเปรียบการเดินทางของตัวเอง เป็นเหมือนกับการผจญภัยของลูกเรือโจรสลัดหมวกฟางใน One Piece และการปล่อยอัลบั้มที่ 3  ซึ่งทำให้วงเติบโตยิ่งกว่าที่ผ่านมา ชื่อ lll (อ่านว่า “ทรี-แมน-ดาวน์”) ก็เพิ่งจะเป็นการเดินทางมาถึงช่วงต้นของเรื่องเท่านั้น ! ถ้าเป็นในมังงะ พวกเขาบอกว่าตัวเองเพิ่งนำเรือผ่านเข้าสู่แกรนด์ไลน์มาเมื่อไม่นานนี้เอง

UNLOCKER CLUB ตอนล่าสุด UNLOCKMEN พาไปคุยกับวงดนตรีร็อกตัวแทนของยุคสมัยนี้ ในหัวข้อ “After Success, What Next ?” ชีวิตหลังจากประสบความสำเร็จของ Three Man Down แล้ววงจะทำยังไงต่อไป ? ในวันที่พวกเขาต้องการประคองเรือ Thousand Sunny ของตัวเองให้แข็งแรง เพื่อ ‘ยืนระยะ’ อยู่ในใจคนฟังและวงการดนตรีให้นานที่สุด, การต้องดีลกับ Art & Business ทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อให้ตอบสนองความต้องการของธุรกิจกับงานศิลปะโดยไม่ Burnout ไปซะก่อน, การจัดการกับอีโก้ไม่ให้กระทบกับความสัมพันธ์ Band Mate เพื่อนร่วมทาง/ร่วมงาน, รวมถึงการมุ่งหน้าไปให้ถึง ‘วันพีซ’ โดยที่ไม่ตกหล่นไปบนเส้นทางไหนไปซะก่อน

ถึง .. นักดนตรีที่มีความฝันทุกคน รวมถึงคนที่เชื่อในแพชชั่นของตัวเองและกำลังพยายามอย่างสุดกำลัง บทสัมภาษณ์ในครั้งนี้จะทำให้ชาว UNLOCKER ทุกคนกลับมาไฟท่วมพร้อมสู้เพื่อสิ่งที่รักกันอีกครั้ง : )

** การพูดคุยระหว่างเรากับ Three Man Down ในครั้งนี้ เกิดขึ้นในวันอังคารที่ 10 มิถุนายน 2025 (14:00) ก่อนอัลบั้ม lll ปล่อยให้ฟัง 14 วัน **


UNLOCKMEN : ตลอดที่ผ่านมาจนถึงปี 2025 ซึ่งวงกำลังจะปล่อยอัลบั้มที่ 3 ช่วงเวลาของอัลบั้มแรกและอัลบั้มสองมีความสำคัญต่อ Three Man Down ยังไงบ้าง

เต : อัลบั้ม 1 (This City Won’t Be Lonely Anymore) มาอัลบั้ม 2 (28) ผมรู้สึกว่ามันเป็นช่วงเวลาเหมือนตอนเรียนจบมัธยมเข้าสู่มหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่รู้ว่าพวกเราไปต่อได้ แต่ต้องเป็นผู้ใหญ่กันมากขึ้น มันจะมีความไม่แน่ใจว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่ใช่สิ่งที่เราชอบจริง ๆ หรือเปล่า ทำให้ในอัลบั้มที่ 2 เรามีความค้นหามากกว่าการตกผลึก มองหาสิ่งใหม่ ๆ อยากทำอะไรก็ใส่เข้าไป

กิต : ตอนอัลบั้ม 1 เราไม่ได้คิดเรื่องยืนระยะ แต่เป็นการคิดว่าจะทำยังไงให้มีคนได้ยินเรา เอาแพชชั่นใส่เข้าไป พออัลบั้ม 2 สำหรับผมมันคือการพิสูจน์ตัวเอง ช่วงที่ทำอัลบั้ม 3 ต่างจากอัลบั้ม 1 มาก พอเราเติบโตขึ้น อายุเริ่มเยอะขึ้น ได้มีโอกาสคุยกับศิลปินท่านอื่นในวงการเยอะขึ้น ได้คุยกับพี่ ปั๊บ-Potato ตอนที่พาหมาไปเดินเล่นด้วยกัน พี่ปั๊บชวนคุยเรื่อง Direction อัลบั้มนี้ (lll) ผมได้พูดเรื่องความง่าย ความ Stable และการอยากเล่นโชว์ให้หนักแน่น พี่ปั๊ปก็พูดขึ้นมาเลยว่า “มันคือการที่วงของกิตอยากจะยืนระยะ เพลงที่มันยังฮิตอยู่ของ Potato ทุกวันนี้มันก็ยังฮิตอยู่ แล้ววิธีคืออะไรที่มันจะทำให้วงยืดไปขนาดนั้น 

เต : ซึ่งอัลบั้มที่ 3 คือ ‘วัยทำงาน’ คือชีวิตจริงของเราแล้ว ที่ต้องคิดว่าชีวิตจะเดินไปทางไหน สมมติว่าถ้าเป็นวัยทำงานก็จะเริ่มสนใจเรื่องการลงทุน การมองว่าเราจะเก็บเงินเกษียณอย่างไร มันก็เลยสอดคล้องไปกับสิ่งที่กิตคิดเรื่องการยืนระยะ เพราะตอนนี้ถ้าจะเปลี่ยนงานก็ไม่รู้เรื่องแล้ว วิธีคิดของอัลบั้ม lll คือการที่เราจะทำอย่างไรให้ตัวตนของเรามันยืนระยะไปในสังคมนี้ได้นานที่สุดในฐานะอาชีพศิลปินนักดนตรีที่เราประกอบอยู่ 

กิต : ในจุด ๆ หนึ่ง อุตสาหกรรมดนตรีประเทศไทย อย่างไรส่วนแบ่งของของเค้กก้อนนี้ก็ไม่ได้มากไปกว่านี้แล้ว ทุกวันนี้อาจจะมีประชาชนจีนเข้ามาสนใจภาษาไทยมากขึ้น เค้กก็จะใหญ่ขึ้น แต่สุดท้ายข้อจำกัดทางภาษาและประชากรมันก็จะเท่านี้แหละ เพราะฉะนั้นผมรู้สึกว่าการยืนระยะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับสายงานอาชีพวงดนตรี

สำหรับสายงานนี้ วงที่เท่ที่สุดในสายตาผมตอนนี้คือวง Cocktail ผมโทรไปคุยกับ พี่โอม-Cocktail หลังจบคอนเสิร์ตใหญ่ จากมุมมองของเพื่อนผมที่ได้ไปดูคอนเสิร์ต ‘COCKTAIL EVER LIVE’ (2025) มันบอกว่าสิ่งที่เท่ที่สุดของวง Cocktail คือการที่เขาทำสิ่งเดิมมาเป็นเวลาสิบปี แล้วยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยคาแรคเตอร์ของวงไม่ได้เปลี่ยนไปเลย พี่โอมเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น และทุกวันนี้เขาเอาสิ่งนั้นไปขึ้นราชมังโดยที่ไม่ได้เปลี่ยนไปตามกระแสเลย มันคือสิ่งที่โคตรเท่ 

10 ปีก่อน พี่โอมชอบพูดว่าเขาเป็นมวยรองมาตลอด ต่อให้เป็นวงที่อยู่ใน Main Stream ก็จะไม่ได้แมสขนาดนั้น แต่ผมรู้สึกว่าวันหนึ่งที่เขานำสิ่งนี้ขึ้นไปบนราชมังได้ 2 รอบเต็ม มันพิสูจน์อะไรบางอย่างแล้วว่าเราไปถึงจุดนั้นได้ การยืนระยะมันสุดยอดมาก ๆ แนวคิดผมต่ออัลบั้ม lll ก็เลยจะพยายามทำสิ่งนี้ให้มันแข็งแรง และเราจะค่อย ๆ เดินไป ไม่จำเป็นต้องวิ่งตามเทรนด์ ไม่อย่างนั้นมันจะเหนื่อย เราสร้าง Community ของเราไปเรื่อย ๆ แล้วเอาสิ่งนี้ขึ้นไป ผมรู้สึกว่ามันน่าภูมิใจมากกว่า


UNLOCKMEN : ถ้างั้นเรามาคุยกันเรื่อง The Master Plan กันดีกว่า อยากรู้ว่า Three Man Down มีวางแผนยืนระยะของอัลบั้ม lll ไว้ยังไงบ้าง

กิต : มันก็จะกลับไปคอนเซ็ปต์ของอัลบั้ม lll ก็คือ “การเป็นสิ่งที่พวกเราเป็นตั้งแต่รากเหง้า” ทุกอย่างเรากลับไปเล่นท่า ‘Back To Basic’ พอมันเป็นเบสิกมันเลยแข็งแรง เราเลือกวิธีที่จะทำให้มันดู Simple ที่สุดด้วยแนวเพลง การแต่งตัว ภาพลักษณ์ของวง หรือ Performance พอภาพลักษณ์ของเราดูง่ายขึ้น หลาย ๆ อย่างมองไปแล้วมันสบายตาดูเป็นธรรมชาติ ก็อาจช่วยอะไรบางอย่าง

UNLOCKMEN : เพลงที่ปล่อยออกมาล่าสุดตั้งแต่ ‘ขอโทษที่ติดต่อไป’ / ‘รักใครไม่ไหว’ / ‘ยอมถอย’ มันให้ความรู้สึกของ Pure Music ฟังแล้วจริงใจมาก

เส็ง : มันคือการพรีเซนต์ที่ถูกต้อง การที่เรา Back To Basic หรือการที่เรามาเล่น Simple ทำให้คนส่วนใหญ่รู้สึกเข้าถึงงานศิลปะนี้ได้ง่ายมากขึ้น เทียบกับแบรนด์แฟชั่น คอลเลกชันที่โด่งดังมันก็จะเป็นคอลเลกชันที่ Simple

กิต : คอลเลกชันที่ให้กำเนิดแบรนด์อาจเป็นคอลเลกชันที่มีคาแรคเตอร์ แต่สุดท้ายคอลเลกชันที่คนซื้อเยอะที่สุดมันจะเป็นเสื้อยืดที่ใส่ง่าย ทุกคนเห็นเสื้อยืดสกรีน Ballenciaga สีขาวก็พร้อมใจกันใส่

เส็ง : แต่คอลเลกชันของเขาก็มีตัวยากด้วยนะ

กิต : แต่ส่วนใหญ่คนก็จะไม่สามารถเข้าถึงได้ ตัวที่เดินบนรันเวย์เอาไว้ประกาศศักดา

เส็ง : เป็น Showcase ไป ถ้าเทียบก็มันอาจจะเป็นอัลบั้ม 28 ที่เราตั้งใจทำให้มันยาก

กิต : ช่วงนี้เราก็มาทำ Permanent Product เพื่อที่จะยืนระยะของวง อัลบั้มหน้าอาจมีสักเพลงที่เอาไว้ Showcase ผมรู้สึกว่าสิ่งนี้ถ้าสมาชิกไม่สนิทกันมันจะทำยากมาก ๆ เป็นเพลงแบบที่จะต้องใช้ความเปิดใจระดับหนึ่ง เราต้องเชื่อใจกัน และต้องเชื่อใจ Director ของวง เพราะวงเราก็เป็นเด็กนิเทศ ผู้กำกับสั่งเราก็ต้องทำเพราะว่าเขาเห็นภาพ ถ้าตูนบอกว่าไม่ก็คือไม่

UNLOCKMEN : แสดงว่าทำดนตรีรอบนี้ความยากคือ Minimal ยังไงให้น้อยแต่พอดีที่สุด

ตูน : ใช่ คือการทำให้มันง่ายแต่ว่าไม่ซ้ำ ตอนทำเพลงผมกลับไปใช้กีตาร์โปร่งตัวเดียว ขึ้นโครงเพลงด้วย Synthesizer บ้าง

เส็ง : ผมก็จะพยายามใส่เปียโนเข้าไปให้มันมีความ Acoustic ง่ายมากขึ้น

เต : ผมมองว่าจริง ๆ แล้วการทำเรื่องง่ายมันเป็นเรื่องยากนะ เพราะมันต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ว่าเราไม่ได้ทำมั่ว ๆ ซั่ว ๆ เป็นสตอรี่ที่เราอยากจะบอกว่า “Three Man Down ทำมาหมดแล้ว” ตอนนี้เราแค่จะทำเรื่องง่าย มันคือความเชื่อว่าสิ่งที่เราพรีเซนต์ความง่าย มันคือสิ่งที่เราคิดแล้วว่ามันควรจะง่าย

UNLOCKMEN : เข้าใจมาก ๆ เลย ตอนผมเรียนปี 1 พอดีกับที่ John Mayer ออกอัลบั้ม The Search for Everything (2017) อัลบั้มนี้ฟังดูง่ายมาก แต่เขาปูทางด้วยการทำดนตรีซับซ้อนในชุดก่อน ๆ แบบที่เขาอยากมาหมดแล้ว ต้องผ่านอะไรมาเยอะมากกว่าจะทำสิ่งนี้ได้

เต : ถ้าเขาเอาอันนี้ไปเป็นอัลบั้มแรกอาจจะโดน Underrate อาจจะเป็นเพลงดีเหมือนเดิม ตั้งใจทำเหมือนเดิม แต่คนฟังอาจจะรู้สึกว่าวงนี้ไม่น่าสนใจ มันเป็นเรื่องของความถูกที่ถูกเวลาของความเชื่อในหัวคน ซึ่งก็เป็นไปตามแนวคิดที่เติบโตไปของพวกเราด้วย ในอัลบั้มแรกเราก็คิดแบบนี้ไม่ได้ มันถึงเวลาที่ต้องทำอะไรแบบนี้ ณ ตอนนี้ ถ้ามันสอดคล้องกับยุคสมัยพอดีก็ถือว่าเป็นโชคดี แต่ถ้าคนบอกว่าเพลงมันง่ายไปก็ถือว่าเราเดาสังคมผิด

UNLOCKMEN : แบบนี้เวลา Final Master จะรู้ได้ยังไงว่าตรงไหนคือความพอดีของเพลงแล้ว

ตูน : ประเด็นอยู่ที่เวลาทำอะไรไม่ได้คิดเยอะไง แล้วเวลาต้องมาตอบอะ มันยาก ถ้าตอบวันนี้ มันก็ต้องตอบแบบนี้ไปตลอด (หัวเราะ)

เต : ผมว่าอย่างหนึ่งที่วงช่วยกันตัดขอบของอัลบั้ม คือการเห็นภาพอะไรบางอย่างที่จะมาอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเรา เช่น ‘การเล่นสด’ อาชีพเราต้องเล่นสดตลอด เราจะรู้ว่าเพลงนี้ฟังก์ชันอย่างไร เล่นแล้วคนดูจะรู้สึกอย่างไร

กิต : อีกอย่างคือวงเราเลือกเพลงด้วย ‘ฟังก์ชัน’

เต : มันคือฟังก์ชันวิธีคิดของพวกเราเท่านั้นนะ ซึ่งถ้าเล่าออกไปแล้วใช้กับวงอื่นได้ก็ยินดีเลยเป็นสกิลที่สำหรับผมช่วยทำให้วงผมไปต่อได้ เราทำเพลงเราจะรู้ว่าเพลงนี้มีเพื่ออะไร ถ้าเรามีเพลงฟังก์ชันฮิต 10 เพลงก็ถือว่าไม่มีประโยชน์

กิต : สมมติว่าตูนเอาเดโม่เพลงมากาง 20 เพลง มันมีเพลงเพราะเยอะมาก แต่ถ้าซ้ำฟังก์ชันกันวงจะตัดออก แล้วจะเลือกแค่เพลงที่มีฟังก์ชันฮิต 5 ดาว กับ 4 ดาวออกมา (สมมติว่าเต็ม 5) เราจะไม่เลือก 5 ดาว กับ 5 ดาว เพราะว่ามันจะชนกัน

เส็ง : เราจะไม่เอา ‘ฝันถึงแฟนเก่า’ 2 เพลงมาอยู่อัลบั้มเดียวกัน

กิต : เราจะต้องมีฝันถึงแฟนเก่า กับ ‘ถ้าเธอรักฉันจริง’ ที่มันเป็น SS class กับ S class แล้วก็จะมีเพลงที่วันนี้อยู่ระดับ A class แต่รู้ว่าวันหนึ่งจะกลายเป็น S class มันจะมีเพลงแบบนั้นด้วย เราจะมองเป็นฟังก์ชันมาก ๆ แต่ก็จะมีเพลงหลุดโผไปบ้างอย่างเพลง ‘น้อง’ ผมตีเพลงนี้เป็นเพลง Performance คืออย่างไรก็ต้องมีอยู่ในอัลบั้ม 28 แต่มันดังด้วยจังหวะอาจเรียกได้ว่าถูกหวย

อัลบั้ม lll เราตีความกันว่าช่วงนั้นวงป่วย พักไปนาน การจะเรียกให้คนกลับมาสนใจเรามันต้องเปิดหัวด้วยเพลง S class คือจุดที่ต้องการเรียกทุกคนเข้ามาบอกว่า “Three Man Down กำลังจะทำอะไร” แล้วมันก็กำลังจะวาเลนไทน์พอดี เราเลยปล่อย ‘เพลงรัก’ โชคดีที่มันดัง เหมือนตอน ‘ข้างกัน’ ที่วันแรกเป็น A class แต่วันหนึ่งจะกลายเป็น S class เดี๋ยวมันจะ Up rank ทีหลังเพราะมันเป็นเพลงรัก ทุกวาเลนไทน์จะมีคนแชร์เพลงรักทุกเพลงในแพลตฟอร์ม ยอดวิวมันจะขึ้นเรื่อย ๆ

ทีนี้พอเพลงรักเริ่มมีกระแสเราเปลี่ยน Strategy ใหม่ เอา ‘ขอโทษที่ติดต่อไป’ เข้ามา ตอนแรกเราจะเอาเพลง ‘ขอบคุณที่กลับมา’ ปล่อยก่อน แต่วงเปลี่ยนใจ เพราะว่าเราจะเรียกทุกคนมาบอกว่าอัลบั้ม lll เป็นอย่างไร ก็คือเป็นฟังก์ชันคล้าย ‘ปล่อยให้เวลา’ (จากอัลบั้ม 28) เป็นเพลงที่ Three Man Down จะทำการ Set Up จักรวาล เพราะเราได้ความสนใจมากพอแล้ว

เส็ง : ด้วยการเลือกเพลงที่ Direction จัด ๆ เสียบเข้าต่อ

กิต : เรามีเพลงที่ดัง (‘ไม่ให้ไป’ ที่วงปล่อยออกมาก่อนในเดือน มิ.ย. 2024) กับดังมาก (‘เพลงรัก’ ปล่อยตอน ต.ค. 2024) เราไม่ต้องการปล่อยเพลงดังซ้ำ เราจะเริ่มเดินทางกันโดยเอาพี่แน็ป-Retrospect มาเปิด เพลงขอโทษที่ติดต่อไปมีกลิ่นของยุค 2000s มีสัดส่วน 6/8 นะ มีเพลงค่อนข้างดาร์ค แล้วเราก็ปล่อย ’รักใครไม่ไหว’ ต่อด้วย ‘ยอมถอย’ หลังจากนั้นจะเป็นการดำเนินเรื่องของอัลบั้ม lll ต่อไป

Three Man Down เป็นวงที่ไม่ใช่ว่าติดบัฟแล้วจะซัดเพลงฮิตต่อทันที พอเราติดบัฟเราจะหย่อนอะไรบางอย่างให้มีช่องเพื่อให้วงได้ทำอะไรบางอย่าง เราค่อนข้างซีเรียสกับการนำเสนอให้คนดู ให้คุณค่ากับงานศิลปะ เพราะอย่างไรสุดท้ายแล้วพวกเราก็ชอบศิลปะ เมื่อก่อนเตชอบดูหนังที่ดูไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) มันไม่ได้เรียนภาพยนตร์นะ แต่เอาหนังมาให้ดูผมเรียนภาพยนตร์ผมยังดูหนังมันไม่ไหวเลย

เส็งชอบดูงานศิลปะ ตูนฟังเพลงแบบลึกผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง พอมันมีช่วงให้เราทำเราก็อยากตอบสนองความต้องการของตัวเอง ก็ใช้ช่วงนี้แหละปล่อยไป ยอดวิวเป็นไงไม่สนใจ ถ้าจะดังก็โชคดี ถ้าไม่ดังก็ไม่เป็นไร เพราะเราติดบัฟอยู่ มันจะได้ทำให้เราไม่ Burnout ด้วย สลับทำงาน Art กับ Business บ้าง

UNLOCKMEN : อยากรู้ว่าถ้าทั้งอัลบั้มใส่เพลงที่เป็นฟังก์ชัน A class เหมือนกันหมดเข้าไป ข้อเสียคืออะไร

เต : มันจะกลายเป็นอัลบั้มที่ใช้จริงไม่ได้ ทำให้วงดังขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้วงน่าสนใจมากขึ้น

กิต : เหมือนการกินอาหารคอร์ส มันต้องมีจานที่ไม่ได้อร่อยกว่าเมนคอร์สมาอยู่ก่อนหน้า ไม่อย่างนั้นเมนคอร์สจะไม่อร่อย มี Intro ปูเรื่อง / ใส่ Conflict / ยัด Turning Point / แล้วนำพาไปสู่ Climax เพลงและวงจะถูกจดจำ

ตูน : เพราะว่าจริง ๆ วงดนตรีในประเทศไทยรายได้หลักมาจากคอนเสิร์ต ถ้าเรามีแต่เพลงที่ฟังได้อย่างเดียว แต่ Performance ไม่ดี เราก็จะใช้ชีวิตอยู่ยาก ส่งผลต่อการจ้าง มันมีผลต่อการยืนระยะด้วย

เต : แล้วมันก็มีผลต่อคนบนเวทีมากด้วยเหมือนกัน ถ้าต้องเล่นฝันถึงแฟนเก่า 13 รอบ ผมก็ไม่น่าจะไหว บางโชว์ผมก็ต้องการให้ถึงเพลงน้องสักที อยากเล่นเพลงเร็ว มันก็จะมีฟังก์ชันนั้นด้วยที่มันรันอยู่ใน DNA ของคนในวง และอีกอย่าง ถ้าทั้งอัลบั้มเป็น S class หมด มันอาจจะดีมาก ๆ แต่คนจะไม่มองว่ามันเป็น S class

กิต : เรียกเป็นหน้า A หน้า B คนน่าจะเก็ตกว่า ก็อย่างที่อธิบายว่าบางทีเพลงก็ Evolution ได้เหมือนกัน เพลงหน้า A เราก็มองว่ามันน่าจะต้องดังอยู่แล้ว ทีนี้บางวงอาจจะปล่อยเพลงหน้า A อย่างเดียว แต่ Three Man Down จะเอาเพลงหน้า B มาปล่อยต่อเลย เพื่อสิ่งที่ตูนอธิบายว่าในโชว์มันต้องการให้กราฟมีขึ้นลง ให้คนรู้สึกเบื่อบ้างนิดนึง ตั้งใจให้เขาได้ผ่อนลงมา พอเรา Kick ขึ้นไปอีกรอบหนึ่งแล้วระเบิดพร้อมกับจุดพลุ กราฟมันถึงพอดี แล้วเมื่อโชว์จบลง คนก็จะ “โอ้โห ! Three Man Down เล่นดีว่ะ”

UNLOCKMEN : โห อินมากครับ ! สะใจที่วงมีวิธีการคิดในการสร้าง Music Album จริง ๆ ไม่ใช่แค่ปล่อยซิงเกิ้ลเรื่อย ๆ พอเพลงเยอะก็จับยัดทำเป็นอัลบั้มขึ้นมา

เต : ตอนอัลบั้ม 1 (This City Won’t Be Lonely Anymore) พวกเราทำเพลงแล้วมารวมเป็นอัลบั้ม แต่ว่าอัลบั้มที่ดีอาจไม่ใช่อัลบั้มที่มีเพลงดังทุกเพลงก็ได้ ผมรู้สึกว่าอัลบั้มที่ดีมันต้องมีจักรวาลของอัลบั้มนั้น มีขึ้นมีลง มีเพลงที่อาจจะไม่มีเนื้อร้อง หรือเพลง ‘ลึกลงไป’ ในอัลบั้มใหม่ของเราที่ยาวแค่ 35 วิ มันเป็นการเล่าเรื่องน่ะ

UNLOCKMEN : เป็นคอนเซปต์ของการทำอัลบั้มที่ถูกต้องมั้ย

กิต : ผมว่าก็แล้วแต่ศิลปิน สำหรับ Three Man Down เราก็ใช้วิธีนี้มาก็เลยใช้วิธีนี้ต่อไป


UNLOCKMEN : ทำไมอัลบั้มที่ 3 ถึงใช้โลโก้ประจำวง lll และต้องอ่านว่า “ทรี-แมน-ดาวน์”

กิต : จริง ๆ เถียงกันหลายรอบละ ตอนแรกตกลงกันแล้วว่าชื่ออัลบั้ม III (อ่านว่า “ทรี”) ทุกวันนี้โปรโมทบางที่ยังขึ้นว่า “ทรี” อยู่ แต่ผมขอเอาแต่ใจนิดหนึ่ง วงในสมัยที่เราเติบโตมาเขาชอบมีอัลบั้มเป็นชื่อวงของตัวเอง ยกตัวอย่าง Bodyslam ก็มีอัลบั้มชื่อ ‘Bodyslam’ ก็เลยขอได้ไหมอัลบั้มนี้ Three Man Down เหอะ

ตูน : มันเป็นอัลบั้มที่ 3 ไง พวกเราโลโก้ lll อยู่แล้ว

เต : ถ้าบอกว่าอัลบั้มชื่อ 3 ขีด มันจะแปลก ๆ มันต้องหาวิธีเรียก lll

ตูน : จริง ๆ แค่เป็นจังหวะที่ต้องใช้

เต : อัลบั้ม 4 จะ ‘ทรี-แมน-ดาวน์’ ก็ไม่ได้แล้ว

กิต : อันนี้ก็เป็นความบังเอิญ แล้วก็บังเอิญว่าเราเล่นท่าเบสิกด้วย-ท่าเบสิกนี้ พอเรา Wrap-Up อัลบั้มทั้งหมดเพื่อส่งต่อให้คนที่ทำ Art Direction ของอัลบั้ม ผมก็ไปตกตะกอนว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเราทั้ง 4 อินกับเพลงในอัลบั้มนี้มาก

ก็พบว่ามันคือสิ่งที่พวกเราชอบจริง ๆ นั่นคือแนวเพลงที่พวกเราต่างเติบโตมา The HoobastankParamore พวกเรา 4 คนฟังดนตรีมาเหมือน ๆ กัน แต่พอเราเริ่ม Level เยอะ เลือกสายแล้วเราก็ไปกันคนละทางแค่นั้น แต่ต้นกำเนิดเราก็กำเนิดมาคล้าย ๆ กัน

สิ่งนี้เป็นสิ่งที่พวกเรามีมาตลอด ยุคหนึ่งเราเคยหนีสิ่งนี้เพื่อค้นหาตัวเอง แต่พอจุดหนึ่งสุดยอดกระบวนท่าก็คือไร้ท่า มันคือสิ่งที่เราเป็น มันก็ลงล็อกกับคำว่า Three Man Down ก็คือวงนี้ที่เติบโตมาแบบนี้ ดนตรีที่เล่นในอัลบั้มคือสิ่งที่มันชอบ สิ่งที่มันเป็นอยู่ข้างในลึก ๆ

UNLOCKMEN : เข้าใจเลยว่าทำไมฟังอัลบั้มนี้แล้วมัน Nostalgia เพราะมันคือดนตรีที่ย้อนเอาวัยเด็กของทั้ง 4 คนมาใส่ในอัลบั้ม ซึ่งบังเอิญผมก็เป็นเด็กอายุ 31 ที่เติบโตมาในยุคใกล้กันมากพอดี

กิต : คนอายุใกล้ ๆ กับพวกเราก็จะ Nostalgia แต่เด็กยุคใหม่ก็ต้องมองว่าเท่ด้วยนะ หลัก ๆ คือผมอยากสื่อสารไปกับเด็กรุ่นใหม่มากกว่า เพราะการที่เราทำให้ผู้ใหญ่รู้สึกคิดถึงอดีตมันทำได้อยู่แล้วมันฟินอยู่แล้วไม่ว่าเป็นเรื่องอะไรก็แล้วแต่ ไม่อย่างนั้น Rockman / Pokémon จะอยู่มาถึงวันนี้หรอ

สิ่งที่ยากจริง ๆ คือ เราจะทำยังไงให้เด็กยุคใหม่หันมาชอบ Pokémon อาจเป็น Presentation, Fashion คุยกับเส็งว่าแฟชั่นยุคนั้นที่ทุกคนเคยใส่ต้องมา ขาเดฟ, เสื้อไซส์เล็กไหล่สโลป, รองเท้า Converse แต่ถ้าเป็นยุคนี้แต่งแบบนี้เด็กอาจจะไม่ชอบ จะบิดยังไงดี ก็เติมเสื้อ Oversize กางเกงยีนส์ฟอกแต่เปลี่ยนทรงเป็นที่เด็กชอบ เรียกว่าเอาสิ่งนั้นมาตีความใหม่ในยุคนี้

UNLOCKMEN : ในแง่ภาพลักษณ์ (Image) เข้าใจเลยที่จะปรับยังไงให้ Gen ใหม่ชอบ แต่ในพาร์ท Music Arrange ยังไงให้ ‘เก่า’ แต่ ‘โมเดิร์น’

ตูน : ผมว่าแค่เราเอาดนตรีเก่ามาอัดใหม่ในยุคนี้ก็ไม่เหมือนแล้ว อุปกรณ์ก็ไม่เหมือนเดิม ไมค์ก็คนละตัว เราแค่เอาสิ่งเก่ามาเล่นในแบบของเรา เพราะเราสร้างคาแรคเตอร์ Three Man Down มาตั้งแต่แรก เราก็เอาเพลงที่ OG มาก ๆ มาใส่ใน Three Man Down เท่าน้ัน

เต : ตอนแรกจะตอบว่า Plugin (หัวเราะ)

กิต : ผมได้ดูหนังบางเรื่องที่เขา Codec Package ใหม่เข้าไปใน Netflix ซึ่งชัดมาก ให้คนละ Mood แต่เรื่องเดิมนะ แล้วล่าสุดเอ็มวี ‘Ghost of You’ ของ My Chemical Romance ก็ถูก Re-Upload ลงบน YouTube เป็น 4K ภาพใหม่ Mood เปลี่ยน น่าจะเป็นสิ่งที่ตูนอธิบายว่าแค่อัดใหม่ก็ช่วยอะไรได้เยอะ

เต : ลูกติดมือหรือวิธีการเล่นของเรามันไม่ใช่วิธีคิดแบบยุคนั้นอยู่แล้ว อย่างไรมันก็ไม่ใช่ Original ถ้าจะตรงยุคจริงต้องให้คนยุคนั้นมาเล่น ซึ่งสำหรับผมการทำแบบนี้มันเป็นแค่งานที่พยายามจะเป็นโดยใช้แนวคิดแบบนั้น

กิต : มันก็เลยจะมีความ Nostalgia อยู่ ในขณะเดียวกันวิธีร้องของผม วิธีตีกลองของเต วิธีเล่นกีตาร์ของตูน มันอาจไปโดนเส้นของน้องยุคใหม่ก็ได้ ก็เลยผสมกันระหว่าง ‘ความคิดถึง’ กับความที่เด็กมองว่ามันคือ ‘สิ่งใหม่’ สิ่งเก่ากับสิ่งใหม่มาเจอกันก็เลยร่วมทางกันได้ ผมอาจจะทำให้น้อง ๆ มอง Converse ใหม่ มอง Van ใหม่ ก็เป็นวิธีแต่งตัวของ Three Man Down ใส่เสื้อในยุคนั้นให้น้อง ๆ เห็นในแบบใหม่

UNLOCKMEN : อะไรคือสิ่งที่ยากที่สุดของการทำอัลบั้ม lll

ตูน : ช่วงแรกยากสุด ในระหว่างที่พยายามทำอัลบั้ม lll มันจะมีช่วงว่างปีนึงที่เราไม่ได้อะไรเลย ตอนนั้นเราทัวร์ไต้หวัน นั่งรถแล้วก็ว่างเปล่าอยู่ด้วยกัน

กิต : ผมก็เพิ่งหายป่วยรอบแรกด้วยนะ แล้วก็เพิ่งสึกมาด้วย หัวโล้น ๆ ไปเล่นไต้หวัน

เต : ก็นั่งคุยกันว่าเพลงของ Musketeers ดีจัง

กิต : ก้อนไอเดีย Back To Basic มันมีมานานแล้วล่ะ

ตูน : อยู่ที่ว่าเบสิกทางไหน

ตูน : ตอนนั้นก็มี Musketeers, Playground, Bodyslam, Potato มันมีเบสิกหลายแบบที่เราอยากจะทดลองทำ แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงทดลอง แต่ก็ไม่คลิกสักที เลยมองว่าช่วงแรกน่ะยากที่จะหาจุดลงตัว ซึ่งตอนนั้นวงก็ทำกันเยอะมาก 20-30 เพลง จนมีเพลงหนึ่งที่ทำให้อัลบั้มนี้เห็นภาพชัด ยอมถอย ซึ่งยอมถอยไม่ได้เป็นเพลง S class แต่เป็นเพลงแบบ B class เลย

กิต : เป็นเพลงระดับ Underrate ที่ตูนเปิดให้ฟังทีหลังตอนทำเดโม่ น่าจะเป็น 3 เพลงสุดท้ายมั้ง ตูนบอก  “เพลงนี้ฟังผ่าน ๆ แล้วกันนะ” แต่เพลงนี้แหละคือสิ่งที่เราหากันมานาน ทุกอย่างเบสิกไปหมด ผมรู้สึกว่าเพลงนี้คือแก่นของอัลบั้ม

ตูน : แล้วพอได้เพลงนี้ตั้งต้น เดือนเดียวอัลบั้มเสร็จเลย จากที่ผ่านมา 1 ปีกว่า ๆ ตั้ง Direction ถูก ซื้อกีตาร์มาตัวนึงดีดทั้งวันเหมือนปั๊มเวล จบ การทำเพลงในอัลบั้ม lll มันจะเรียง Timeline ประมาณนี้ ‘ไม่ให้ไป’‘เพลงรัก’‘ขอโทษที่ติดต่อไป’‘ยอมถอย’ คือยอมถอยมาประมาณต้น ๆ แล้วเพลงที่เหลือในอัลบั้มทั้งหมดมาหลังจากนั้น

UNLOCKMEN : อยากให้แต่ละคนเลือกเพลงที่ตัวเองชอบที่สุดในอัลบั้ม lll ที่ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นอัลบั้มที่กลมกล่อมที่สุดตั้งแต่ทำ Three Man Down มา

เส็ง : ‘รักใครไม่ไหว’ แต่จริง ๆ อัลบั้มนี้ชอบเยอะเหมือนกัน รู้สึกว่าแนวเพลงมันค่อนข้างจะเกาะกลุ่มกันไป ถ้าเรารู้สึกชอบเพลงนึงก็อาจจะรู้สึกชอบเพลงอื่นในอัลบั้มได้ด้วย มีสิทธิ์เป็นแบบนั้นมาก คิดว่าจะเป็นแบบนี้กับคนฟังเหมือนกันไม่ใช่แค่กับพวกเรา

กิต : ชอบเพลง ‘ทางออก’ รู้สึกว่าเป็นเพลงที่ Set Mood ได้เร็วที่สุดในอัลบั้ม เวลา 10 วิแรกในการฟัง Intro ภาพมันฟุ้งอยู่ในหัวหมดแล้ว มันอบอุ่นเร็วมาก ๆ ก็เลยชอบเพลงนี้ มันทำให้ผม Nostalgia นึกถึง ‘กันและกัน’ ในหนังรักแห่งสยาม (2007) นึกถึงเพลงจากหนังปายอินเลิฟ (2552) มันเหมือน Fix You ของ Cold Play พออารมณ์ชัด ผมนึกถึงภาพในคอนเสิร์ตเลยว่ามันจะต้องมีอะไรบ้างแล้วมันสนุก

ตูน : ชอบเพลง ‘เริ่มใหม่’ เพราะว่ามัน ‘โจ๋ย’ ดี โจ๋ยคือคำที่เราล้อเลียนทีมงานในวงเรา เขาเป็นชาวเมทัล แล้วจะมีเด็กอีกคนหนึ่งแซวว่า เพลงโจ๋ยนะ คือเพลงมันร็อคดี

เต : ชอบเพลงเดียวกับตูน

ตูน : เพราะมันโจ๋ย ?

เต : มันมากกว่าโจ๋ยคือผมรู้สึกว่าเริ่มใหม่มันรีดสมองและความรู้สึกของผมออกมาได้มากที่สุด ถ้าเป็นผ้าขี้ริ้วก็คือบิดจนผ้าแทบจะขาด เป็นเพลงที่รุนแรงมาก ๆ ไม่ใช่เพลงที่เล่นยากที่สุดนะ เป็นเพลงที่เล่นง่าย ๆ มันเป็นความฝันที่จะมีเพลงแบบนี้สักเพลงในชีวิต คือชอบเพลงแบบนี้มาก

กิต : จริง ๆ ผมว่าทุกคนชอบเพลงเริ่มใหม่เป็นอันดับ 1 แหละ แต่แค่ตอบให้มันหลากหลาย

เต : สำหรับผมมันคือจุดเริ่มต้นของอัลบั้มนี้ ไม่นับตอนทำนะ หมายถึงมันเป็นเพลงที่ 1 ของอัลบั้ม

ตูน : แต่มันคือ Track 2 เพราะ Track 1 คือ Interlude

กิต : วิธีการปล่อยอัลบั้มของ Three Man Down จะมี interlude ก่อน อย่าง This City Won’t Be Lonely Anymore กับ 28 ถ้าฟังเพลงที่ 1 แทบจะเห็นภาพของทั้งอัลบั้ม “ซาวด์เป็นอย่างไร, วิธีร้องเป็นอย่างไร, มีใคร Feat บ้าง” มันคือรีแคปทั้งอัลบั้ม ซึ่งของอัลบั้ม lll ชื่อเพลงว่า ‘ลึกลงไป’


UNLOCKMEN : การที่วงดนตรีวงหนึ่งจะสามารถประสบความสำเร็จได้ Three Man Down คิดว่าต้องอาศัยปัจจัยอะไรบ้าง

กิต : ‘ดวง’

เต : มันต้องพึ่งโชคด้วย ฝีมือทุกคนมีอยู่แล้ว คนเก่งมีมากมายแต่ไม่ใช่ทุกคนจะประสบความสำเร็จได้

กิต : ยิ่งยุคนี้ แพลตฟอร์มต่าง ๆ การคาดคะเนกลุ่มตลาดค่อนข้างวัดใจเด็ก GenY กันอยู่ พอแพลตฟอร์มต่าง ๆ เข้ามา พฤติกรรมผู้เสพเปลี่ยนไป ลูกค้าก็ต้องการข้อมูลแบบใหม่ คือทุกอย่างงงไปหมดแล้วตอนนี้ ผมเลยมองว่า ‘ดวง’ สำคัญ 

ยกตัวอย่างเพลงรัก เป็นเพลงที่ผมมองว่า Slow Burn ยอดวิว 10 ล้าน ค่อย ๆ ขยับไป วันหนึ่งก็จะเป็นที่รู้จักแบบเพลงข้างกันที่ใช้เวลาเดินทางหลายปี แต่เพลงรักดันไปเป็นคอนเทนต์ในแพลตฟอร์ม เป็น Instant content ทำให้เพลงนี้ถูกกลับมาฟัง ผมรู้สึกว่าเดาไม่ได้ ‘เฮง!’

เต : มันคือการมีกระสุนตุนไว้เยอะ ๆ แล้วยิงไปเรื่อย ๆ เหมือนปลูกต้นไม้ สมมติปลูก 100 ต้น มันอาจโตสักต้น-แต่มันอาจจะเป็นต้นที่ยั่งยืนมาก ถ้ามันโต 10 ต้นก็อาจเป็นดวงไป

กิต : ขอขยายความคำว่าเฮง ในอนิเมะเรื่อง Blue Lock (ขังดวลแข้ง) อธิบายเรื่องความเฮงได้ประทับใจมาก คือการที่พวกเราจะโชคดี มันไม่ได้เกิดจากการอยู่บ้านเฉย ๆ เราต้องเอาตัวไปอยู่ในพื้นที่ที่จะมีโอกาสได้รับความโชคดีนั้นด้วย ความหมายก็คือ ถ้าเป็นการปลูกต้นไม้แบบที่เตว่า ถ้าปลูกในทรายมันก็ไม่โต ต้นไม้จะโตก็ต้องโตในดิน ใน Blue Lock มีซีนที่พระเอกแพ้ดวง เขาไม่ได้กระโดดโหม่งลูกเพราะว่าบอลไม่ได้ตกอยู่ที่หัวเขา เขาบอกว่ามันเป็นเรื่องของดวง แต่ตัวละครอีกตัวเอาตัวเองไปยืนอยู่ในจุดที่บอลมีโอกาสจะตก แล้วมันก็ตกมาเลยเฮง สรุปคือถ้าคนเราไม่พยายามจะขวนขวายความเฮง โชคมันก็จะไม่ตกมาที่ตัวเอง

เต : ต่อจากเรื่องดวง ผมรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องของการที่คนในวงมีคาแรคเตอร์ที่หลากหลาย ถ้าพูดเรื่องดวง ตูนเป็นคนที่ปลูกเพลงขึ้นอย่างไม่หยุ ..  

ตูน : แต่ต้นกระบองเพชรมันโตในทรายนะ

เต : แต่กระบองเพชรไม่ได้ทำให้คนเข้าไปจับมันได้ไง เป็นต้นไม้ที่ Toxic

กิต : แต่มีช่วงหนึ่งคนก็ปลูก Cactus กันเยอะนะ …

เต : อยากบอกต่อว่า คนอย่างตูนเป็นคนที่ผลิตผลงานออกมาเรื่อย ๆ และมีความเชื่อว่าอย่าหยุดทำแล้วมันจะดีเอง แล้วพวกเราที่เหลือเป็นคนที่จับเมล็ดพวกนี้ไปวางในที่ที่มันมีดวงให้ได้ เพลงอย่างเดียวอาจไม่ได้ทำให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จได้ในยุคนี้ ผมรู้สึกว่า “เพลงดีถ้าอยู่ผิดที่ผิดเวลาก็อาจเสียเปล่า” หรืออาจต้องรอเวลานานมาก บางเพลงอาจต้องใช้เวลา 5 ปีในการดัง แต่ถ้าเราระดมสมองทั้งหมด ให้ครบตัวแปร มันจะทำให้เร่งปฏิกิริยาผลได้มากขึ้น

โชคดีมาก ๆ การทำวง Three Man Down ที่มาถึงจุดนี้ได้ เป็นเพราะพวกเราไม่เหมือนกัน ผมว่ามันเป็นการชดเชยซึ่งกันและกันในสิ่งที่สมาชิกบางคนขาด ตูนอาจเป็นคนฟาร์มเก่งมาก ๆ แต่อาจเป็นคนที่เอาเพลงไปขายค่ายไม่เก่ง ผมกับกิตอาจเป็นคนทำเพลงไม่เก่ง แต่ว่าอาจเป็นคนที่บอกว่าเพลงนี้แหละมีคนฟัง เส็งก็อาจเป็นตัวแปรที่ทำให้ทุกคนอยู่รวมตัวกันได้ แล้วก็เป็นคนทำ Merchandise ด้วย

ในวงดนตรีวงหนึ่ง ถ้าจะได้เปรียบมันต้องมีครบหรืออย่างน้อยมีมากที่สุด ถ้าทุกคนคิดและเก่งในเรื่องเดียวกัน สำหรับผมมันดี แต่อาจไม่ทำให้วงเราไปอยู่จุด Next Step ซึ่งก็เป็นเรื่องดวงอีกในการที่เราได้มาเจอกัน เหมือนกดแรงค์แล้วเจอเพื่อนเก่ง แต่ถ้าสมมติเราไม่ได้เลือกไปเรียนม.กรุงเทพ เพื่อมีเวลาเล่นดนตรี ทำเพลง ไม่ตั้งใจเรียน มันก็จะไม่เจอกัน เราน่ะ คิดกันแล้วว่ามันต้องมีเวลาว่างในการที่เราจะไปเล่นดนตรี ก็ถือเป็นการเอาตัวเองไปอยู่ในจุดที่น่าจะเจอบุคลากรที่คิดเห็นเหมือนกัน

ตูน : จะบอกว่า ม.กรุงเทพ ไม่ต้องเรียนเหรอ ?

เต : มหาวิทยาลัยบอกแล้ว เขาเรียนแบบเมืองนอก เรียนไปด้วย ทำงานไปด้วย

กิต : ผมมองว่า Three Man Down เป็นคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ตูนอาจจะเป็น CPU ผมเป็นการ์ดจอ เตเป็น RAM

เต : เป็น RAM จำอะไรไม่ค่อยได้

กิต : ส่วนมึงอะเป็นเหี้ยอะไรเส็ง (หัวเราะ)

เส็ง : … (หัวเราะ)

เต : เส็งเป็น Mainboard

กิต : คอมเครื่องหนึ่งการจะประมวลผลให้รวดเร็วหรือว่าแรงมีประสิทธิภาพ ก็ต้องการอะไรหลาย ๆ อย่างถ้า CPU รันอยู่คนเดียว ไม่มีการ์ดจอก็ส่งภาพออกไปหน้าจอไม่ได้ มันหล่อเลี้ยงซึ่งกันและกัน

ตูน : แต่เดี๋ยวนี้เขามี Onboard แล้วนะ

กิต : เดี๋ยวนี้ก็มี Onboard แล้ว แบบ ‘นนท์-ธนนท์’ เป็นตัวชิป M1 โหดไปเลย แต่พวกเราก็เป็นส่วนประกอบที่มาต่อกันแล้วก็เรียกได้ว่าสามารถผลิตอะไรออกมาได้

เต : มันเป็นหนึ่งในโมเดลแล้วกัน ไม่ได้หมายความว่าโมเดลนี้จะทำให้ประสบความสำเร็จนะ แต่ว่ามันเป็นการวิเคราะห์แล้วว่าเราทำอะไรไม่ได้ มากกว่าเราทำอะไรได้

กิต : เราต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรไม่ได้

เต : แล้วก็ให้เพื่อนช่วย หรือให้ตัวแปรอื่นมาเสริม

กิต : ซึ่งถ้าเกิดว่า CPU เราแรงจัด แล้วมันโดดเด่นมากจริง ๆ ก็จะมีคนเอาชิปของเราไปใส่ใน Product อยู่ดี ถ้าเกิดคุณเป็นศิลปินที่โหดมาก ๆ ก็จะมี Backup เข้ามาเสริมอยู่ดี แต่ว่านี่เป็นแค่หนึ่งใน Scenario ที่ Three Man Down เลือกใช้ คือการประกอบคอมพิวเตอร์ของเราขึ้นมาเอง โดยระบบข้างในเป็นระบบของเราเอง ไม่ได้บอกว่ามันถูกหรือมันผิด แต่เราแค่ใช้วิธีนี้

เส็ง : อยากเสริม ส่วนใหญ่ศิลปินที่เราเคยพูดคุยมาเขาจะไม่ยอมรับว่างานศิลปะมันคือ ‘ธุรกิจ (Business)’ เพลงจริง ๆ มันเป็นแค่ผลิตภัณฑ์หนึ่งอย่างที่อยู่ในวงจรของธุรกิจนี้ ซึ่งการจะเกิด Business ที่รันได้จริง ๆ มีหลายส่วนที่เราต้องคิดถึงอีกเยอะเลย เช่น Marketing, Direction, Merchandise ที่มันต้องรวมกันแล้วเรายกแผงนี้เดินไปด้วยกัน ไม่ใช่แค่ Product หรือเพลงอย่างเดียวจะทำให้วงดนตรีวงหนึ่งหรือศิลปินจะดังได้

กิต : เสริมจากเส็ง มันจะมีวงดนตรีบางวงที่ดังด้วยตัวเพลงจริง ๆ ก็มี มันอะไรก็ได้บนโลกใบนี้ ถึงบอกว่าด้วยแพลตฟอร์มต่าง ๆ มันอะไรก็ได้เลย แต่ในขณะเดียวกัน ณ จุด ๆ หนึ่งที่วงดนตรีวงหนึ่งได้เข้าสู่อุตสาหกรรมดนตรีแล้ว มันก็จะเป็นแบบที่เส็งว่า เราจะต้องมองทุกอย่าง เพราะวันหนึ่งเราก็ต้องมีนายทุนเข้ามา พูดแบบ Fact เลยนะ ถ้าเราไม่ได้เกิดมารวยมาก ๆ อยู่แล้ว ถึงขนาดสามารถมีสายป่านทำเพลง 2-3 อัลบั้มโดยที่ยัง Turn Income กลับมาไม่ได้แล้วยังไปต่อได้ มันก็มีคนที่มีเงินเยอะมาก ๆ แต่พวกเราไม่มีเงินขนาดนั้น ในอัลบั้มแรก This City Won’t Be Lonely Anymore ถ้าสมมติ ‘ฝนตกไหม’ ไม่ดัง ผมก็อาจเป็นคนที่นั่งถ่ายอยู่ตรงนี้เป็นทีม UNLOCKMEN แต่ละคนก็มีเส้นทางที่จะไปต่อ 

ประสบความสำเร็จของพวกเราตีความว่าหาเงินเลี้ยงชีพครอบครัวได้ ซึ่งวันนั้นมันเกิดขึ้นด้วยฝนตกไหม แล้วตัวเราถูกยัดเข้าไปในอุตสาหกรรมเรียบร้อย พอมีนายทุนมาลงทุน เงินเขา เราก็ต้องฟังเขา ก็ต้องคิดถึงใจเขา เวลามี Product อะไรเราก็ต้องคิดให้มันครอบคลุมเพื่อให้เวลาที่เอา Product ไปขายไม่มีช่องโหว่ในทุกอย่าง

Three Man Down เคยทำแล้ว ไปแต่เพลงเลย MV ถ่ายยังไงไม่รู้ Merchandise ขายอะไรไม่รู้ ให้พี่ ๆ ที่ค่ายจัดการให้ แต่สุดท้ายเรามองว่าทุกอย่างไม่ใช่งานของเรา นั่นคือช่วงของอัลบั้มแรก วันนี้เราได้บทเรียนแล้ว พอจะเสนอเพลงเราอุดไปหมดเลย MV ต้องเป็นแบบนี้ Costume อย่างนี้ Merchandise แบบนี้ อัลบั้มเป็นอย่างนี้ นายทุนเขาก็จะโอเค แค่นั้นมันก็จะเป็นงานที่เราโอเคแล้ว


UNLOCKMEN : เมื่อกี้ถามเรื่อง “วงจะประสบความสำเร็จต้องทำยังไง” ขอถามต่อ หลังจากประสบความสำเร็จแล้ว เราจะดีลกับวงอย่างไรให้ทำงานตอบโจทย์ทั้ง Business และ Art ?

เต : ผมว่ามันเป็นความโชคดีของผมอย่างนึงตรงที่ว่าชื่อเสียงของเรามาผิดที่ผิดเวลาคือมันมาช่วงโควิด Three Man Down ดังที่สุดในช่วงที่เราไม่สามารถทำงานได้ และเราไม่สามารถหารายได้จากความดังของเราได้แม้แต่บาทเดียว หมายความว่า ตอนนั้นเราออกไปเล่นไม่ได้ เจอล็อกดาวน์ แต่เพลงมันรันไปแล้วในโซเชียลมีคนพูดถึง ตรงนั้นมัน Nerf สิ่งที่มันน่าจะอันตรายที่สุดสำหรับวงดนตรีคือ ‘อีโก้’

มัน Nerf ลงมาว่า “ต่อให้ดังกว่านี้ ดังระดับโลก แต่ก็ไม่สามารถก้าวเท้าออกไปนอกบ้านเพื่อไปโชว์ความดังให้คนอื่นดูได้ ทำให้ตัวผมเจียมตัวว่ามันมีอะไรบางอย่างที่ใหญ่กว่าเราเสมอ” และเราต้องแพคกันไว้เพื่อให้สิ่งนี้มันผ่านพ้นไป ช่วงระยะเวลานั้นคือปีครึ่งเกือบสองปี มันเจ็บปวดมาก ตอนนั้นมีแต่คำถามว่าทำไมเราไม่เหมือนวงอื่น ทำไมเราไม่สามารถมีรายได้จากชื่อเสียงที่มันดังได้ ตอนนั้นได้มากสุดคือทำ Live อาทิตย์ละครั้ง

จนผมไปเจอโพสต์ของ John Mayer ถ่ายรูปมือของตัวเอง บอกว่า “มือคู่นี้ เคยเล่นให้คนฟังต่อวัน 30k-40k ทุกคืน” ผมเลยรู้สึกว่ามัน Nerf ความมั่นใจของ Three Man Down ลงมาในวันที่มันเติบโตมากที่สุด แล้วมันทำให้ความเจียมเนื้อเจียมตัวของวงเกิดขึ้นอัตโนมัติ อาจไม่มีการพูดกันในวงหรอก ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้คือทำงานต่อไป และเกาะกันให้แน่น เพื่อที่วันหนึ่ง Wave ใหม่มันมา เราจะต้องแก้ไขปัญหาและเยียวยาจิตใจกันไปให้ได้มากกว่าแตกสลายไปตามยุคสมัย

กิต : หลังจากนั้นก็มีเรื่องราวมากมาย Three Man Down เองถ้าไม่โดนโควิดรอบนั้นคงแย่กว่านี้ เพราะหลังจากเปิดโควิดทุกอย่างถาโถมเข้ามา คอนเสิร์ต Festival วงเราไม่มีการไต่ระดับจากเป็นวงเปิด กลายเป็นวงกลาง แล้วค่อยเป็นวงปิด แต่พอเปิดโควิดปุ๊บได้เป็นวงปิดเลย ถ้าเราไม่โดนโควิดมา เราไม่ได้รู้สึกว่าเราจะต้องคำนึงถึงอะไรบางอย่างไว้เสมอ ความคิดเราคงออกนอกลู่นอกทางแล้ว พอมันมีสิ่งนั้นมาครอบ Mindset เราถูกจำกัดไว้ด้วยคำเตือนบางอย่างจากโลกใบนี้ มันเลยทำให้เราพึงระลึก หลังจากนั้นผมก็ป่วยวงก็ต้องหยุดอีก โชคดีที่เราซ้อมกันไว้แล้วในช่วงโควิดครั้งนั้น

พอผมป่วย ทุกคนเลยรู้ว่าต้องไปทำอะไร ผมป่วยนอนอยู่บ้าน ไอตูนไปเล่นโป๊กเกอร์ ได้รางวัลกลับมาข่าวออกเต็มอินเตอร์เน็ต “ตูน-Three Man Down ได้รับรางวัล” ดีใจด้วยนะ (หัวเราะ) ตอนนั้นเพิ่งบวชกลับมาด้วย สิ่งนี้ทำให้ Three Man Down รู้สึกมีสติ

เต : รู้สึกว่ามันทำให้เราระลึกว่าเราคือคนหนึ่ง ที่เป็นคนทำงาน ชื่อเสียงมันก็เป็นเรื่องที่ดีแต่มันไม่ได้ทำให้เรามีคุณค่ามากกว่าใคร แต่ว่ามันทำให้เราหยุดคิดนะ ว่านอกจากฟังก์ชันการไปเล่นดนตรีแล้ว มันมีฟังก์ชันอื่นอีกไหมที่จะทำให้วงเรายังคนดังต่อไปได้หลังจากโควิดผ่านไปแล้ว มันฝึกทำให้เรามีนิสัยว่า เมื่อเราเจอวิกฤตเราต้องผ่านมันไปอย่างไร ก็เป็นการบ่มเพาะทุกคนในทีมของ Three Man Down ให้คิดต่อไปเรื่อย ๆ ว่า Next step คืออะไร


UNLOCKMEN : ปีนี้ Three Man Down เข้าสู่ปีที่ 12 ถ้าเปรียบ Three Man Down เป็นเรือ Thousand Sunny ใน One Piece คิดว่าตอนนี้เดินทางถึงเกาะไหนกันแล้ว

กิต : ตอนแรกคิดว่าตัวเองไปชาบอนดี้แล้วนะ แต่จริง ๆ เพิ่งผ่านแกรนด์ไลน์มานิดเดียวเอง (หัวเราะ) ผมชอบการเปรียบวงดนตรีเป็น One Piece มาแต่ไหนแต่ไรละ เคยคุยกับเพื่อนคนหนึ่งว่า การตั้งวงดนตรีโคตรยากเลยที่จะเอาคนบ้าหลาย ๆ คนมานั่งอยู่ในชื่อวงเดียวกัน มันต้องแบกรับอีโก้มากมาย การจะจัดการอีโก้ของแต่ละคนมันยากมาก ตอนแรกที่จบคอนเสิร์ตใหญ่ คิดว่าเดี๋ยวเราจะไปโลกใหม่กันเหมือนในมังงะละ

เส็ง : คิดว่าจบมารีนฟอร์ดแล้วแต่มันไม่ใช่ 

กิต : พอจบคอนเสิร์ตใหญ่ ‘Three Man Down Live At Impact Arena 2023’ ได้ไปนั่งคุยกับศิลปินรุ่นใหญ่ระดับ 4 จักรพรรดิ ก็คือเข้าใจความรู้สึกของลูฟี่ตอนเจอของจริงเลย

เต : มันสนุกตรงที่ว่าตอนนั้นมันไม่สนุก แต่ตอนที่เราผ่านคอนเสิร์ตใหญ่มา มันมีวิกฤตเข้ามาหลายเรื่อง ป่วย ดราม่า มันทำให้เราแพ้ครั้งแรก ถ้าเป็นในการ์ตูนก็คือลูฟี่แพ้

กิต : ก็คือโดนส่งเลย พี่โอมเป็นคุมะ ใช้ผลปีศาจมือหมีตบส่งผมไปบวช ตบส่งไอตูนไปเล่นโป๊กเกอร์

ตูน : จริง ๆ พี่โอมห้ามแต่กูหนี (หัวเราะ)

กิต : ส่งไอเตไปเรียนมึงจงเป็นโซโลซะ

เต : ผมก็พยายามเรียน ไอเส็งก็ทำเสื้อไป พวกเราช่วยกันประคองเรือไว้ ดีมากที่เปรียบเทียบ Three Man Down กับ One Piece เพราะผมรู้สึกว่าสิ่งที่อธิบายไปทั้งหมดตอนแรกว่าทุกคนไม่ Perfect และทุกคนมี Specialist ของตัวเอง มันอยู่ในการ์ตูนเรื่องนี้ล่ะ ลูฟี่ก็ไม่ได้ฉลาดขนาดนั้น

เส็ง : ลูฟี่มันก็บ้า

เต : แม้แต่คนที่ผมไม่เห็น Potential ตั้งแต่อ่านแรก ๆ อย่างอุซป วันหนึ่งเขามาช่วยเรือลำนี้ไว้ อย่างของ Three Man Down การประสบความสำเร็จสูงสุดมันคือ One Piece ไม่ว่าเรือนี้จะประกอบไปด้วยใครก็ตาม ทุกคนต้องเห็นเป้าเดียวกันคือวันพีซ

เส็ง : แต่ทุกคนไม่รู้นะว่าวันพีซอยู่ตรงไหน และเราไม่รู้เลยว่ามันอีกไกลเท่าไหร่

เต : แต่เราเชื่อว่าวันหนึ่งเรือลำนี้จะพาเราไปได้ และเราจะไม่ทำให้เรือลำนี้พัง มันต้องพยายามเอาตัวเข้าไปช่วยเสมอต่อให้เราไม่ใช่คนเก่ง แต่เราต้องเชื่อว่าเราจะมีประโยชน์กับเรือลำนี้ได้

กิต : ในจังหวะที่วงคิดว่าตัวเองแน่มาก ๆ มันก็คงเป็นจังหวะที่ลูฟี่คิดว่าตัวเองเก๋ามาก ๆ แล้วไปเจอทุกคนที่เป็น New Wave ของยุคสมัย พวกผมก็เจอตัวเดือดในยุคสมัยของตัวเองเหมือนกัน ไททศมิตร, Tillybird, Only Monday, เห็น Little John ยืนดูดบุหรี่อยู่รวมกันในชาบอนดี้ (หัวเราะ) และสุดท้ายพอเราเจอ Big 4 จริง ๆ เราก็สู้ไม่ได้ พอเราอ่าน One Piece มามันยิ่งรู้เลยว่าคนที่อยู่ตรงจุดสูงสุดจากการยืนระยะมาได้นั้นมันยิ่งใหญ่จริง ๆ

ตอนแรก Three Man Down ก็คิดว่าคงเร็ว ๆ นี้จะจัดคอนเสิร์ตที่ราชมังบ้าง แต่พอเจอ ‘BASIC TOUR’ (2024) เข้าไป แค่เราจะเอาคนระดับจังหวัดยังยากเลย แต่ Cocktail เรียกมาทั้งประเทศ มันไม่ธรรมดา มันเหมือนพวกเราเป็นลูฟี่ที่วิ่งเข้าไปต่อยคุมะที่เป็นหุ่นยนต์ มันสู้ไม่ได้

หลังจาก Basic Tour ปีที่แล้ว พวกเราก็แยกย้ายกันไปหลายเดือน เหมือนลูฟี่แยกย้ายกับพวกพ้องกันไป 2 ปี แล้วก็กลับมาเจอกันใหม่ พวกเราก็ได้อัลบั้ม lll มา และหวังว่าจะได้เป็นร่างใหม่ ๆ ที่มีเกียร์ 5 เกียร์ 6 ออกมาให้เห็นกัน


UNLOCKMEN : พอพูดถึง One Piece ก็จะต้องพูดถึงพวกพ้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สำหรับ Three Man Down ที่มีความเป็น Band Mate แข็งมาก ๆ อยากรู้ว่าพอประสบความสำเร็จแล้ว ชื่อเสียงและเงินทองมันสั่นคลอนวงและความเป็นเพื่อนบ้างมั้ย

กิต : เป็นเรื่องจริงที่ว่าพอชื่อเสียงเข้ามาวงดนตรีอาจจะทะเลาะกัน เพราะว่าในวันนึงที่มันมีความเครียด การเล่นดนตรีมันไม่ได้เป็นคำว่าเล่นอีกแล้วแต่เป็นการทำงาน มันเกิดความเครียดมันต้องมีทะเลาะกันขึ้นมาอยู่แล้ว 

ผมโชคดีที่วงเรามองสิ่งนี้เป็น Business ได้ ไม่ติดอะไร และพยายามจะทำความเข้าใจกับมันมากที่สุด ตัวอย่าง ถ้าเราทำโปรดักส์นึงออกมา เราจะต้องคุยกันตรงกลางกันให้เคลียร์ว่าโปรดักส์นี้มันจะเป็นอะไร ถ้าเราจะทำรองเท้า Converse ก็ต้องมีภาพที่ชัดเจน รู้อยู่แล้วว่าเชือกต้องเป็นแบบไหน ถ้าผมเผลอไปวาดเชือกอีกแบบก็จะไม่ใช่แล้ว Three Man Down ใช้วิธีนี้ เราเลยไม่ทะเลาะกัน เราคุยกันตรงกลางให้เคลียร์ที่สุดเท่าที่จะเคลียร์ได้ ถ้าเกิดเตตีออกมาแล้วไม่ใช่ เราเอาสิ่งนี้ไปพูดกับมันว่าไม่ใช่สิ่งที่เราคุยกันเอาไว้ตั้งแต่แรก เตก็จะยอม

เส็ง : Band/Brand ของ Three Man down มันไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง หรือ ideal ว่าเอาของแต่ละคนมารวมกันตรงกลาง เราตั้งคำว่า Three Man Down ขึ้นมาใหม่เลย แล้วช่วยกันจำกัดความว่ามันต้องเป็นแบบไหน เท่ากับว่าทุกคนจะรู้กัน ว่าการทำสิ่งไหนคือ Three Man Down พอเราสลัดความเป็นตัวตนของตัวเองออกไป เราก็จะมองเห็นว่าวงทำอะไรได้บ้าง โดยไม่ต้องเอาตัวเองเข้าไปใส่ในนั้น

เต : อันนี้คือในมุมของเรื่องงาน แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว สำหรับผม จริง ๆ ความสามารถในการ ‘ถอย’ ของคนในวงเป็นเรื่องสำคัญมาก และผมเพิ่งตกผลึกในช่วงหลัง ๆ ที่เริ่มทะเลาะกันบ่อย ๆ นี้เอง สมัยก่อนเราอาจคิดว่าเวลามีอะไรเราต้องเดินหน้าเข้าไป เราเจอกันทุกวัน ความสัมพันธ์ของเราคือเจอกันทุกวันยิ่งกว่าแฟน หรือพ่อแม่ ยิ่งกว่าใคร ๆ ในโลกใบนี้ จนแทบจะไม่มีใครมีเพื่อนนอกวงแล้ว

เส็ง : ถ้าจะเซ็งก็เซ็งทุกวันเพราะต้องเจอกันทุกวัน

เต : การแยกเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัวสำหรับผมก็เป็นเรื่องยากระดับหนึ่ง ตอนแรกคุยกันเรื่องงาน เราเข้าใจวิธีการจัดการได้ แต่ถ้ามันเกิดขัดแย้งขึ้นมาแล้วเกิดเป็นเรื่องส่วนตัว อันนี้แก้ยากแล้ว

กิต : ผมมองว่าโชคดีหลายอย่างมากที่เราอ่าน One Piece และเราเล่นเกม สมมติว่า MOBA วงผมมี 4 คน จริง ๆ 5 โอมออกไปแล้ว มีมือเบส Backup เข้ามาคือเจสัน เล่น 5 คนครบทีมพอดี MOBA เป็นเกมที่ต้องด่า แต่ด่าเสร็จมันต้องไม่โกรธจริง โดนด่าเพราะหน้าที่บกพร่อง ผมว่าสิ่งนี้ทำให้ Three Man Down ยืนระยะในเรื่องความไม่ต่อยกัน แต่จริง ๆ ต่อยกันในหัวแล้วนะ (หัวเราะ)

การโดนด่าตอนทำงาน แล้วก็มารักกัน โอเคจบ พอได้ทำสิ่งนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็ทำให้ความสัมพันธ์มันดีขึ้น ถอยในชีวิตจริง ก็ยากพอ ๆ กับถอยใน ROV ถ้าเป็นในเชิงการทำงานเรามองแบรนด์ Product ให้ชัดเจน เราก็จะไม่ทะเลาะกัน คุยกันด้วยเหตุผลเพราะตกลงกันแล้ว ผมว่าอีโก้มันสลายไปได้ในจังหวะที่มันต้องสลาย ถ้าเราดูรายการปั้นทีม E-sport นักแข่งเกมที่ดีมันมีจังหวะที่ต้องใช้อีโก้และไม่ใช้

UNLOCKMEN : แล้วมีวิธีการถอยหรือจัดการกับอีโก้ของตัวเองกันยังไง

เต : อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ผมเพิ่งเจอในเรื่องของอีโก้เหมือนกัน “สิ่งที่คุณรู้สึก มันไม่สำคัญเท่ากับสิ่งที่คนมองมองว่ารู้สึกอย่างไร” ผมบอกว่าผมรักเพื่อน แต่เพื่อนไม่รับรู้ว่าผมรักเขา มันไม่มีประโยชน์ สู้ไม่ได้รักจริง แต่เพื่อนรู้สึกว่าคุณรักเขา ยังมีประโยชน์กับทีมมากกว่า 

ดังนั้นการใช้อีโก้ถ้าจะ Beyond คือการบริหารอีโก้ให้คนเข้าใจในแบบที่อีโก้เราเป็นมากกว่า มันยากมากกับการที่คุณอยากทำอะไรสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่ว่าคุณต้องทำอีกวิธีการเพื่อให้คนเข้าใจว่าคุณอยากทำสิ่งนี้ แต่ถ้าคุณทำสิ่งนี้ไปตรง ๆ เลยเพื่อนจะไม่เข้าใจ ซึ่งมันเป็นวิธีการที่ซับซ้อนมากสำหรับผม เป็นช่วงเวลาที่เรียนรู้แล้วผมว้าวไปกับมัน “ไม่สำคัญหรอกว่ามึงรู้สึกอะไร มันสำคัญว่าคนเห็นว่ามึงรู้สึกอะไรมากกว่า”

กิต : ในเชิงมิติหนึ่งนะ ผมเข้าใจที่เตมันพูด เพราะว่าผมก็อยู่ในเหตุการณ์ของมันแล้วมันก็อยู่ในเหตุการณ์ของผม เราแต่ละคนมีเหตุการณ์ที่ต้องแตกสลาย ผมรู้สึกว่าคนเราจะเรียนรู้เรื่องอีโก้ตัวเองได้ มันจะเป็นจังหวะที่มนุษย์เราแตกสลายด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ถ้าเป็นเรื่องความรักก็ช่วงที่อกหัก ได้เห็นอะไรมากมาย แล้วก็เข้าใจที่เตพูดมีมุมที่ตัวเองคิด แต่ความจริงตรงกลางล่ะ ความจริงมันมีหลายมิติ เราก็ต้องแลกเปลี่ยนกัน มันก็กลายเป็นคำที่เตว่า มันไม่สำคัญหรอกว่าคนนี้จะเป็นอย่างไร แต่มันสำคัญที่ว่าจะแสดงให้เขาเห็นอย่างไรมากกว่า

ยกตัวอย่าง ที่ผมไปบวก ๆ ในคอมเมนต์ นั่งปั่นกวนตีนในโซเชียล พี่โอมเขาก็เตือนว่าต้องระวังว่าคนจะมองว่ามึงเป็นคนแบบนั้น ซึ่งสำหรับผมเอง จะซีเรียสถ้าเกิดว่าเพื่อนผม คนข้างผม รู้หรือเปล่าว่าผมไม่ได้เป็นแบบนั้น ถ้าเขารู้ ผมไม่มีปัญหาอะไร ใครจะมองผมอย่างไรก็ได้ แต่พี่โอมมาในแง่ธุรกิจว่าลูกค้าเขาไม่รู้จักเรา เราต้องทำให้ลูกค้าเห็นว่าเราไม่ได้เป็นคนแบบนั้นในสังคม อันนี้ก็เป็นมุมความคิดของลูกค้า

เต : อีโก้มันมีได้แต่มันไม่สำคัญถ้าคุณไม่ได้ใช้มันให้ฉลาด ไม่ว่าอีโก้คุณจะ Aggressive หรือน่ากลัวขนาดไหน แต่ถ้าคุณทำให้มันเกิดประโยชน์ไม่ได้ มันก็จะเป็นอีโก้ที่ไร้ความหมาย ทั้งหมดทั้งมวล มันอยู่ที่ว่าเราต้องการผลลัพธ์แบบไหน เอาผลลัพธ์เป็นตัวตั้ง แล้วทุกอย่างวิ่งไปเพื่อให้ได้ผลลัพธ์นั้น

กิต : วิธีเดียวกัน จะทำเพลงสักเพลงหนึ่ง ตูนติดการใช้เอฟเฟกต์ Metal Zone แต่วงกำลังจะทำเพลงรักกัน มันก็อยู่ที่ตูนแล้วว่าเข้าใจตรงกลางไหม เอาอีโก้ตัวเองออกไปได้ไหม เรื่องนี้ทั้งหมดมันคือเรื่องเดียวกัน เพราะเรามีตรงกลางที่จะไปกัน


UNLOCKMEN : ผมเป็นแฟนคลับรายการ Food Drive ในช่อง PT PARTTIME ของพี่เต เจอในคลิปนึงพี่เตเคยพูดว่า “สิ่งที่ยากที่สุดในการกำหนดความฝัน คือการกำหนดความฝันให้อยู่เท่าเดิมในวันที่เราเดินมาถึงแล้ว” กับ Three Man Down สามารถใช้สิ่งนี้ในการทำวงได้ด้วยไหม หรือการทำ Three Man Down ต้องโลภต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อขึ้นไปคว้า One Piece

เต : ผมพูดอะไรแบบนั้นไปเพราะผมเทียบกับตัวเองจากวงนี่แหละ สิ่งที่ผมตระหนักรู้ที่สุดในคำพูดนี้คือเรื่อง ‘เงิน’ จำได้ตอนเริ่มทำ Three Man Down แรก ๆ ได้ 5,000 บาท คิดแล้ว จ่ายค่าห้องบวกค่ากิน อยู่ได้ละ ทีนี้พอผมได้ 20,000 บาท อยู่ด้วยเงินนี้มาสักระยะหนึ่ง เรารู้สึกว่าถ้ามีสัก 50,000 บาทมันคงจะดี อยู่ได้สักครึ่งปี รู้สึกว่าถ้าวันหนึ่งเราออกไปทำงานหนึ่งวัน เราควรจะได้สัก 70,000 บาทนะ 

ตอนนี้มีแสนมันไม่เคยพอเลย พอถึงจุดหนึ่งเมื่อไหร่ที่เราอัปค่าตัว มันก็จะรู้สึกว่าครึ่งปีเราก็ต้องอัปอีกแล้ว เป้าหมายตรงนั้นสำหรับผมมันวิ่งไปได้เรื่อย ๆ แล้วคำถามคือ “จุดไหนคือจุดที่เราจะโอเคกับชีวิตเราจริง ๆ” ซึ่งพอกลับมาเรื่องวง ผมก็เลยรู้สึกว่า เป้าเรามันอยู่กับที่หรือเปล่า แต่โชคดีตรงที่มันยังไม่ถึงเป้าที่ Three Man Down วาง โชคดีที่พวกเราวางเป้าไว้สูงมาก

เส็ง : ผมมองว่ามันไม่ใช่ความผิดหรือถูก แต่ผมดันคิดว่าการที่เป้าเราขยับไปเรื่อย ๆ สำหรับตัวผมเองนะ มันคือสิ่งที่ทำให้เราต้องพัฒนาตัวเอง แต่ระหว่างทางนั้นถ้าเราถึงเป้าเก่าแล้ว เราควรต้องให้เวลากับมัน ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นงานที่ไม่รู้จบ แล้วเราจะ Burnout ไปเอง เราจะรู้สึกว่าทำมา 10 ปีไม่สำเร็จสักทีเลย มันควรจะมีเป้าเล็ก ๆ ให้เรารู้สึก Appreciate ว่าเรามาถึงแล้ว เราทำสำเร็จบ้างแล้ว

เต : สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับ ‘การไม่กำหนดเป้าหมายให้นิ่ง’ มันคือการที่เราจะทำ ‘ทุกท่า’ เพื่อที่จะได้สิ่งนั้นมา แล้วสิ่งนั้นคือความอันตรายที่สุดกับการขยับเป้าหมายของเราไปในที่ใหญ่ขึ้น นั่นหมายความว่าเราจะโลภมากขึ้น เราจะใจร้อนมากขึ้น เราจะหิว ถ้า ROV เราฆ่า Carry ได้ในเวฟแรก เราควรจะพอแล้ว แต่เราไม่ควรอยากได้ป่าด้วย ทั้งที่เป้าหมายของเราควรจะถอย

กิต : Step ต่อไปเหนือกว่าเอา Carry คือแค่มา Keep มันก็ไม่ได้แล้ว ผลลัพธ์เท่าเดิม คือขาดทุน สุดท้ายมองเล็ก ๆ เลย ถ้าตัด Keep สักตัวได้ กำไรแล้ว ถอยเลย แค่นี้เราจะรู้สึกมันเซฟกว่า ถ้าเราหิวผมอาจไปทำอะไรแปลก ๆ แล้วก็ได้

เต : ดังนั้นการค่อย ๆ step up ขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยที่เป้าหมายเรามีแหละ แต่เราค่อย ๆ เดินไปเราจะไม่หลงทาง สมมติว่านี้เพลงรักอยู่ดี ๆ ร้อยล้านแล้ว ตูนทำเพลงรักอีกเพลงออกมา หรือ อัปค่าตัว 2 ล้านไปเลย เจ๊งแน่นอน สิ่งนี้สำคัญมากกับการรู้ว่าตัวเองอยู่จุดไหนในเป้าหมาย Three Man Down กำหนดไว้ว่าสูงสุดไปราชมัง วันหนึ่งถ้าไปถึงแล้วอะไรคือ next step ต่อไป

กิต : “เดี๋ยวค่อยว่ากัน” วันนั้นอะไรไม่รู้แต่วันนี้ขอตั้งไว้ตรงนี้ก่อน อะไรที่จะนอกลู่นอกทาง ถอยเป็นไหม

เต : สุดท้ายมันกลับไปคำของเส็ง คือเราต้อง Appreciate กับสิ่งที่เรามี หาโมเมนต์นั้นด้วยในช่วงระยะเวลาหนึ่ง อย่างน้อย ๆ ให้มันนานหน่อย

กิต : อย่างน้อย Keep 1 เวฟ กลับบ้าน ไม่ต้องฆ่าเขา ตอดจนเขา low ต้องกลับบ้านก็ชนะแล้ว 1 เวฟ แต่ถ้าไปเพื่อฆ่าเขา แล้วเขายิงเราตาย ไม่คุ้มเลย มันก็เป็นแบบฝึกหัดต่อไป เพราะเราเล่น ROV และเราอยากเก่งขึ้น เราเลยไปถามคนที่เก่ง ไม่ต้องไล่ แค่เอาเขากลับบ้าน ก็ฆ่าเขาได้แล้ว เพราะถ้าเราฆ่าเขา  เขากลับบ้าน เราไล่เขา เขาก็กลับบ่อ ความสำคัญคือเขาไม่ได้ Keep ต่างหาก หากที่เขาไม่ได้ Keep ทำให้เงินเรานำ พอเงินเรานำเราก็ชนะ แค่นั้น 

มันก็เลยตอบโจทย์กับที่ถามมาว่า “เรารู้เป้าหมายไหม” เป้าหมายของเราไม่ใช่ฆ่าเขา เป้าหมายคือเราจะตีป้อมใหญ่ ระหว่างทางถ้านอกลู่นอกทางก็ถอยให้เป็น มันเป็นแบบฝึกหัดชีวิตมาก ๆ การตั้งเป้าหมายใหม่ก็คือการขึ้นเกมใหม่ แต่ทุกวันนี้ป้อมใหญ่ Three Man Down ยังไม่แตกเลย ถ้าวันนั้นป้อมใหญ่แตก เราจะแยกกันสักแปบหนึ่งไปเล่นเกมอื่นไหม หรือจะกดแรงก์ต่อเลย ค่อยว่ากัน

เส็ง : แต่ผมยังเชื่อนะ ถ้าเราไม่หยุดคิด มันไม่มีทางตัน

กิต : ใช่ แต่ถ้าคำถามคือ “เราจะโลภไหม?” ผมมองว่าความโลภมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับเป้าหมายตรงนั้น ความโลภมันคือระหว่างทางซ้าย-ขวาที่จะดึงเราไปแล้วมันจะไม่ถึงเป้า ผมมองว่าสิ่งนี้คือความโลภมากกว่า ถ้าเราตั้งไว้แล้วว่าเราจะไป One Piece แต่อยู่ ๆ โจรสลัด Big 4 ชวนลูฟี่ไปอยู่บนเรือด้วยเพื่อจะได้ไปถึง One Piece เร็วขึ้น แต่ว่าเป็น One Piece อันเดียวกันหรือเปล่าก็ไม่รู้

เต : แต่ก็ยังเชื่อว่าเราต้อง “Stay Hungry” นะ

กิต : ต้องหิว แต่ก็ต้องมีคนปราม ตำแหน่งตั้ง Goal มันก็เป็นผมนี่แหละ Three Man Down มี Mission หลัก แต่ระหว่างทางเราต้องเก็บ exp ไปเรื่อย ๆ เราต้องเล่น Side Quest ไม่อย่างนั้นไปตีบอสเลยก็ตายแน่ ๆ แต่ทุกครั้งที่ปักเป้าหมาย เตก็จะมาละ “เอาตังค์ที่ไหนคิดหรือยัง, ระวังอันนี้ด้วยนะ” ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องคิดแล้ว แต่มันไม่ได้ Ignore Mission ไปนะ มันเป็นการเพิ่มจุดสิ่งที่ต้องทำเข้ามาในเกม สมมติว่า Side Quest คือ Defeat The King แต่เตจะกำหนดสิ่งต้องทำมาละ ไปเก็บเลือดก่อน แล้วผมก็จะทำพร้อมติ๊กถูกเพื่อไปฆ่าบอสได้สำเร็จ แล้วเราก็จบ Side Quest เพื่อเดินต่อ


UNLOCKMEN : อยากรู้ One Piece ของ Three Man Down คืออะไร วาง Timeline ไว้อย่างไร และถ้าเจอแล้ววางแผนยังไงต่อ

กิต : “One Piece ของเราไม่ใช่ราชมัง แต่คือการใช้ชื่อ Three Man Down ทำให้ชีวิตและคนรอบข้างทั้งหมดสุขสบาย”

เต : รวมถึงแฟนคลับด้วยนะ เราได้สร้างอะไรบางอย่าง ในการ์ตูนเรายังไม่รู้ว่า One Piece คืออะไร แต่ผมรู้สึกว่าถ้าเราเจอวันพีซ ทุกคนจะรู้สึกมีความสุขกับสิ่งนี้ … แต่ในใจก็กลัว One Piece เหมือนกันนะ เพราะแปลว่าการ์ตูนมันจะจบ จริง ๆ เราก็ไม่ได้อยากให้เจอ One Piece เรามีความสุขกับการเดินทางไปกับเขาเรื่อย ๆ คำถามคือแล้วอะไรต่อ วันนั้นคือวันที่น่ากลัว

ผมจึงรู้สึกว่ามันสนุกเพราะว่าเราเข้าใกล้ One Piece เรื่อย ๆ แต่เราไม่รู้ว่าคือวันไหน เหมือนกิตพูด มันคือการทำให้ครอบครัวและคนรอบข้างมีชีวิตที่มีความสุขและมีรอยยิ้มมากขึ้นในทุกวัน ทั้งภูมิใจและรู้สึกดีกับคำว่า Three Man Down วันนี้พ่อแม่มีความสุขที่ลูกอยู่ในสิ่งที่เรียกว่า Three Man Down

กิต : เขาอาจไปคุยกับเพื่อนเขาว่า “นี่ลูกชายนะ” ลูกสาวเพื่อนเขาอาจจะชอบวงเรา เพื่อนแต่งงานก็เอาเราไปร่วมงานเอาขึ้นไปบนเวที หรือเปิดเพลงของเรา ทุกอย่างที่เกี่ยวกับ Three Man Down ผมบอกเพื่อนทุกคนเลยว่า ถ้ามันเป็นชื่อที่เกี่ยวกับของเรา Three Man Down เอาไปใช้เถอะ พูดได้เลยถ้าอันไหนให้ชีวิตมันดีขึ้นโดยการอ้างถึงพวกเราโดยไม่ผิดกฎหมาย ไม่เบียดเบียนใคร พูดไปเถอะ เราอนุญาตโดยไม่ต้องมาขอหรอก แล้ววันหนึ่งค่อยโทรมาบอกแค่นั้น 

สำหรับผมก็คือสิ่งนี้ การทำให้คนรอบตัว Appreciate กับสิ่งนี้แล้วมีความสุข ในมุมแฟนคลับ วันหนึ่งพวกเขามีช่วงเวลาที่ Suffer อาจจะมีปัญหา ได้เปิดเพลงของวงเราแล้ว Recall อะไรบางอย่าง ล่าสุดมีแฟนคลับคนนึงเรียนจบ ซึ่งผมไม่เห็นเขามาหลายปีแล้วนะ แต่เขาจำได้ว่ามีคลิปหนึ่งเคยถ่ายกับผมแล้วบอกว่า “ถ้าเรียนจบแล้วหนูจะมาบอกพี่นะ” ผมจำได้ แต่ผมจำไม่ได้เขาเคยบอกอะไรกับผม เขาก็มาบอกกับผมในวันนั้น เพราะวันหนึ่งผมเคยพูดเอาไว้เหมือนกันว่าเรียนจบแล้วมาบอกด้วยนะ สิ่งนี้ที่ผมรู้สึกว่าอันนี้แหละเป็นนิพพาน

เต : ผมมองว่าพวกผมเป็นแค่คนเล่าเรื่อง เราติดตามลูฟี่ออกทะเล ทุกคนรอบตัวผมคือคนส่งเสริมให้เรือลำนี้มันวิ่งไปข้างหน้าได้ แล้ววันหนึ่งมันก็จะเป็นเรื่องเล่า แต่ว่าในช่วงเวลาที่เราอยู่ในเรื่องราวของเรือลำนี้ เราจะเล่าให้ดี เมื่อเราไปข้างหน้าเรื่อย ๆ แล้วชีวิตเรามีความสุขกับสิ่งนี้แม้มันจะมีจุดหลุมบ้าง แต่เรายังภูมิใจที่เรามีส่วนร่วมกับเรือลำนี้ One Piece มันก็น่าจะประมาณนั้นแหละ

UNLOCKMEN : ถ้าอย่างนั้นได้มองภาพวันที่จะลงจากเรือ Three Man Down ยังไงกันบ้างมั้ย

เต : ผมนึกหน้าสุดท้ายของ One Piece ในหัวผมแทบจะชัดมาก ผมว่าหน้าสุดท้ายของ One Piece จะต้องเป็นหน้าที่วาดนานที่สุด เพราะมันมีตัวละครเป็นพัน ๆ ตัวอยู่ในหน้าเดียวกัน และผมรู้สึกว่าภาพสุดท้ายของวงผม มันจะต้องประกอบไปด้วยภาพที่มันมีพันธมิตรเยอะมาก ๆ อยู่ในนั้น

กิต : ผมอยากให้ภาพนั้นมันตัดไปในหลาย ๆ ที่ แล้วทุกคนรู้ว่า Three Man Down มันมาถึงแล้ว เวลาดูการ์ตูนผมชอบซีนแบบนั้นมากกว่าการที่ตัวละครไปชนะอะไรที่ยิ่งใหญ่ซะอีก มันคือภาพของการตัดไปในหลาย ๆ ที่จากทั่วมุมโลกและทุกคนกำลังดูเราอยู่ด้วยความรู้สึกที่เราต่างเดินทางมาด้วยกัน

เต : คนที่รู้จักเราก็จะบอกว่า “เด็กคนนี้เราเห็นมันมาตั้งแต่วันประกวด วันนี้มันทำได้แล้ว ดีใจกับมันด้วย”

กิต : ซึ่งไม่รู้ว่าตรงนั้นมันคือจุดไหนด้วยซ้ำ ไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไร หลังจากภาพนั้น ไม่รู้ด้วยว่าจะไปไหนต่อ ไม่รู้ว่าจะเลิกกันไหมหรือเราจะไปทำวงใหม่ ชื่อวง ทาวน์แมนดี ขึ้นการ์ตูนเรื่องใหม่ (หัวเราะ)

เต : “อย่างไรวันหนึ่งมันต้องจบ แต่ว่าเราจะสร้างให้มันจบในแบบที่เราต้องการได้ไหม เป็นเรื่องที่ต้องทำวันนี้”

กิต : ซึ่งตอบไม่ได้เลยว่าเราจะ Landing ได้ไหม “ค่อยว่ากัน” ขอให้ได้ไปตรงนั้นก่อน ผมอาจจะป่วยไปซะก่อน จู่ ๆ ก็ตาบอดขึ้นมา หรืออยู่ดี ๆ ไอเตก็กล้ามใหญ่เกินไป (หัวเราะ) ไม่เกี่ยว

เต : ไม่รู้ชีวิตเราจะได้อ่านหน้าสุดท้ายของ One Piece หรือเปล่า

กิต : อาจจะไม่ได้อ่านก็ได้

เต : มันไม่แน่นอน แต่ถ้าวันนี้การ์ตูนจะจบลง มันก็ยังมีเรื่องที่เราทำเอาไว้ได้ดีอยู่บนชั้นหนังสือ

กิต : Three Man Down เองก็ออกแบบอัลบั้มโดยผมใช้ไอเดียออกแบบเป็น PocketBook ถ้าเกิดว่าทุกคนเคยซื้ออัลบั้มทั้ง 2 ชุดที่ผ่านมา ทุกอย่างมันจะเหมือนเดิม แต่ว่ามันจะเปลี่ยนหน้าปกไปเรื่อย ๆ เพราะว่าเราอยากให้ทุกคนเอาไปวางไว้บนชั้นหนังสือ ซึ่งตอนนี้กำลังจะวางเป็นเล่มที่สามแล้ว ไม่ว่าเราจะวางไปอีกกี่เล่ม สุดท้ายพอมันครบรอบ 10 ปีเราก็จะหลอกฟันทุกคนโดยการทำ Boxset ออกมานั่นเอง เดี๋ยวเราก็จะ Re-Print เปลี่ยนกระดาษ เปลี่ยนปกใหม่ตามสไตล์โมเดล  Siam Inter Comics เจอแน่ชาวเมือง !


“วันพีซมีอยู่จริง !” ถึงแม้ว่าสมาชิก Three Man Down ทั้ง 4 คนจะยังไม่รู้ว่ามันคืออะไรก็ตาม และไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะต้องใช้เวลาอีกกี่ปีในการตามหา แต่ในท้ายที่สุดก็คงจะเป็นภาพที่ไม่ต่างจากภาพสุดท้ายของบทความนี้ แต่จะมี ‘พวกพ้อง’ ทั้งหมดของวงอยู่ในรูปใบนี้ อนาคต “ค่อยว่ากัน” วันนี้กดฟังเพลงทั้งหมดในอัลบั้ม lll แล้วคอยติดตามการผจญภัยของพวกเขาใน Chapter ถัดไปด้วยกันเถอะชาวเมือง

GEESUCH
WRITER: GEESUCH
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line