Entertainment

VILLAINS WITH LOVE: TONY MONTANA “Scarface” ชายหน้าบากเจ้าพ่อโคเคนสุดโหดเหี้ยมและแสนจะเท่

By: unlockmen May 22, 2021

ในโลกของอาชญากรรมบนแผ่นฟิล์ม มีหนังมากมายที่สร้างแรงบันดาลใจ และกลายเป็นเสมือนหมุดไมล์สำคัญ และท่ามกลางคาวเลือดและควันปืน หนังเรื่อง Scarface คือ 1 ในหนังขวัญใจคอหนังอาชญากรรมตลอดกาล แน่นอนว่านอกจากความดิบเถื่อนของหนังที่สาดซัดคนดูไม่มียั้งแล้ว คาแรคเตอร์สำคัญที่ผลักดันให้หนังเรื่องนี้อมตะและเป็น Pop Culture แห่งยุคสมัยคือชายหน้าบากที่เต็มไปด้วยความใจถึง ชั่วช้า บ้าคลั่ง กลายเป็นวายร้ายสุดเท่ที่โลกจดจำได้ติดตา

เรามาทำความรู้จักผู้ชายสู้ชีวิตที่โชคชะตาลิขิตให้เขาเป็นวายร้ายแห่งโลกภาพยนตร์คนนี้ไปพร้อม ๆ กัน Tony Montana มหาวายร้ายแห่งหนัง Scarface

Scarface คือการผสมผสานคาแรคเตอร์จากหนังผสมเหตุการณ์จริง ในปี 1980 ที่ประธานาธิบดี Fidel Castro ได้เปิดเมืองท่ามาริเอลในคิวบา เพื่อปลดปล่อยประชาชนจำนวนกว่า 125,000 คน ข้ามน้ำข้ามทะเลสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกจากผู้อพยพมากมายที่ต้องการไปตายเอาดาบหน้าในดินแดนแห่งเสรีภาพแห่งนี้แล้ว ยังมีกลุ่มเดนคนกลุ่มหนึ่งที่ปะปนอยู่ในนั้น นั่นคือเหล่านักโทษและเหล่าอันธพาลที่แฝงตัวมาขึ้นเรือร่วมกับผู้อพยพทั่วไปอีกด้วย และ 1 ในนั้นก็มีชายหนุ่มหน้าบากที่ชื่อ Tony Montana หนุ่มเลือดร้อนที่พร้อมชนทุกสถานการณ์อย่างไม่เกรงกลัวใดๆ

เพียงแค่ก้าวเท้าสู่อเมริกา เขาก็เริ่มหนทางที่จะพาเขาสู่ความยิ่งใหญ่ มันจะมีอะไรที่จะรวยเร็วไปกว่าการค้ายา ด้วยคาแรคเตอร์ของชายผู้มั่นใจในตัวเอง มีความโหดเหี้ยม เด็ดเดี่ยว เลือดร้อนถึงลูกถึงคน ก็ทำให้เขาค่อย ๆ ไต่เต้าจากเด็กล้างจานแห่งเมืองไมอามี่ รัฐฟลอริดา สู่นักเลงปลายแถวที่รับใช้ผู้ทรงอิทธิพลอย่าง Frank Lopez และจากนักเลงปลายแถวสู่พ่อค้ายาระดับโลกที่กล้าโค่นล้มหัวหน้าของตน (แถมยังสอยเมียของมาเฟียไปอย่างไม่เกรงกลัวอะไร)

ความทะเยอทะยานที่ต้องการจะหลุดพ้นจากโคลนตมของการเป็นคนชายขอบ เปลี่ยนชายหนุ่มให้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ถึงพร้อมทั้งเงินและอำนาจล้นฟ้า ก่อนจะนำพาสู่โศกนาฏกรรมสุดโหดในตอนท้ายที่ทำให้กลายเป็นตำนานแห่งหนังอาชญากรเรื่องสำคัญ จนทำให้หนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่ที่แม้จะผ่านไป 38 ปีแล้ว ก็ยังคงได้รับการกล่าวขวัญถึงไม่เสื่อมคลาย


ย้อนกลับไปในช่วงต้นยุค 80s Al Pacino นักแสดงนำที่มีหนังโดดเด่นในสายอาชญากรรมอย่าง The Godfather Part I, II (1972, 1974) Serpico (1973) Dog Day Afternoon (1975) กำลังต้องการหาหนังที่บทบาทเหมาะสมกับเขาอีกสักเรื่อง จนกระทั่งได้พบหนัง Gangsters Classic ในชื่อ Scarface (1932) หนังดรามาอาชญากรรมที่มีแกนหลักน่าสนใจเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยที่มาแสวงโชคและสร้างชื่อด้วยการเป็นเจ้าพ่อ แต่หากมาเล่าในยุคปัจจุบันมันคงจะเป็นหนังที่เชยสะบัดและน่าเบื่อไม่ใช่น้อย

เขาจึงชวนให้ผู้กำกับ Sidney Lumet ผู้กำกับที่เคยร่วมงานกับเขาในหนัง Serpico กับ Dog Day Afternoon มาทำหนังเรื่องนี้ โดยให้ผู้เขียนบทรุ่นใหม่ไฟแรงในยุคนั้นอย่าง Oliver Stone ดัดแปลงบทเสียใหม่ แต่ Lumet กลับไม่ปลื้มบทหนังที่เต็มไปด้วยความรุนแรงและความกักขฬะจึงถอนตัวไป

Pacino จึงหาผู้กำกับที่มีวิสัยทัศน์ที่แปลกและรับความรุนแรงเกินพิกัดของบทหนังได้ จนสุดท้ายก็ได้ Brian De Palma ที่โดดเด่นในหนังระทึกขวัญเลือดสาดอย่าง Carrie (1976) Dressed to Kill (1980) และ Blow Out (1981) มารับหน้าที่กำกับ เขาเอ่ยปากชม Oliver Stone ที่ดัดแปลงจากหนังมาเฟียอิตาลีอันแสนจืดชืดให้กลายเป็นหนังที่เต็มเปี่ยมด้วยความรุนแรงถึงขีดสุด โดยเคล็ดลับในการเขียนบทหนังที่ Stone เข้าถึงเรื่องราวของราชายาเสพติดได้อย่างอินถึงแก่นนั้น เพราะช่วงเวลานั้นเขาติดโคเคนงอมแงม มันจึงไม่ยากเลยที่เขาจะสรรค์สร้างหนังเรื่องนี้ได้ออกรสออกชาติขนาดนั้น แถม Stone ยังเอ่ยปากว่าในหนังนั้นมีหลายฉากที่เอามาจากเหตุการณ์จริงที่เขาเคยประสบมาด้วย นั่นคือการปะทะกันของนักเลงที่ใช้เลื่อยไฟฟ้าเพื่อจัดการคู่อรินั่นเอง


พอหนังอยู่ในมือของผู้กำกับ Brian De Palma เขากลับหักหลัง Pacino ด้วยการบอกว่า “Al ผมว่าคุณควรไปทำหน้าที่โปรดิวเซอร์หนัง เพราะผมว่าบทนี้มันเหมาะกับเพื่อนคุณมากกว่า” เพื่อนคนนั้นก็คือ Robert De Niro นักแสดงสายดิบเถื่อนที่มีผลงานตีคู่กันมาโดยทั้ง 2 เคยโคจรมาพบกันในหนัง The Godfather Part II มาแล้ว แต่โชคดีที่ De Niro เซย์โนเมื่อได้อ่านบทแล้วเห็นว่า “มันจะต้องเล่นซีนที่เขาต้องเทคโคเคนเหรอ…ผมขอบายแล้วกัน” โชคเลยกลับมาหา Pacino อีกครั้ง ซึ่งเขาก็สนองตอบด้วยบทบาทที่โหดเหี้ยมเต็มพิกัด และเต็มเหนี่ยวด้วยความรุนแรงแบบแทบไม่มีความดีหลงเหลือในคาแรคเตอร์นี้เลย

Al Pacino เคยกล่าวไว้ว่าหนัง Scarface คือหนังที่เขารักมาก และบทบาท Tony Montana คือบทบาทที่เขานั้นลืมไม่ลงเลยทีเดียว แม้หนังเรืองนี้จะเต็มไปด้วยความดิบเถื่อนจนรางวัลออสการ์เมินการแสดงของเขาไป แต่ Pacino กลับมีความสุขในการเข้าฉากเพื่อระเบิดการแสดงแบบพร้อมที่จะฆ่าคนได้เลย โดยเฉพาะซีนที่เขานั้นต้องดมโคเคนที่กองอยู่บนโต๊ะนั้น De Palma บอกกับ Pacino ว่า “Al นายไม่ต้องห่วงนะ นายเทคมันเข้าจมูกได้เต็มที่เลย เพราะมันคือแป้ง…เอ๊ยนมผง”

ซึ่ง Pacino บอกในภายหลังว่า “ผมคงบอกไม่ได้ว่าที่กองอยู่ในฉากนั้นมันนมผงจริงหรือว่าโคเคนจริงๆนะ…ถ้ามันเป็นนมผง ก็เป็นนมผงที่โคตรฟินสัส ๆ”

และอีกฉากที่ทำให้ Pacino บาดเจ็บจนต้องพักกองเป็นเวลาครึ่งเดือน คือซีนสุดระห่ำที่เขาควักปืนยิงเหล่านักฆ่าที่มาล้อมบ้านของเขา ปืนในหนังร้อนจนไหม้มือพองเป็นแผลใหญ่ แต่เขาก็สู้สุดใจเพื่อให้ซีนใหญ่ซีนนี้เต็มไปด้วยความดิบเถื่อนและความเจ็บปวด ซึ่งฉากนี้พ่อมดฮอลลีวู๊ด Steven Spielberg ที่เป็นเพื่อนซี้ De Palma มาร่วมกำกับและช่วยถ่ายซีนไคลแมกซ์นี้ด้วย


นอกจากเนื้อหาและภาพที่รุนแรงแล้ว หนังเกือบจะได้ Rate X (หรือ NC-17 ในยุคนี้) เพราะหนังอัดแน่นทั้งยาเสพติด การเข่นฆ่า และการกระทำที่ผิดศีลธรรม รวมไปถึงการที่ Tony Montana พ้นสบถคำว่า FUCK แบบรัว ๆ จนในยุคนั้นมีการบันทึกว่าครองตำแหน่ง F-Words มากที่สุดในโลกภาพยนตร์ นั่นคือ 207 ครั้ง หรือเฉลี่ยต่อหนังทั้งเรื่อง เราจะได้ยินคำ ๆ นี้ 1.21 ครั้งต่อนาที

“I’m Tony Montana! You f*ck with me, you f*ckin’ with the best!”

แม้ De Palma ผู้กำกับจะไม่พอใจอย่างแรงที่มาลดทอนความดิบเถื่อนของหนังเรื่องนี้ แต่เพราะเป็นหนังสตูดิโอใหญ่ มันคงไม่ดีแน่ถ้าหนังแมสๆแบบนี้จะถูกตีตราว่าเป็นหนัง Rate X เขาจึงยื่นอุทธรณ์กับคณะผู้ตรวจพิจารณาภาพยนตร์ MPAA ถึง 3 ครั้ง พร้อมกับการเล็มนู่นนิดนี่หน่อย จนสุดท้ายก็ได้เป็นหนัง Rate R แต่ความแสบของผู้กำกับคือสุดท้ายเขาก็เอาเวอร์ชั่นแรกนี่แหละฉายในโรง

“ในยุคนั้นไม่มีใครมาใส่ใจหรอก ว่าเมื่อหนังตีตราเสร็จแล้วมันจะถูกฉายในรูปแบบไหน ผมเลยเนียนเอาฉบับเดิมออกฉายนี่แหละ ก็ไม่เห็นจะเป็นปัญหาอะไรเลยนี่หว่า”

ซึ่งนอกจากไม่มีใครมาว่าในตอนท้ายแล้ว หนังยังได้รับการการันตีจากคณะกรรมการต่อต้านยาเสพติดว่าเป็นหนังที่ควรดูให้เห็นโทษของยาเสพติดอีกด้วยแน่ะ!!!


ตอนที่หนังฉายในโรงรอบแรก นักวิจารณ์และคนดูบางส่วนสาปส่งหนังเรื่องนี้ไม่เหลือชิ้นดี เพราะมันกลาดเกลื่อนไปด้วยความรุนแรงแบบไม่มีความจำเป็น ซ้ำร้ายหนังยังถูกชาวคิวบาประท้วงให้หยุดฉายเนื่องจากสร้างภาพลักษณ์ที่แย่ให้กับชาวคิวบา ผู้ว่าไมอามี่ก็ไม่ปลื้มที่ทำให้เมืองดูแย่เหมือนเป็นเมืองท่าของยาเสพติด แต่ยิ่งต่อต้านยิ่งทำให้คนดูอยากดูหนังเรื่องนี้ พากันตีตั๋วไปดูหนังจนทำรายได้ระดับกลางๆ ก่อนที่จะไปเปรี้ยงปร้างในตลาดโฮมวีดีโอ

และเมื่อกาลเวลาล่วงมา หนังก็ได้รับการยอมรับในฐานะหนังคัลท์ขึ้นหิ้ง ในหลาย ๆ โพลหนังเรื่องนี้จะถูกรวมอยู่ในฐานะหนังที่ได้รับการบูชาระดับคลั่งไคล้จากแฟนหนังทั่วโลก เป็นหนังในดวงใจของ ซัดดัม ฮุสเซ็น ขนาดตั้งชื่อบริษัทฟอกเงินของเขาว่า Montana Management ตามนามสกุลของ Tony เลยทีเดียว

และมันเป็นหนังในดวงใจของศิลปินและคนฟังสายฮิปฮอป ที่บูชาหนังเรื่องนี้ในฐานะต้นแบบของวิถีแห่ง Thug Life ราชาฮิปฮอปหลายคนบูชาตัวตนของ Tony Montana ไม่ว่าจะเป็น Nas ที่บอกว่า “ชีวิตของโทนี่ นี่มันชีวิตของผมชัด ๆ” และเหล่าแร๊ปเปอร์หลายคนถึงขนาดติดต่อบอกผู้กำกับหนัง Brian De Palma ให้ช่วยเปลี่ยนดนตรีประกอบหนัง จากแนว Synth-Wave ในยุค 80s เป็นเพลงฮิปฮอปแทนได้มั๊ย แต่ De Palma ก็ปฏิเสธที่จะทำมัน

ขณะเดียวกัน สายเกมเมอร์ก็บูชาไม่ต่างกัน อย่างเกม Grand Theft Auto: Vice City เกมไล่ล่าชื่อดัง ก็เลือกใช้โลเคชั่นในหนังรวมไปถึงคฤหาสน์ของ Tony Montana เป็นฉากในเกม

และข่าวดีสำหรับคอหนังยุคใหม่ เมื่อมีโครงการรีเมคหนัง Scarface นี้ โดยผู้ที่มารับหน้าที่กำกับ คือ Luca Guadagnino ผู้กำกับขวัญใจคอหนังจากผลงาน Call Me by Your Name ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอนเขียนบท ยังไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลว่าใครจะมารับบทบาทที่ถือได้ว่ามาสเตอร์พีซนี้ ซึ่งจะดีเท่าต้นฉบับหรือไม่ ต้องมาติดตามกันในอนาคต

แม้หนังจะรายล้อมไปด้วยความรุนแรงแบบสุดขั้ว และตัวเอกอย่าง Tony Montana นั้นก็ชั่วจนหาดีไม่ได้ แต่ Scarface ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่า ยังมีคนมากมายที่พร้อมบูชาชายคนนี้ และเขาคือตัวอย่างของวายร้ายที่ได้ดี และมีแฟนคลับมากมายที่ยกย่องเขาเป็นฮีโร่ในหมู่คนเลวเช่นกัน

 

สามารถรับชม Scarface ได้ทาง Netflix

unlockmen
WRITER: unlockmen
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line