Guide

EXPLORE MARSEILLE ลุยทริปเที่ยวเมืองท่าริมทะเลเก่าแก่ตอนใต้ของฝรั่งเศส

By: Chaipohn November 13, 2017

ผู้ชายกับการไปเที่ยวนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เราอยากไปเที่ยว แต่ไม่ค่อยมีเวลาแพลนหาไอเดียใหม่ ๆ มากนัก ในทางกลับกัน บทจะได้ไป เรามักจะเจอไอเดียจากฉากในภาพยนตร์มากกว่า และทริปนี้ก็เกิดขึ้นจากการนั่งดูหนังหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นฉากที่ Jason Statham ขับรถลุยเข้าไปในเมืองท่าริมทะเลสุดสวยใน Transporter 3  หรือฉากที่  Jamie บินไปขอ Aurelia แต่งงานสุดซึ้งใน Love Actually ภาพเมืองสุดสวยเหล่านั้น ทำให้เราตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินไปสัมผัสความสวยงามของ Marseille (‘มาร์เซย) ด้วยตัวเอง

 

Get Ready

เคยคิดว่าการไป Europe ช่างยุ่งยากเหลือเกิน ไหนจะเรื่อง Visa เรื่องการเดินทาง โดยเฉพาะผู้ชายที่ไม่ชอบความวุ่นวายอย่างพวกเรา แต่จากการไปขอ Schengen Visa ที่ TLScontact Visa Application Centre สาธรซิตี้ ชั้น 12 ด้วยตัวเอง แค่เตรียมเอกสารให้ครบก็เรียบร้อย ง่ายแบบไม่มีความจำเป็นต้องจ่ายค่าจ้างคนทำ 2,000 กว่าบาท เพราะสิ่งที่เราได้ ก็แค่ e-mail บอกว่าให้เตรียมอะไรบ้าง ซึ่งในเว็บ TLScontact.com ก็มีบอกไว้หมดแล้ว

ส่วนสายการบินก็มีให้เลือกมากมายทั้ง Direct และ Transit แต่เราเลือกบินกับ Qatar Airways ที่เพิ่งเปิด route ใหม่ไปยุโรปมากมาย รวมถึงฝรั่งเศสด้วย เพราะไม่อยากนั่งเครื่องนานเกินไป และการไป transit ที่สนามบิน HIA ก็ทำให้เราออกไปเที่ยวเมือง Doha ได้นานสุดถึง 96 ชั่วโมงอีกด้วย ลองดูรายละเอียดการขอ transit VISA ฟรี หรือเช็คราคา book ticket ไว้ล่วงหน้า บอกเลยว่าไม่แพงอย่างที่คิด ด้วย flight ไกลแบบนี้ เราแนะนำให้นั่ง Business Class จะคุ้มกว่า เริ่มต้นประมาณหนึ่งแสนบาทต้น ๆ แลกกับความสบายที่ได้จากการนั่งไปร่วม 17 ชั่วโมง และนั่งกลับอีก 17 ชั่วโมง ถือว่าเป็นการลงทุนให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างแท้จริง หรือจะไปแบบ Economy class เริ่มต้นเพียง 3x,xxx บาทเท่านั้น แม้จะสบายไม่เท่า แต่ก็ได้บริการมาตรฐานจาก Qatar Airways ไม่แพ้กัน

 

Start from the South

ใครแพลนมาเที่ยวฝรั่งเศส เป็นต้องนึกถึง Paris ก่อนเสมอ ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ดี แต่บางคนอาจจะรู้สึกว่า Paris มีความวุ่นวายตามสไตล์เมืองหลวงมากเกินไป แทนที่จะได้มาพักผ่อนหย่อนใจ กลับต้องเจอจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาล เจอการจราจรที่ดุเดือด นั่งรถแล้วลุ้นถึงพริกถึงขิงยิ่งกว่าเมืองไทย อยากจะมาพักผ่อนที่ฝรั่งเศสแบบสงบ ไม่ต้องขับรถให้วุ่นวาย เราแนะนำว่า Marseille น่าจะเป็นปลายทางที่เหมาะกับคุณ

ในอดีต Marseille อาจจะมีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยจะดีนักในด้านความปลอดภัย เป็นแหล่งรวมวัยรุ่น immigrants เป็นเมืองที่ไม่ค่อยจะหรูหรานัก แต่ภาพเหล่านั้นไม่ค่อยจะหลงเหลืออยู่อีกเลยในปัจจุบัน ที่นี่เป็นเมืองที่มีเสน่ห์และคาแรคเตอร์แบบของตัวเองอยู่เต็มเปี่ยม เหมือนเหรียญคนละด้านกับ Paris หรือ Lyon ที่ทุกคนคุ้นเคย

ด้วยบรรยากาศผ่อนคลายกว่า จังหวะชีวิตแบบ slow life ต่างคนต่างใช้เวลาทำกิจกรรมของตัวเองตามริมทะเล ภาพผู้คนในเมืองที่มีศูนย์รวมไลฟ์สไตล์อยู่รอบท่าเรือ Marseille’s Vieux Port ความคลาสสิคของสิ่งก่อสร้างและอาคารจากการเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของฝรั่งเศสจากยุค Greeks และ Romans เป็นบรรยากาศของ Marseille ที่ต้องมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงจะรู้จริง ๆ

จากสนามบิน Nice Cote d’Azur International Airport ที่ระบบ custom ตรวจคนทำได้อย่างรวดเร็วทันใจ ไวยิ่งกว่ากรุงเทพ – เชียงใหม่ เราออกมาใช้บริการ Franceluxurycab.com เพื่อเดินทางจาก Nice ไป Marseille, Provence ระยะทางรวมประมาณ​ 200 km ใช้เวลาเดินทางด้วยรถยนต์ผ่านทางหลวง route A8 ประมาณ​ 2 ชั่วโมง เพราะมันเป็นการเดินทางที่ง่ายที่สุดแล้ว ค่าบริการก็ประมาณ 3,xxx บาท ซึ่งก็ถือว่าไม่เลว คิดซะว่ามีคนยกกระเป๋าขึ้นลงรถให้ จะให้ลากกระเป๋าหนัก ๆ หลังบินยาวมายุโรปก็ดูจะเหนื่อยเกินไป และรถที่มารับเราก็คือ Tesla Model S เรียกความตื่นเต้นให้ทริปนี้ได้ในทันที ข้อดีคือสามารถใส่กระเป๋าได้ทั้งด้านหน้าและหลัง เพราะ Tesla ไม่มีเครื่องยนต์นั่นเอง

ซึ่งตลอดเวลาที่อยู่ในรถ คนขับก็พยายามโชว์ฟังก์ชัน autopilot ด้วยความภาคภูมิใจ นอกจากความอารมณ์ดีในรถแล้ว วิว 2 ข้างทางก็สวยงาม สัมผัสได้ถึงความชิวที่กำลังรออยู่ทางภาคใต้ตั้งแต่เริ่มทริปเลยทีเดียว

 

InterContinental Marseille Hotel Dieu – the Best hotel in Marseille 

โรงแรมที่เราเลือกพัก และอยากแนะนำสำหรับคนที่แพลนจะมาเที่ยว Marseille ก็คือ InterContinental Marseille Hotel Dieu ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในจุดที่ดีที่สุดของ Marseille เรียกว่าย่าน Le Panier เพียงไม่กี่ก้าวถึง Marseille’s Vieux Port ด้วยความคลาสสิคจากตัวอาคารที่สร้างมาตั้งแต่ 18th century ห้องพักจึงมีเพดานที่สูงถึง 5.5 เมตร และระเบียงขนาดใหญ่วิว Panoramic เปิดรับภาพบรรยากาศ Vieux Port ไปจนถึง Notre-Dame de la Garde Basilica ที่ตั้งอย่างสวยงาม เป็น iconic landmark บนยอดเขาของ Marseille

InterContinental Marseille Hotel Dieu ถูกปรับแต่งตัวอาคารโดย 2 architects ระดับโลก Anthony Bechu และ Tangram Agency ส่วนการออกแบบภายในเป็นฝีมือของ Jean-Philippe Nuel ซึ่งคนที่คุ้นเคยด้าน architecture หรือ design น่าจะรู้จักชื่อกันดี โดยใช้ความ Mediterranean และความกลมกลืนกับ environment ของเมือง Marseille เป็นคอนเซปต์ในการออกแบบ

ใครมานอนที่นี่เป็นครั้งแรก เรารับประกันเลยว่าเมื่อเปิดประตูห้องเข้าไป จะต้องประทับใจในรายละเอียดการออกแบบแน่นอน โดยเฉพาะประตูออกไประเบียงขนาดใหญ่ ที่มีการเล่นช่องแสง ใช้ผ้าม่านกรองจนได้แสงที่ละเอียดอ่อนและสวยงาม และการอยู่ภายใต้ฝ้าเพดานสูง 5 เมตรนั้น ให้ความรู้สึกสบายจนไม่อยากออกไปไหน แม้ราคาต่อคืนจะสูง (เริ่มต้นประมาณ 8,xxx บาท) เป็นการให้รางวัลชีวิตตัวเองที่คุ้มค่ามากจริง ๆ

 

What to do

มาถึง Marseille สิ่งแรกที่ต้องทำคือดื่มเครื่องดื่มที่เรียกว่า Pastis (ปาสติส) ถ้าข้าวหลามเป็นทีเด็ดของชลบุรี Pastis ก็เป็นเหล้าประจำชาติของ Marseille ทำจากเมล็ด Anise สีเหลือง กลิ่นและรสชาติแปลก ๆ แล้วแต่คนชอบ ส่วนตัวคิดว่าไม่ค่อยโอเค เหมือนกินยาแก้ไอเย็น ๆ แต่ก็ควรกินอยู่ดี เพราะเป็นของขึ้นชื่อประจำเมืองนี้โดยเฉพาะ (เมืองอื่นไม่นิยม เพราะมองว่า low) หรือถ้าชอบ Craft Beer ที่นี่ก็มีบาร์เบียร์ให้เลือกดื่มค่อนข้างเยอะ แต่แนะนำให้เดินเส้นทางที่คนเยอะสักหน่อย เพราะมักจะมีวัยรุ่นเปิดเพลง Rap รวมตัวกัน เท่าที่เดินผ่านก็ไม่อันตรายอะไร แต่ถ้าจิตไม่แข็ง หรือตัวเล็กเกินไป ก็อาจต้องลุ้นหวั่นใจกันนิดนึง

เลือกชนิดปลาที่ต้องการก่อนนำไปปรุง ตักเนื้อปลาใส่ซุป จากนั้นค่อยทาน

อีกอย่างที่ควรกินให้ได้ คือเมนูขึ้นชื่อของ Marseille เรียกว่า Bouillabaisse (บุยยาเบส) ที่สุดแห่ง Mediterranean fish soups เป็นซุปปลา Iconic dish อันโด่งดัง แทนที่จะกินปลาเผา ปลาย่าง ที่นี่จะเสิร์ฟปลาพร้อมน้ำซุปรสเข้มข้น และไม่มีที่ไหนในโลกสามารถทำได้เหมือนคน Marseille ทำ ถ้าไม่ได้ทานเมนูนี้ จะเรียกว่ามาถึงเมืองท่าแห่งนี้ไม่ได้

สำหรับสายเก็บ Landmark ต้องไม่พลาดการขึ้นเขาไปเยี่ยมชม Notre-Dame de la Garde Basilica มหาวิหารที่สวยงาม ถูกสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับ Virgin Mary จนเรียบร้อยในช่วงปี 1864 ณ จุดที่สูงที่สุดของเมือง Marseille เรียกว่า La Garde ด้านบนมีพระแม่มารียืนหันหน้าออกไปทางทะเล เพื่อปกป้องความปลอดภัยให้ชาวประมงที่ออกเรือ รวมถึงความสงบสุขของเมืองท่าแห่งนี้

มาถึงฝรั่งเศส เรื่องงานอาร์ตต้องห้ามพลาด แม้แต่ในเมือง Marseille ที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง ก็ยังได้รับอิทธิพลจากงานศิลปะกระจายไปทั่วเมือง และจากโรงแรม InterContinental Marseille เดินเลาะริมท่าเรือไปไม่นาน ก็จะเจอ MuCEM (The Museum of European and Mediterranean Civilisations) พิพิธภัณฑ์แห่งเมือง Marseille ที่มีของสะสมและผลงานศิลปะสำคัญของยุโรปเก็บไว้มากมาย ตัวอาคารถูกออกแบบอย่างเหนือชั้นด้วยฝีมือของ Rudy Ricciotti โดดเด่นด้วย fibre-reinforced concrete นำมาร้อยเข้าเป็นลวดลาย ทำให้ช่องแสงที่ผ่านเข้ามานั้นสวยงามมาก

Landmark สุดท้ายที่ต้องไปก็คือ La Cite Radieuse by Le Corbusier (1952) อาคารที่ถูกสร้างบน concept ของ Le Corbusier (Charles-edouard Jeanneret) ผู้ริเริ่มรากฐานของคำว่า Modern Architecture ในปัจจุบัน มีแนวคิดเกี่ยวกับพื้นฐานของคำว่าที่อยู่อาศัยต่างออกไปว่า โดยมองว่า “a machine for living in” อาคารที่อยู่อาศัยควรจะมีทุกสิ่งที่มีอยู่ในชุมชน โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาปัจจัยนอกอาคาร (Full Ecosystem) ซึ่งได้อิทธพลจากช่วงหลังสงครามโลก  La Cite Radieuse จึงเป็นอาคาร Mix-Use ขนาดใหญ่ ที่มีที่อยู่อาศัยสำหรับ 1,600 คน และใช้โครงสร้างจาก concrete ที่แข็งแกร่งและประหยัดกว่าโครงสร้างเหล็ก เพื่อแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยแนวราบ เป็นอาคารที่มีเรื่องราวมากมายอยู่ข้างในที่สามารถเสพได้ทั้งวัน

โดยส่วนตัวแล้ว เราชอบบรรยากาศความผ่อนคลายของ Marseille มากกว่าความหรูหราของ Paris ซะอีก อาจจะเพราะเมืองหลวงของเราก็วุ่นวายพอแล้ว ในวันพักผ่อน เราจึงอยากได้ความช้า อยากนั่งจิบไวน์ดูเรือแล่นไปมาบนทะเล มากกว่าการแย่งกันเรียก taxi แบบใน Paris

สุดท้ายก็อย่างที่เราบอกไปตั้งแต่ตอนต้น ความเป็น Marseille มีคาแรคเตอร์ของเมืองที่ชัดเจน แตกต่าง ไม่ซ้ำใคร มีส่วนผสมของไลฟ์สไตล์ที่บาลานซ์จนเข้ากันดี ให้ความรู้สึกถึงชีวิตที่ real กว่าการใช้ชีวิตหรูหราในเมืองหลวง เป็นเมืองที่ควรมาสัมผัสด้วยตัวเองถึงจะรู้ แต่บอกได้เลยว่า ถ้าทริปฝรั่งเศสของคุณจะเลือกอยู่ที่เมืองนี้เพียงเมืองเดียว ก็จะไม่รู้สึกผิดหวังเลยแน่นอนครับ

 

Chaipohn
WRITER: Chaipohn
Share on Facebook Share on Twitter Share on Line